(ฟรี)ตอนที่ 90 สภาสูงสุด
ภายใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวอันกว้างใหญ่ ที่นั่งหินห้าที่นั่งที่ดูเหมือนจะตั้งอยู่ที่นั่นตั้งแต่สมัยโบราณปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าใต้กระแสแห่งดวงดาว
“สมญานาม เอห้าหกแปด การสนทนาของลูกน้องของคุณที่เกี่ยวกับเขาเป็นอย่างไรเมื่อเร็ว ๆ นี้”
“เราควรฆ่าหรือเลี้ยงดูเขาดี เราทิ้งความคิดเห็นและแผนของเราไว้เบื้องหลังได้ไหม”
ร่างที่มีใบหน้าพร่ามัวและเสื้อคลุมสีดำพันรอบร่างกายของเขา เหลือเพียงใบหน้าของเขานั่งอยู่บนที่นั่งว่างเปล่า
ทันทีที่เขาพูดจบ อีกสี่ที่นั่ง ร่างที่เผยให้เห็นเพียงใบหน้าลวงตากับร่างกายที่ห่อหุ้มด้วยชุดคลุมสีดำก็ปรากฏขึ้นทีละคน
“อาจารย์ใหญ่ของสถาบันไท่ยี่ จงจื่อเหลินพูดถึงเขาว่าเป็นคนที่จริงใจ เขารักครอบครัวของเขา เพื่อสร้างโลกที่ครอบครัวของเขาสามารถอาศัยอยู่ได้ เขาจะยอมกลายเป็นศัตรูกับทุกคน แม้ว่าพวกนั้นจะเป็นเทพผู้อยู่ยงคงกระพันก็ตาม” ร่างหนึ่งกล่าวอย่างเคร่งขรึม
แม้ว่าพวกเขาจะไม่เปิดเผยข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาของพวกเขา แต่ในขณะที่เสื้อคลุมของพวกเขาปลิวไสวไปตามสายลม ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่รูปร่างและร่างกายของพวกเขาจะถูกเปิดเผย ทำให้คนอื่นรู้ว่าพวกเขาเป็นชายหรือหญิง สูงหรือเตี้ย
ยิ่งกว่านั้น เสียงของพวกเขาไม่ได้ปิดบังเลย ทำให้คนอื่นสามารถรับรู้ถึงเจตจำนงและทัศนคติของพวกเขาได้
“เขาเป็นกระบี่ที่ดี” อีกร่างหนึ่งพูดด้วยท่าทางชมเชย
“เขาฆ่าและดูดกลืนพลังจิตเพื่อเติบโตได้ ด้วยทักษะที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ ไม่มีใครเหมาะที่จะเป็นเครื่องมือของเราในการเปิดอนาคตใหม่ให้กับมนุษย์มากกว่าเขาอีกแล้ว” หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน
พวกเขามารวมกันห้าคน โดยมีหนึ่งคนเป็นประธาน
อีกสามคนมีแนวโน้มที่จะเลี้ยงดูและควบคุมเอห้าหกแปด ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะคลี่คลายในไม่ช้า
อย่างไรก็ตาม การประชุมครั้งนี้เป็นการรวมตัวกันของจุดสูงสุดของมนุษยชาติที่ตัดสินใจว่าทิศทางของมนุษยชาติจะมุ่งหน้าไปไหนไม่ใช่เรื่องของชนฉันล่างที่จะเชื่อฟังเสียงส่วนใหญ่
ทั้งห้าคนแสดงความคิดเห็นและแสวงหาจุดร่วม
พวกเขาต่อสู้บนเส้นทางของตัวเองเพื่ออนาคตของอารยธรรมที่เรียกว่ามนุษยชาติ
เมื่อเห็นว่าสมาชิกทั้งสามได้ตัดสินใจแล้ว ประทานจึงมองไปที่ที่นั่งสุดท้าย
ชายร่างผอมราวกับไม้ขีดไฟเงียบกริบ ศีรษะของเขาโค้งคำนับตั้งแต่เริ่มการประชุมและเขาไม่เคยพูดเลย
ทุกคนก็มองไปที่ชายที่นั่งหลังสุดเช่นกัน
ชายคนนั้นหายใจออกเบา ๆ เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เขาเงยหน้าขึ้นมองทุกคน น้ำเสียงของเขาเย้ยหยันเล็กน้อย
“เกี่ยวกับศักยภาพของเอห้าหกแปดหรือคนที่ชื่อหลินเซิน ฉันยอมรับการตัดสินใจของจงจื่อเหลินที่มีต่อบุคลิกภาพและความเชื่อของเขาในการให้ความสำคัญกับมนุษย์เป็นอันดับแรก”
“แต่...”
