ตอนที่ 130: มุ่งหน้าสู่ซากปรักหักพังโบราณ
ตอนที่ 130: มุ่งหน้าสู่ซากปรักหักพังโบราณ
ในช่วงเวลาเช้าเซี่ยเฟยได้ทำการเก็บข้าวของพร้อมกับเดินออกไปจากหอพักเช่นเดียวกับสมาชิกของค่ายชั้นในคนอื่น ๆ เพื่อมุ่งหน้าไปสำรวจซากปรักหักพังโบราณครั้งแรกในชีวิต
แผนการสำรวจซากปรักหักพังโบราณนี้ถูกเก็บไว้เป็นความลับอย่างเข้มงวด โดยนักเรียนทุกคนที่มีสิทธิ์เข้าสำรวจซากปรักหักพังจะได้รับข้อความสั้น ๆ ที่ระบุวันเวลาออกเดินทาง แต่ไม่มีข้อความระบุบอกเลยว่าจุดหมายปลายทางคือที่ไหน, อันตรายที่พวกเขาจะต้องพบเจอคืออะไรหรือพวกเขาจะต้องเตรียมการอะไรเป็นพิเศษหรือไม่
ซากปรักหักพังโบราณไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์ที่หลงเหลือมาจากอารยธรรมโบราณเท่านั้น แต่ภายในซากปรักหักพังยังมีวัตถุโบราณที่ยังหลงเหลือมาจนถึงยุคปัจจุบันอีกด้วย
วัตถุโบราณแต่ละชิ้นต่างก็ล้วนแล้วแต่ได้เก็บซ่อนเทคโนโลยีที่เหนือกว่าปัจจุบันไปไกลและสามารถเอาไปขายในตลาดมืดได้ในราคาที่สูงมาก มันจึงถือว่าเป็นเรื่องปกติที่สมาพันธ์จัสทิสจะเก็บเรื่องการสำรวจซากปรักหักพังโบราณเอาไว้เป็นความลับ
นอกหอพักเฉินตงกับเยว่เกอได้มารออยู่ก่อนแล้วพร้อมกับนักเรียนคนอื่น ๆ มากกว่า 40 คน แต่เนื่องมาจากทุกคนต่างก็เก็บตัวฝึกฝนภายในศูนย์ฝึกอบรมตลอดเวลา เซี่ยเฟยจึงไม่รู้ว่าระดับความสามารถของพวกเขาส่วนใหญ่อยู่ในระดับไหนกันแล้ว
ปัจจุบันเยว่เกออยู่ในชุดต่อสู้สีดำและกำลังนอนเอนกายข้างรั้วอย่างเกียจคร้าน โดยชุดที่เธอกำลังสวมใส่อยู่นี้เป็นชุดรัดรูปที่อวดส่วนโค้งเว้าตามร่างกายทำให้ภาพของเธอถือว่าเป็นภาพที่น่าดึงดูดใจเลยทีเดียว แต่น่าเสียดายที่รสนิยมทางเพศของเธอไม่ชอบผู้ชาย มันจึงทำให้ชายหนุ่มหลาย ๆ คนไม่กล้าที่จะเข้าใกล้เธอ
เยว่เกอมักจะพูดอยู่เสมอว่าเธอชอบผู้หญิงไม่ชอบผู้ชาย แต่เซี่ยเฟยก็ไม่เคยเห็นเธอพาผู้หญิงคนไหนเข้าห้องพัก และเมื่อไหร่ก็ตามที่เขาถามถึงเรื่องนี้เยว่เกอก็จะตอบว่าสาวของเธออยู่ในห้องพักของตัวเอง แต่เซี่ยเฟยก็ไม่เคยตรวจสอบเรื่องนี้เลยสักครั้ง เพราะท้ายที่สุดรสนิยมทางเพศของเธอก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา
เฉินตงเปลี่ยนไปใส่กางเกงรัดรูปตัวใหญ่และสวมรองเท้าบู๊ทคู่ใหม่ที่แข็งแรง แม้แต่สร้อยลูกปัดสีดำที่เขามักจะใส่อยู่เป็นประจำก็ได้ถูกทำความสะอาดมาเป็นอย่างดี จนมันส่องแสงสะท้อนเป็นประกายเมื่อมันกระทบแสงแดดอันสดใส
