ตอนที่แล้วตอนที่ 127: ความประหลาดใจ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 129: ฤดูหนาวถึงฤดูใบไม้ผลิ

ตอนที่ 128: สัญญา


ตอนที่ 128: สัญญา

ในไม่ช้ายานเดสทรอยเยอร์รุ่นคอร์โพเรชั่นก็ลงจอดในสนามบินพิเศษของค่ายฝึกชั้นใน ก่อนที่จะบรรทุกนักเรียนที่รออยู่เพื่อพาไปสำรวจซากปรักหักพังโบราณระดับ C

“ฉันอยากรู้จริง ๆ ว่าพวกเขาจะได้ไปเจออะไรบ้าง” เซี่ยเฟยพึมพำอย่างรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย

ผู้ที่ไม่เคยไปสำรวจซากปรักหักพังโบราณย่อมโหยหาสถานที่ลึกลับเหล่านั้นเป็นเรื่องปกติ เพราะท้ายที่สุดอารยธรรมโบราณก็เป็นผู้ครอบครองเทคโนโลยีระดับสูงสุดของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เทคโนโลยีในปัจจุบันยังไม่สามารถพัฒนาตามได้ทัน

ย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้นสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาเผ่าอื่น ๆ ไม่กล้าที่จะรุกรานมนุษย์ในสมัยโบราณเลยแม้แต่น้อย เพราะระดับเทคโนโลยีของพวกเขายังคงห่างไกลจากเทคโนโลยีของมนุษย์ มันจึงทำให้มนุษย์ในเวลานั้นมีความแข็งแกร่งมากเพียงพอที่จะดูถูกสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในจักรวาล

น่าเสียดายที่ในท้ายที่สุดอารยธรรมโบราณที่ทรงพลังนี้กลับถูกทำลายลง… ด้วยน้ำมือของตัวเอง

เซี่ยเฟยเฝ้าดูยานอวกาศบินจากไปก่อนที่จะเดินตามเยว่เกอไปที่อาคารสำนักงานของค่ายชั้นในเพื่อทำการลงทะเบียน

“ช่วงนี้เธอว่างหรอ?” เซี่ยเฟยถามด้วยรอยยิ้ม

“ยังจะมีหน้ามาถามอีกนะ! ระเบิดช็อกบอมบ์ของนายทำแขนชั้นหลุดและจมูกของหมานจุนต้องเย็บไป 7 เข็ม แล้วทุกคนยกเว้นไอ้บ้าเฉินต่างก็ได้รับบาดเจ็บกันหมด!!”

“จากนั้นสถานีอวกาศก็ระเบิดทำให้ยานอวกาศของโบซิงวาถูกคลื่นกระแทกซัดกระเด็นไปไกลหลายพันโลก่อนที่จะพังลง นี่ถ้าไม่ใช่เพราะมันมียานอวกาศบังเอิญผ่านมาแล้วได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือ วันนี้นายคงไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าฉันแล้วด้วยซ้ำ!!”

“ในตอนนั้นนายควรจะอยู่ช่วยพวกเราแทนที่จะไล่ตามยานลำนั้นไป รู้ไว้ซะ!” เยว่เกอเริ่มบ่น

“ขอโทษด้วย แต่ฉันต้องตามยานลำนั้นไปจริง ๆ แม้จะย้อนเวลากลับไปแต่ฉันก็ยังคงจะต้องเลือกเหมือนเดิม เพราะตอนนั้นฉันสันนิษฐานว่าเพื่อนของฉันถูกจับเอาไว้บนยานลำนั้น เมื่อเทียบกันแล้วพวกเธอมีโอกาสรอดมากกว่า แต่ถ้าฉันปล่อยเพื่อนฉันไปเพื่อนฉันก็มีโอกาสตาย 100%” เซี่ยเฟยกล่าวอธิบายอย่างเฉยเมย

แม้ว่าคำตอบของเซี่ยเฟยจะดูเย็นชาแต่ในช่วงเวลานั้นพวกเยว่เกอก็ดูมีอันตรายน้อยกว่าเซียวรั่วหยูจริง ๆ ดังนั้นชายหนุ่มจึงละทิ้งพวกเขาไปอย่างไม่ลังเลเพื่อติดตามยานอวกาศของพวกเซิร์กไป แต่น่าเสียดายที่เซียวรั่วหยูไม่ได้อยู่บนยานและความผิดหวังในเรื่องนี้ก็คงจะติดตัวเขาไปอีกนาน

“ช่างมันเถอะ! ไปลงทะเบียนกันดีกว่า” เยว่เกอจ้องมองไปที่เซี่ยเฟยอย่างขมขื่นก่อนที่เธอจะเดินนำไปด้วยใบหน้าที่ไม่น่าดู