“ทุกคน เราสวมหน้ากากแห่งความหวังของมนุษยชาติ ผู้พิทักษ์อารยธรรม และกองไฟอันยิ่งใหญ่มานานแล้ว เราได้หลอกลวงมนุษย์มานับไม่ถ้วน แล้วเราเคยหลอกตัวเองด้วยหรือเปล่า”
สีหน้าของทุกคนค่อย ๆ แปลกไป
ชายร่างผอมในชุดดำกล่าวต่อว่า “เรากลายมาเป็นแวมไพร์ที่ดูดกลืนอารยธรรมมนุษย์และดึงเอาทรัพยากรและเลือดเนื้อออกมาอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ความเจริญรุ่งเรืองของมนุษยชาติในอนาคตจะมีความหมายเช่นเดียวกันสำหรับเรา”
“เราและคนทั่วไปเป็นสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างกัน”
“พวกเขามีชีวิตและตายได้ทุกวัน ส่วนเราที่ได้รับเมตตาจากทวยเทพแล้ว วันหนึ่ง เราจะไปถึงอาณาจักรอมตะ จุดเพลิงศักดิ์สิทธิ์ ก้าวขึ้นสู่รถม้าแห่งสวรรค์และกลายเป็นสิ่ฃมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่แบบเหล่าเทพ”
“ดังนั้น...”
“คมดาบที่ต่อสู้เพื่อมนุษยชาติจะฟันเราเพราะมนุษย์ไม่ช้าก็เร็ว โปรดเตรียมพร้อมสำหรับความเป็นไปได้นั้นด้วย”
“ฉันไม่ต้องการให้ใครจากไปในวันที่เราก้าวเข้าสู่อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์”
นอกเหนือจากชายชุดดำร่างผอมราวกับไม้ขีดไฟและคนในชุดคลุมสีดำซึ่งเป็นคนแรกที่พูด ผู้เข้าร่วมอีกสามคน ชายผู้สง่างามและเที่ยงตรง ชายชราผู้ผ่อนคลายและหญิงสาวที่อ่อนไหวทั้งหมดนั่งตัวตรง
พวกเขามองหน้ากันและเห็นความกลัวและความคิดลึก ๆ ในดวงตาของกันและกัน
ภายใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวพร่างพราย โลกเบื้องล่างของทุกคนเป็นสีดำราวกับความลึกของเหวลึก ไม่มีแม้แต่แสงแดด
หลังจากนั้นไม่นาน
“ณ จุดนี้ ทุกคนคงรู้วิธีรับมือกับหลินเซินแล้ว... ไม่เป็นไร ถ้าคุณอยากจะเก็บความภูมิใจเอาไว้และไม่ต้องการพูดออกมา ปลิ่ยให้ฉันเป็นตัวร้ายเอง”
ชายชราพูดด้วยความโกรธผ่านใบหน้าลวงตาใต้เสื้อคลุมสีดำ
“เอห้าหกแปดเป็นอัจฉริยะที่หายาก เราไม่สามารถปล่อยเขาไปง่าย ๆ เมื่อเขาเชื่องสำเร็จ แผนการของเราจะราบรื่นยิ่งขึ้น เมื่ออารยธรรมมนุษย์ยิ่งใหญ่ขึ้นและผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นประโยชน์ต่อเราในท้ายที่สุด เราก็จะได้รับข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น”
“แต่หากใช้มีดอย่างหลินเซินไม่ถูกวิธี เจ้าของมีดจะได้รับบาดเจ็บ”
“อีกอย่างเราไม่สามารถรับเขาเข้ามาในองค์กรของเราได้ ท้ายที่สุด มันยากที่จะตัดสินว่าเขาจะเข้าร่วมกองกำลังกับเราและทรยศต่อมนุษยชาติหรือไม่”
“อึก…”
ราวกับว่าคำพูดของชายชราที่ว่าทรยศต่อมนุษยชาติได้ทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจของเขา ชายผู้จริงจังก็ยืนขึ้นและประณาม
“ฉันจะพูดอีกครั้ง !”