“มันช่างเป็นภาพที่หายากจริง ๆ ที่พวกนายยอมออกมาจากห้องฝึก” เซี่ยเฟยเดินมาหาทั้งสองด้วยรอยยิ้ม
“ตอนแรกฉันก็ไม่อยากจะไปหรอก แต่ครูฝึกไม่ให้ปฏิเสธฉันเลยถูกบังคับให้ออกมา” เฉินตงกล่าว
เฉินตงสนใจแต่การฝึกฝนและการต่อสู้ ดังนั้นซากปรักหักพังโบราณจึงไม่ได้มีความหมายสำหรับเขาเลย
ทั้งสามเดินเคียงข้างกันไปยังสนามบิน ก่อนที่เฉินตงจะได้สังเกตเห็นยอดใบไม้ที่กำลังผลิออกมาจากต้น
“ดูเหมือนเวลาจะผ่านไปเร็วมากเลยนะ”
“นายรู้จักฤดูกาลกับเขาด้วยหรอ? ฉันคิดว่านายรู้จักแต่การฝึกฝนซะอีก” เยว่เกอกล่าวเสียดสีขึ้นมา
เฉินตงส่งเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ โดยไม่ได้สนใจคำเสียดสีของหญิงสาวเลย เพราะเขารู้ว่าเขาไม่เคยต่อล้อต่อเถียงชนะเยว่เกออยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงทำเป็นหูทวนลมไม่สนใจ
“เซี่ยเฟยนายรู้ไหมว่าพวกคนในค่ายชั้นในพูดถึงนายว่ายังไงบ้าง?” เยว่เกอหันไปพูดกับเซี่ยเฟย
“ไม่รู้ พูดตามตรงนะนอกจากพวกนายสองคนแล้วฉันก็ไม่รู้จักใครในค่ายชั้นในเลย” เซี่ยเฟยตอบพร้อมกับส่ายหัว
“ก็แน่ล่ะสิ นักเรียนส่วนใหญ่อยู่ในศูนย์ฝึกหมิงเหอเหมือนกับอยู่ในบ้านของตัวเอง ดังนั้นนายจะไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่แปลก ใครมันจะไปเหมือนนายที่อยู่ในศูนย์ฝึกแค่วันละ 3 ชั่วโมงแล้วกลับออกไปข้างนอกเมื่อหมดเวลา” เยว่เกอกล่าว
เซี่ยเฟยเผยรอยยิ้มรับแต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะท้ายที่สุดสำหรับเขาเวลาในการฝึกฝนเพียงแค่ 3 ชั่วโมงก็เพียงพอแล้ว
ก่อนหน้านี้เขาได้ทำการทดสอบวิเคราะห์สารตกค้างที่ลดลงภายในร่างของเขาเอง และได้พบว่าหากเขาอยู่ในศูนย์ฝึกเป็นเวลา 3 ชั่วโมงดัชนีสารตกค้างจะลดลงชั่วโมงละ 700 หน่วย แต่ในชั่วโมงที่ 4 ดัชนีสารตกค้างจะลดลงเพียงแค่ 550 หน่วยเท่านั้น และหลังชั่วโมงที่ 6 เป็นต้นไปดัชนีสารตกค้างในร่างกายจะลดลงแค่ชั่วโมงละ 300 หน่วย
ในที่สุดเขาก็ได้ข้อสรุปว่าเวลาที่เขาอยู่ในศูนย์ฝึกวันละ 3 ชั่วโมงเป็นเวลาที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด เพราะการอยู่ในศูนย์ฝึกอบรมเป็นเวลานานไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าสำหรับเขาเลย นอกจากนี้มันก็ยังไม่ได้พูดถึงผลข้างเคียงจากการอยู่ในศูนย์ฝึกอบรมเป็นเวลานานอีกด้วย
นักเรียนหลาย ๆ คนในค่ายชั้นในเคยเกิดอาการตาบอดชั่วคราว, ช็อกกะทันหันหรือมีฝีขึ้นที่หลังเป็นจำนวนมากจนพวกเขาต้องทำการผ่าเอาฝีพวกนั้นออก
ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีใครพูดแต่ทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจว่าอาการเหล่านี้เป็นผลข้างเคียงจากการใช้ศูนย์ฝึกหมิงเหอเป็นเวลานานและพวกเขาก็เต็มใจจะยอมรับความเสี่ยงพวกนี้อยู่แล้ว
ความเสี่ยงกับโอกาสเป็นสิ่งที่ควบคู่กันอยู่เสมอ ดังนั้นหากใครต้องการพัฒนาอย่างรวดเร็วพวกเขาก็จำเป็นที่จะต้องแบกรับความเสี่ยงที่อยู่ติดกันเป็นเงาตามตัว
ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ในศูนย์ฝึกเพียงแค่วันละ 3 ชั่วโมงแต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกกังวลใด ๆ เพราะตลอดเวลาเขาไม่ได้อยู่เฉย ๆ แต่ทำการฝึกฝนอยู่เป็นประจำ นอกจากนี้เขายังหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องเครื่องจักรหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยให้เวลาในการพัฒนาทักษะทั้งหมดอย่างเท่าเทียม
ขณะเดียวกันเมื่อไม่กี่วันมานี้เขาก็รู้สึกว่าเขาใกล้จะฝึกสำเร็จขั้นที่ 3 ของวิชามนตราอสูรแล้ว ซึ่งเขาก็สามารถผ่านไปยังขั้นที่ 3 ได้โดยการผลักประตูเพียงแค่เล็กน้อย แต่ปัญหาคือเขายังไม่สามารถหาประตูบานนั้นได้พบ
“เซี่ยเฟยนายมีความสามารถด้านความเร็ว, เฉินตงนายมีพลังพิเศษสายธรรมชาติ ส่วนฉันมีพลังพิเศษภาพลวงตา ถ้าหากว่าพวกเราทำงานร่วมกันความสามารถของพวกเราก็จะสนับสนุนซึ่งกันและกันได้เป็นอย่างดี” เยว่เกอกล่าว
เซี่ยเฟยรู้เรื่องพลังพิเศษของหญิงสาวอยู่แล้วเพียงแต่เขาไม่เคยเห็นเธอใช้มันมาก่อน โดยพลังเกี่ยวกับภาพลวงตาเป็นพลังที่สามารถใช้คลื่นสมองของตัวเองทำให้ศัตรูเกิดภาพหลอนและรบกวนการคิดการตัดสินใจของศัตรูในระหว่างทำการต่อสู้ได้ ซึ่งมันถือได้ว่าเป็นพลังพิเศษสายสนับสนุนที่หาได้ยากมาก
น่าเสียดายที่ความสามารถในการสร้างภาพลวงตาใช้ในการต่อสู้แบบตัวต่อตัวไม่ค่อยได้ผล และมันจำเป็นที่จะต้องร่วมมือกับทีมเพื่อให้ภาพลวงตาสร้างผลลัพธ์ได้ดีที่สุด
เซี่ยเฟยมีความเร็วที่ไม่ธรรมดาทำให้เขาเหมาะสมจะทำหน้าที่เป็นหน่วยสอดแนมของทีม เฉินตงมีความสามารถที่เหมาะสมทั้งรุกทั้งรับทำให้เขามีความเหมาะสมที่จะเป็นกองกำลังหลักของทีม ดังนั้นถ้าหากว่าทั้งสามคนได้ร่วมมือกันพวกเขาก็จะกลายเป็นทีมที่ยอดเยี่ยมที่สามารถทำให้ศัตรูรู้สึกหวาดกลัวได้อย่างแน่นอน
