ตอนที่ 129: ฤดูหนาวถึงฤดูใบไม้ผลิ
ตอนที่ 129: ฤดูหนาวถึงฤดูใบไม้ผลิ
มันเป็นเวลาเนิ่นนานแล้วที่เซี่ยเฟยไม่ได้พบกับเย่เสี่ยวหาน โดยหญิงสาวคนนี้ยังคงมีท่าทางที่เย็นชาเหมือนเดิมแต่เขาก็ไม่รู้ว่าเขาจะต้องพูดอะไรกับเธออยู่ดี ดังนั้นทั้งสองจึงเดินเคียงข้างกันไปโดยไม่พูดอะไร
“ดีแล้วที่คุณรอดชีวิตกลับมาได้ ก่อนหน้านี้ฉันคิดว่าคุณจะเสียชีวิตไปแล้วเสียอีก” เย่เสี่ยวหานกล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
รอยยิ้มของคนที่มีบุคลิกเย็นชาเป็นภาพที่หาได้ยากมาก ด้วยเหตุนี้ทันทีที่หญิงสาวเผยรอยยิ้มมันจึงทำให้เขาเริ่มรู้สึกแปลก ๆ
“ผมแค่โชคดี” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับเริ่มรู้สึกขนลุกขึ้นมาแปลก ๆ
“ทำไมคุณถึงไม่ตกลงเซ็นสัญญาเข้าร่วมกับสมาพันธ์ล่ะ เรื่องนี้มันเป็นความฝันของหลาย ๆ คนเลยนะ” เย่เสี่ยวหานยังคงถามด้วยรอยยิ้ม
ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมาหลังจากที่ชายหนุ่มได้แยกจากเย่เสี่ยวหานที่มีอาการแปลก ๆ เขาก็ปิดประตูห้องพร้อมกับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“นี่ถ้าฉันอยู่ต่อ เธออาจจะหัวเราะออกมาก็ได้”
หลังจากจัดการกับตัวเองเรียบร้อยเซี่ยเฟยก็ออกจากห้องพร้อมกับมุ่งหน้าตรงไปที่ร้านอาหาร
ภาพที่เซี่ยเฟยเห็นคือนักเรียนเป็นจำนวนมากได้หลั่งไหลออกมาจากศูนย์ฝึกหมิงเหอแล้วมุ่งหน้าไปที่ร้านอาหารด้วยความเร่งรีบ จากนั้นพวกเขาก็ซื้ออาหารอย่างลวก ๆ พร้อมกับรีบกลับไปยังห้องฝึกอบรมราวกับพวกเขาไม่อยากจะอยู่ต่อแม้แต่วินาทีเดียว
ศูนย์ฝึกหมิงเหอได้ดึงดูดนักเรียนเหล่านี้อย่างหนักคล้ายกับพวกเขากำลังติดสารเสพติด โดยนักเรียนทุกคนที่เข้าไปในศูนย์ฝึกอบรมแห่งนั้นอาจจะไม่ทันได้สังเกตด้วยซ้ำว่าพวกเขากำลังพึ่งพาศูนย์ฝึกอบรมมากแค่ไหน
ในสายตาของเซี่ยเฟยนักเรียนพวกนี้ไม่ต่างไปจากซากศพที่เดินได้ เพราะดวงตาของพวกเขาทั้งหมองคล้ำและการปรากฏตัวของพวกเขาก็ไม่มีชีวิตชีวาคล้ายกับพวกเขากำลังทำตัวเป็นเหมือนเครื่องจักร
ภาพเหตุการณ์ในวันนี้ทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกว่าการตัดสินใจของเขาเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว เพราะไม่ว่าจะเป็นเมื่อไหร่เขาก็ไม่อยากจะสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไป
ในขณะที่เขากำลังใช้ความคิดเฉินตงกับเยว่เกอก็มาปรากฏตัวตรงหน้าของเขาแล้ว โดยเยว่เกอเปลี่ยนไปใส่ชุดออกกำลังกายสีขาวที่มีร่องเปิดออกตรงบริเวณหน้าอกราวกับว่าเธอกำลังจงใจเปิดเผยอาวุธสังหารออกมา ส่วนเฉินตงก็ยังคงสวมใส่กางเกงบ๊อกเซอร์ตัวเดียวโดยที่ร่างกายท่อนบนยังคงเปล่าเปลือย