“ครอบครัวและลูกน้องของฉันเข้าร่วมองค์กรนี้ไม่ใช่เพราะเราทรยศมนุษยชาติเพื่อโอกาสในการมีชีวิต แต่เพื่อรักษาแสงสว่างของมนุษยชาติต่างหาก !”
“เราจะมีชีวิตอยู่ต่อไปพร้อมกับชนชั้นสูงของมนุษยชาติและมรดกแห่งอารยธรรมบนดาวดวงอื่น เราจะสานต่ออารยธรรมที่เรียกว่ามนุษยชาติ ตราบใดที่เราไม่ตาย มนุษยชาติก็จะไม่พินาศ !”
“ฮ่า ๆ”
เมื่อหญิงสาวได้ยินเช่นนั้นก็เย้ยหยัน
“คำพูดของคุณฟังดูสง่างามมาก คุณใช้การตายของคนจำนวนนับไม่ถ้วนและดาวเคราห์สีน้ำเงินเพื่อแลกกับอนาคตที่สวยงามของคุณไม่ใช่เหรอ คุณไร้ยางอายและสกปรกยิ่งกว่าแวมไพร์เสียอีก นี่คืออารยธรรมที่คุณต้องการสืบทอดต่อไปหรือ”
“ขำอะไร !”
ชายผู้จริงจังโกรธอย่างเห็นได้ชัด เขาลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหันและเกือบจะเสียสติในขณะที่กล่าวโทษ “แม้ว่าฉันจะทรยศต่อมนุษยชาติก็เพื่อครอบครัวของฉัน แล้วคุณล่ะ ?”
“คุณมีสิทธิ์อะไรมายืนอยู่บนจุดสูงสุดแห่งนี้และวิพากษ์วิจารณ์ฉัน”
“คุณซึ่งนั่งอยู่ตรงนี้ก็เห็นด้วยกับผู้สืบทอดด้วยไม่ใช่หรือ”
“ฉัน ?”
หญิงสาวเยาะเย้ยและไม่ได้มองตรงไปที่ผู้ชายผู้จริงจัง เธอจ้องไปที่คนที่ถูกเรียกว่าผู้สืบทอดและพูดว่า
“ฉันเพิ่งอยู่ในสภาแห่งนี้ได้ไม่ถึงครึ่งเดือน”
“คนผู้นี้ไม่ได้บอกว่ามีเพียงสิ่งมีชีวิตที่ยืนอยู่ในระดับสูงสุดของมนุษยชาติเท่านั้นเหรอที่จะสามารถเข้าร่วมสภานี้และทำการตัดสินใจเกี่ยวข้องกับการมีอยู่ของมนุษยชาติ ?”
“ฉันคิดว่านี่จะเป็นโอกาสที่ดีงามสำหรับฉัน ฉันไม่คาดคิดเลยว่ามันจะเป็นแค่กลุ่มเด็กและคนขี้ขลาด”
“แก...”
ชายผู้จริงจังโกรธจัด เขาหันกลับมาและมองไปที่ผู้สืบทอดซึ่งเป็นประธานในสภานี้
“ไม่มีหัวข้อสำหรับการประชุมนี้ ทุกคนแสดงความคิดเห็นของคุณ ไม่จำเป็นต้องปัดจุดประสงค์หลักของการประชุมเพราะความแตกต่าง”
“เงียบ”
“เทพนั้นกำลังเฝ้าติดตามการประชุมของเราอยู่”