พลังพิเศษสายความเร็วบวกพลังพิเศษสายธรรมชาติที่ได้รับการสนับสนุนจากพลังพิเศษภาพลวงตา ถือได้ว่าเป็นชุดพลังวิเศษที่หาได้ยากไม่แพ้ชุดพลังพิเศษของทีม 13 เลย
น่าเสียดายที่ในภารกิจครั้งล่าสุดสมาชิก 2 ใน 3 ของทีม 13 ได้หายตัวไปในอุบัติเหตุและสมาพันธ์ก็ค้นหาไม่พบแม้แต่ซากศพ ทำให้นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีทีม 13 ในภูมิภาคดาวเอ็นดาโร่อีกต่อไป
ผู้รอดชีวิตคนเดียวภายในทีมคือโบซิงวาก็รู้สึกหดหู่ใจกับเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นอย่างมาก เขาจึงตัดสินใจไม่กลับไปยังแผนกบริหารแต่เลือกจะอยู่เป็นครูฝึกในค่ายชั้นในของค่ายฝึกจัสทิสลีก
ก่อนหน้านี้เซี่ยเฟยเคยได้เจอโบซิงวา 2-3 ครั้ง แต่อีกฝ่ายเลือกที่จะพยักหน้าทักทายเล็กน้อยก่อนที่จะจากไปอย่างเงียบขรึม
เมื่อเซี่ยเฟยได้คิดเกี่ยวกับข้อเสนอของเยว่เกอ เขาก็ได้พบว่าความคิดของเธอเป็นความคิดที่ดีที่ไม่เหมาะจะออกมาจากปากของเธอเลย
ใช้ความเร็วในการสำรวจ, คอยป้องกันและโจมตีด้วยน้ำแข็งและได้รับการสนับสนุนจากภาพลวงตา
การรวมพลังพิเศษแบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยากจริง ๆ และถึงแม้ว่าพลังภาพลวงตาของเยว่เกอกับพลังพิเศษควิกแซนด์ดีเฟนของเควรอซจะมีลักษณะที่แตกต่างกัน แต่พลังพิเศษทั้งสองชนิดนี้ก็สามารถนำมาสนับสนุนเพื่อนร่วมทีมได้คล้าย ๆ กัน
ใครจะไปรู้ในอนาคตทีมของพวกเขาอาจจะโด่งดังกว่าทีม 13 ก็ได้…
“ตอนนี้พวกเราเป็นนักเรียนใหม่และอาจารย์ก็คงจะไม่ปล่อยให้พวกเราเคลื่อนไหวอย่างอิสระ บางทีพวกเราอาจจะได้รับภารกิจเป็นกลุ่ม ในเวลานั้นพวกเราค่อยมารวมทีมกันตามที่เธอบอกก็ได้” เซี่ยเฟยกล่าว
แม้ว่าเซี่ยเฟยจะชอบอยู่ตัวคนเดียวแต่เขาก็เข้าใจดีว่าความแข็งแกร่งของคนคนเดียวมีอยู่อย่างจำกัด โดยเฉพาะเวลาที่ต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย นอกจากนี้เฉินตงกับเยว่เกอก็เป็นหนึ่งในคนที่เขาไว้วางใจ หรืออย่างน้อยการร่วมทีมกับคนทั้งสองก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกลำบากใจมากนัก
“ฉันไม่สนใจภารกิจค้นหา! จุดประสงค์หลักของฉันในการเดินทางครั้งนี้คือหาโอกาสท้าทายนักเรียนคนอื่นโดยเฉพาะยาฮันกับไป๋เย่!!”
“ยาฮันอ้างว่าตัวเองเป็นนักเรียนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่นักเรียนใหม่ ฉันต้องการจะท้าทายเขามานานแล้ว ส่วนไป๋เย่ก็หาเรื่องเซี่ยเฟยในระหว่างงานแข่งรถ ฉันจะหาโอกาสอัดมันแทนนายเอง!”