“นายกำลังมองอะไรอยู่!” เยว่เกอพูดด้วยความหงุดหงิดเมื่อเห็นเซี่ยเฟยจ้องไปที่หน้าอกของเธอ
“ดูอาวุธสังหาร” เซี่ยเฟยกล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับชี้ไปที่ร่องตัววายตรงบริเวณหน้าอกของหญิงสาว
ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าเป็นเรื่องที่ตลกมาก เฉินตงจึงอดที่จะส่งเสียงหัวเราะออกมาไม่ได้
“ไอ้เบิ้มหัวเราะอะไร!” เยว่เกอหันไปตวาดเฉินตงอย่างหงุดหงิด
แม้ว่าเธอจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเซี่ยเฟยแต่เธอก็สามารถจัดการกับเฉินตงได้อย่างง่ายดาย ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มร่างใหญ่จึงเงียบเสียงหัวเราะลงแต่เขาก็ยังแอบยกนิ้วโป้งชูให้กับเซี่ยเฟย
บางทีอาจจะเป็นเพราะเฉินตงกับเยว่เกอเพิ่งเข้ามาในค่ายชั้นใน ลักษณะนิสัยของพวกเขาจึงยังคงร่าเริงเหมือนเมื่อก่อน
หลังจากสั่งอาหารไป 2-3 ชุดพวกเขาก็ทำการพูดคุยกันในระหว่างทานอาหาร
“พวกนายเข้ามาในค่ายชั้นในตั้งแต่เมื่อไหร่? ทำไมฉันถึงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย” เซี่ยเฟยกล่าวขณะกัดเนื้อเข้าไปคำใหญ่
“ฉันกับเยว่เกอเพิ่งได้เข้าค่ายชั้นในเมื่อเดือนที่แล้วและไป๋เย่ที่ถูกรถนายชนระหว่างการแข่งขันก็เข้าค่ายชั้นในมาพร้อมกับเรา ฉันได้ยินมาว่าเหมือนมันจะมีกลุ่มคนออกไปจากค่าย พวกเราจึงถูกเรียกมาเติมเต็มตำแหน่งพวกนั้น” เฉินตงกล่าว
“ความจริงแล้วนักเรียนในค่ายชั้นในจะถูกตั้งเอาไว้ที่ 500 คน ดังนั้นทันทีที่มีคนออกไปก็จะมีนักเรียนกลุ่มใหม่เข้ามาแทน” เยว่เกอกล่าวเสริมขึ้นมา
“งั้นหรอ…แล้วในตอนที่ถูกเรียกตัว พวกนายได้ทำบททดสอบอะไรหรือเปล่า?” เซี่ยเฟยถาม
“ไม่มีนะ ฉันได้รับแค่จดหมายแจ้งเตือนง่าย ๆ แล้วฉันก็ได้เข้ามาในค่ายชั้นในเลย ตอนแรกฉันคิดว่ามันจะมีการประเมินอะไรสักอย่างก่อนจะได้เข้ามาในค่ายชั้นในซะอีก กลายเป็นว่าหลังจากได้รับจดหมายฉบับนั้นฉันก็เข้ามารายงานตัวได้เลย” เฉินตงกล่าว
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับและคิดว่าดูเหมือนทุกคนจะได้รับคัดเลือกมาเหมือนกัน โดยในตอนแรกเขาคิดว่าเรื่องนี้อาจจะมีอะไรแปลก ๆ แต่หลังจากที่ได้ฟังคำอธิบายจากเพื่อนของเขาแล้วมันก็ดูเหมือนกับว่าทุกอย่างเป็นเพียงเรื่องที่เกิดขึ้นตามปกติ
ทั้งสามนั่งพูดคุยกันไปพักหนึ่งก่อนที่เซี่ยเฟยจะสังเกตเห็นเฉินตงที่เริ่มรู้สึกกระวนกระวาย ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าเบิ้มชอบถอดเสื้อคนนี้คงคิดที่จะอยากกลับไปทำการฝึกฝนต่อแล้ว เขาจึงพยายามคิดหาเหตุผลเพื่อให้ทุกคนแยกย้ายกันไป
—
หลังจากเข้ามาในค่ายชั้นในชีวิตประจำวันของเซี่ยเฟยก็ยังคงดำเนินไปอย่างเรียบง่าย โดยเขาได้ไปทำงานที่ห้องสมุดทุก ๆ วัน ซึ่งในระหว่างนั้นเขาก็จะคอยหาหนังสือมาเติมเต็มความรู้ตลอดเวลา
ระยะทางจากค่ายชั้นในไปยังห้องสมุดอยู่ที่ประมาณ 40 กิโลเมตร โชคดีที่เซี่ยเฟยมีความสามารถทางด้านความเร็วมันจึงทำให้ระยะทางไม่เคยเป็นปัญหาสำหรับเขาเลย โดยการเดินทางไปกลับค่ายชั้นในกับห้องสมุดได้กลายเป็นการออกกำลังกายประจำวันของเขาไปโดยปริยาย
กาลเวลาค่อย ๆ ผ่านพ้นไปเซี่ยเฟยกับฉินหมางก็เริ่มมีความคุ้นเคยกันมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยทั้งสองมักที่จะดื่มชาและนั่งคุยกันบ่อย ๆ ซึ่งแม้แต่แมวดำจอมขี้เกียจของฉินหมางก็ยังชอบเข้าไปออดอ้อนขออาหารจากเขา
ระหว่างนี้เซี่ยเฟยก็ได้ค้นพบว่าจริง ๆ แล้วฉินหมางเป็นคนที่เรียบง่ายที่มักจะมีเรื่องน่าสนใจมาเล่าให้เขาฟังตลอดเวลา นอกจากนี้ชายชรายังเป็นคนตรง ๆ ที่พูดจาทุกอย่างอย่างเปิดเผยราวกับว่าเขาไม่เกรงกลัวกฎหมายของพันธมิตรเลย
ในสายตาของเขาไม่ว่าจะเป็นสมาพันธ์จัสทิสหรือกองทัพต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นองค์กรที่หยิ่งยโส ดังนั้นสมาชิกภายในองค์กรจึงมักที่จะทำตัวโอหังอวดเบ่งราวกับว่าพวกเขาเป็นคนที่ยิ่งใหญ่คับฟ้า
ขณะเดียวกันเซี่ยเฟยก็เป็นคนสบาย ๆ และเขาก็ไม่เคยสนใจการอวดเบ่งเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งถ้าหากว่ามันจะมีอะไรที่เหมือนกันระหว่างเขากับฉินหมาง นั่นก็คือพวกเขาเป็นคนที่รักอิสระและไม่ชอบถูกควบคุมโดยผู้อื่น
ฉินหมางได้มอบหมายให้เซี่ยเฟยไปทำความสะอาดที่ห้องใต้ดินทุกวัน แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่สามารถหาห้องลับที่ซ่อนอยู่ได้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่เคยคิดจะถามชายชราเลยสักครั้งและฉินหมางก็ไม่คิดจะบอกอะไรกับเซี่ยเฟยด้วยเช่นกัน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าฉินหมางที่ทำงานในห้องสมุดมานานหลายสิบปีย่อมต้องรู้เรื่องความลับของห้องในชั้นใต้ดินอย่างแน่นอน และเซี่ยเฟยก็รู้สึกว่าชายชราคนนี้คงจะมีแผนการอะไรบางอย่างถึงได้มอบหมายงานให้เขาไปทำความสะอาดชั้นใต้ดิน