“ตอนอยู่ในค่ายฝึกมีกฎนู่นนี่นั่นให้ปวดหัวเยอะแยะทำให้นักเรียนไม่จำเป็นจะต้องรับคำท้าทายจากฉันก็ได้ แต่ในตอนนี้ทุกคนจะต้องออกจากค่ายฝึกแล้ว ดังนั้นฉันน่าจะมีโอกาสท้าทายพวกนั้นได้” เฉินตงกล่าวราวกับว่าเขาได้คิดเรื่องพวกนี้เอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
เซี่ยเฟยส่งเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ โดยไม่พูดอะไร เพราะด้วยนิสัยของเฉินตงมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะมีความคิดเช่นนี้เลย
ตลอดเวลาไม่กี่เดือนมานี้เฉินตงได้แต่หมกมุ่นอยู่กับการฝึกฝนโดยไม่ได้ทำการต่อสู้เลย ถ้าหากว่าเขาไม่ได้หาที่ระบายสักหน่อยมันก็คงจะทำให้เขารู้สึกอกแตกตาย
“นี่ถามหน่อยเถอะเจ้าเบิ้ม! ถ้านายไม่สู้มันจะทำให้นายอกแตกตายเลยใช่ไหม? เฮ้อช่างมันเถอะฉันรวมทีมกับเซี่ยเฟยแค่สองคนก็ได้” เยว่เกอมองไปทางเฉินตงพร้อมกับถอนหายใจ แต่เมื่อสายตาของเธอหันไปทางเซี่ยเฟยแววตาของเธอก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ใจเย็น ๆ เรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเราจะต้องทำอะไรบ้าง หลังพวกเราได้รู้รายละเอียดค่อยวางแผนตอนนั้นก็ยังไม่สาย” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับโบกมือไปมา
“เซี่ยเฟย! นี่นายคิดจะไม่ร่วมทีมกับฉันใช่ไหม” เยว่เกอตะโกนพร้อมกับกอดอกด้วยความหงุดหงิด
เซี่ยเฟยพูดไม่ออกไปชั่วขณะและมันก็คงจะเป็นการดีที่สุดถ้าเขาจะอยู่ห่างจากแม่เสือสาวคนนี้
ทั้งสามพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ยานเดสทรอยเยอร์จะบินมาจากระยะไกลและค่อย ๆ ร่อนลงบนลานกว้าง
เมื่อประตูห้องโดยสารของตัวยานได้เปิดออกโบซิงวา, เย่เสี่ยวหานและครูฝึกจากค่ายชั้นในอีกสองคนก็กระโดดลงมาจากยาน โดยพวกเขาได้สวมเครื่องแบบพร้อมติดตั้งอาวุธเต็มร่างกายและแต่ละคนต่างก็มีท่าทางที่จริงจัง
หลังจากทำการยืนยันตัวตนแล้วนักเรียนกว่า 40 คนก็ทยอยเดินทางขึ้นยานกันทีละคน
ภายในยานเดสทรอยเยอร์มีขนาดใหญ่กว่ายานฟริเกตมาก และมันก็ทำให้ตัวยานดูโหวงเหวงเล็กน้อยเมื่อห้องโดยสารมีลูกเรือเพียงแค่ไม่กี่สิบคน
เซี่ยเฟยทำการสแกนและตรวจสอบส่วนประกอบของยาน
แม้ภายนอกยานเดสทรอยเยอร์ลำนี้จะดูธรรมดามาก แต่ภายในกลับติดตั้งอุปกรณ์ล้ำหน้าและเครื่องจักรที่เขาไม่รู้จักอยู่มากมาย
‘หรือว่ายานลำนี้จะแล่นในระยะไกล มันถึงใช้เครื่องยนต์ขนาดใหญ่แบบนี้?’ เซี่ยเฟยคิดอย่างสงสัยภายในใจ
หลังจากขึ้นยานเซี่ยเฟย, เยว่เกอและเฉินตงก็ไปนั่งลงบนโซฟาที่มุมหนึ่งด้วยกัน จากนั้นเย่เสี่ยวหานก็เดินมาแจกแว่นตาเสมือนจริงให้กับทุกคนเพื่อให้พวกเขาท่องอินเทอร์เน็ตแก้เบื่อในระหว่างการเดินทาง
“แผนการสำรวจซากปรักหักพังโบราณครั้งนี้เกี่ยวข้องกับความลับของสมาพันธ์ ดังนั้นพวกคุณทุกคนจะต้องลงนามในสัญญารักษาความลับว่าจะไม่เปิดเผยข้อมูลใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางในครั้งนี้อย่างเด็ดขาด” โบซิงวากล่าวกับทุกคนในฐานะผู้นำทีมสำรวจในครั้งนี้
“เอกสารสัญญาที่ทุกคนต้องเซ็นเป็นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ที่ทุกคนสามารถใช้นิ้วสัมผัสหน้าจอโฮโลแกรห์มเพื่อเซ็นเอกสารได้เลย”
หลังจากที่ทุกคนลงนามเรียบร้อยแล้วยานเดสทรอยเยอร์รุ่นแฟคซิลิเทเตอร์ก็เริ่มออกเดินทางสุดกำลัง โดยมีจุดมุ่งหมายไปยังซากปรักหักพังโบราณ
***************