เซี่ยเฟยใช้ชีวิตตามสัญชาตญาณตัวเองมาโดยตลอดและเขาก็ไม่เคยเสียใจที่ได้รู้จักกับฉินหมาง รวมถึงได้มาทำหน้าที่เป็นบรรณารักษ์ในห้องสมุดด้วย เพราะเขาได้รับผลประโยชน์ที่คาดไม่ถึงอย่างมากมายจากห้องสมุดแห่งนี้
ฉินหมางมักจะมอบหนังสือ 2-3 เล่มให้เซี่ยเฟยกลับไปอ่านอยู่เป็นประจำ โดยหนังสือที่เขานำมาให้อ่านครอบคลุมความรู้ทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นภูมิศาสตร์, ประวัติศาสตร์, การวิจัยหรือความรู้ทางการทหาร เป็นต้น
หากดูภายนอกหนังสือบางเล่มก็คล้ายจะเหมือนกับไม่มีประโยชน์อะไร แต่เซี่ยเฟยจะทำการอ่านหนังสือทุกเล่มที่เขาได้รับมาจากฉินหมางอย่างจริงจังทุกครั้ง
ฉินหมางค่อย ๆ มอบหนังสือให้เซี่ยเฟยอ่านมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เซี่ยเฟยต้องใช้เวลาส่วนใหญ่หลังกลับมาถึงหอพักในการอ่านหนังสือ นอกจากนี้ชายชรายังจะถามคำถามเกี่ยวกับแนวคิดอะไรบางอย่างหลังจากที่เขาได้อ่านหนังสือจนจบ หรือในบางครั้งชายชราก็จะทำการตั้งคำถามที่เกี่ยวข้องกับหนังสือที่เขาได้มอบให้
—
2 เดือนต่อมา
ในที่สุดเซี่ยเฟยก็เข้าใจแล้วว่าฉินหมางกำลังพยายามทำอะไรอยู่
ช่วงเวลาแรกฉินหมางได้มอบหนังสือความรู้พื้นฐานมาให้เขาอ่าน แต่เมื่อเวลาผ่านไปหนังสือที่ชายชราได้มอบให้ก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นพร้อมกับเริ่มมีเนื้อหาที่คลุมเครือ
ในที่สุดชายชราก็มอบหนังสือจากชั้น 2 ให้เซี่ยเฟยกลับมาอ่าน โดยหนังสือบนชั้นที่ 2 มีเนื้อหาเกี่ยวกับอารยธรรมโบราณและมันก็ต้องขอบคุณที่ฉินหมางแนะนำให้เขาอ่านหนังสือพื้นฐานมาจนครบแล้ว ดังนั้นทันทีที่ชายหนุ่มได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับอารยธรรมโบราณ เขาจึงสามารถทำความเข้าใจพวกมันได้อย่างรวดเร็ว
การพัฒนาในครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นการพัฒนาครั้งใหญ่ของเซี่ยเฟย เพราะในตอนที่เขาอยู่โรงเรียนเขาแทบที่จะไม่ได้รับความรู้ที่เป็นประโยชน์กลับมาเลย แต่ในช่วงระยะเวลาที่เขาอยู่ในห้องสมุดเพียงแค่ไม่กี่เดือน เขากลับสามารถอ่านสมการที่ซับซ้อนจากหนังสือที่เกี่ยวกับอารยธรรมโบราณได้
ตลอดช่วงเวลานี้เซี่ยเฟยยังคงติดต่อกับแอวริลอยู่เป็นประจำ แต่เนื่องมาจากเขามีหนังสือให้กลับมาอ่านทุกวันมันจึงทำให้เวลาในการพูดคุยของพวกเขาเริ่มน้อยลง
แน่นอนว่าแอวริลเริ่มทำการบ่นเซี่ยเฟย แต่เมื่อชายหนุ่มได้เล่าเนื้อหาในหนังสือให้เธอได้ฟัง เด็กสาวตัวน้อยก็มักที่จะมองมาที่เขาด้วยสายตาที่ชื่นชม
ในตอนแรกแอวริลพอจะเข้าใจเนื้อหาบางส่วนของหนังสือได้ แต่หลังจากที่เวลาผ่านไปเนื้อหาที่เซี่ยเฟยอ่านก็เริ่มมีความยากขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้แอวริลรู้สึกว่าช่วงเวลาที่เซี่ยเฟยเล่าเนื้อหาในหนังสือให้เธอฟังคล้ายกับตอนที่เธอกำลังฟังบทสวดมนต์
ต่อมาแอวริลก็ปรับตัวโดยไม่ฟังสิ่งที่เซี่ยเฟยเล่าอีกต่อไป แต่นั่งจ้องมองชายหนุ่มคนนี้ในระหว่างที่เขาเล่าเนื้อหาให้เธอฟังแทน
ขณะเดียวกันถึงแม้ว่าเฉินตงกับเยว่เกอจะอยู่ค่ายชั้นในเหมือนกับเซี่ยเฟย แต่พวกเขาก็ไม่ได้มีโอกาสพบกันมากนัก เพราะทั้งคู่ได้อุทิศตนให้กับการฝึกฝนภายในศูนย์ฝึกหมิงเหอทั้งวันทั้งคืนจนแทบที่จะไม่ได้ออกมาด้านนอกเลย
เยว่เกอมักจะออกมานั่งทานอาหารกับเซี่ยเฟยเป็นครั้งคราว แต่เฉินตงเป็นพวกบ้าทำการฝึกฝนตั้งแต่เดิมอยู่แล้ว ทำให้ตลอดเวลาทั้งสัปดาห์เซี่ยเฟยจึงไม่ได้เห็นหน้าชายคนนี้เลย และถึงแม้ว่าพวกเขาจะได้พบกันแต่อย่างมากที่สุดเฉินตงก็จะเอ่ยทักทาย ก่อนที่เขาจะรีบทำธุระและกลับไปฝึกฝนต่อไป
แม้ว่าพฤติกรรมของสหายจะเปลี่ยนไปแต่เซี่ยเฟยก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพราะท้ายที่สุดเส้นทางที่แต่ละคนเลือกเดินก็มีความแตกต่างกัน เขาจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปห้ามการตัดสินใจของใคร
ในระหว่างนี้บริษัทควอนตัมก็ประสบความสำเร็จไปได้อย่างดี โดยเริ่มทำการขนส่งผลิตภัณฑ์ออกไปขายยังต่างดาว และถึงแม้ว่าผลกำไรที่พวกเขาได้รับกลับมาจะไม่สูงมากนักแต่มันก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี
หากปริมาณสินค้าที่ออกวางขายมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น ผลกำไรของบริษัทย่อมเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว โดยในปัจจุบันบริษัทควอนตัมมีผลกำไรที่สามารถเลี้ยงตัวเองได้แล้ว เซี่ยเฟยจึงไม่จำเป็นต้องให้เงินทุนในการเลี้ยงบริษัทอีกต่อไป
พลเมืองของสหพันธ์โลกรู้สึกตื่นเต้นกับความสำเร็จของบริษัทควอนตัมมาก จนทำให้บริษัทของพวกเขาโด่งดังไปทั่วทั้งดวงดาวและมีบริษัทมากมายที่ต้องการจะเข้ามาเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจ
เหล่านักธุรกิจต้องการจะออกไปตีตลาดนอกโลกมาเป็นเวลานานแล้ว ขณะที่บริษัทควอนตัมก็เป็นบริษัทเพียงแห่งเดียวในสหพันธ์ที่สามารถทำการค้าระหว่างดวงดาวได้ มันจึงทำให้แม้แต่พนักงานธรรมดาของบริษัทก็ยังสามารถยืดอกบนถนนได้อย่างภาคภูมิใจ
ภายในพริบตาช่วงเวลาฤดูหนาวก็เปลี่ยนไปเป็นฤดูใบไม้ผลิ ทำให้ต้นไม้เริ่มทำการผลิใบและการเริ่มต้นสำรวจซากปรักหักพังโบราณครั้งแรกของเซี่ยเฟยก็กำลังจะเริ่มต้นด้วยเช่นกัน
***************