บรรยากาศกลับเข้าสู่ความปกติอีกครั้งพร้อมกับเซี่ยเฟยที่เดินตามเยว่เกอไปจนถึงสำนักงานชั้นที่ 3 ก่อนที่เขาจะเคาะประตูห้อง

เมื่อประตูเปิดออกภาพที่ไม่คาดคิดก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าของเซี่ยเฟย เพราะไม่เพียงแต่ภายในห้องจะมีเพียงแค่จิ๋นซือผู้ซึ่งเป็นผู้อำนวยการค่ายชั้นในเท่านั้น แต่มันยังมีเย่จิ่งชาน, เย่เสี่ยวหานและคนอื่น ๆ อีกหลายคนนั่งอยู่ด้วย

“นั่งลงสิ” จิ๋นซือชี้นิ้วให้เซี่ยเฟยนั่งลงที่เก้าอี้กลางห้อง

“ตั้งแต่วันนี้ไปคุณมีสิทธิ์เข้าศึกษาในค่ายชั้นใน แต่ก่อนหน้านั้นฉันมีคำถามที่อยากจะถามคุณสักหน่อย” จิ๋นซือกล่าวขณะอ่านแบบฟอร์มที่อยู่ภายในมือ

เซี่ยเฟยพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไร

จากนั้นจิ๋นซือก็ถามคำถามเกี่ยวกับบ้านเกิดของเขา 2-3 ข้อก่อนที่จะถามต่อว่า

“ภายในค่ายชั้นในมีกฎที่แยกออกมาจากกฎโดยปกติ คุณคงเคยได้เข้าเยี่ยมชมค่ายชั้นในมาก่อนแล้วและคุณก็น่าจะรู้ว่าภายในค่ายชั้นในมีห้องฝึกฝนระดับสูงสุดตั้งอยู่ แต่ห้องฝึกฝนทุกห้องมีต้นทุนต่อวันที่สูงมาก ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่ใช่นักเรียนทุกคนที่จะสามารถใช้ห้องฝึกตามใจของตัวเองได้”

“ใช่แล้ว ฉันกำลังจะบอกว่ามันมีเฉพาะผู้ที่พวกเราแน่ใจว่าจะออกมารับใช้สมาพันธ์จัสทิสในอนาคต ถึงจะสามารถใช้ห้องฝึกพวกนี้ได้ตามต้องการ” จิ๋นซือกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

“รับใช้สมาพันธ์จัสทิสในอนาคต? มันหมายความว่ายังไงครับ?” เซี่ยเฟยผงะไปเล็กน้อยหลังได้ยินคำอธิบาย

“สมาพันธ์ได้ลงทุนฝึกอบรมนักเรียนในค่ายเป็นจำนวนมหาศาล ดังนั้นถ้าหากคุณต้องการใช้ห้องฝึกอบรมในค่ายชั้นในอย่างอิสระคุณต้องเซ็นสัญญากับสมาพันธ์ และหากสมาพันธ์ต้องการให้คุณเข้าร่วมกับแผนกใดในอนาคตคุณก็จะไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธได้” เย่เสี่ยวหานอธิบาย จากนั้นเธอก็อธิบายต่อไปว่า

“สมาพันธ์จะให้ความสำคัญกับนักเรียนที่เซ็นสัญญา นี่เป็นโอกาสที่ดีที่คุณจะได้เป็นจัสทิสเต็มตัวและสามารถเข้ามาทำงานกับสมาพันธ์ได้ในอนาคต”

เย่เสี่ยวหานอธิบายอย่างละเอียดคล้ายกับว่าเธอกำลังจงใจเตือนเซี่ยเฟยอยู่

หลังได้ยินคำอธิบายเซี่ยเฟยก็พยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไร

แม้ว่าสมาพันธ์จัสทิสจะดูเป็นสมาพันธ์ที่ยิ่งใหญ่แต่มันก็ไม่ใช่ว่าจัสทิสทุกคนจะต้องเรียนจบออกมารับใช้สมาพันธ์ เพราะในทุก ๆ ปีนักเรียนหลาย ๆ คนที่เรียนจบก็แยกย้ายไปทำในสิ่งที่ตัวเองชื่นชอบ ดังนั้นเว้นแต่ว่าสมาพันธ์จะมีคำสั่งเรียกตัวฉุกเฉิน จัสทิสเหล่านี้ก็สามารถที่จะเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ

แต่ถ้าหากใครลงนามในสัญญานี้เขาคนนั้นก็จะกลายเป็นสมาชิกของสมาพันธ์ในทันที และเมื่อไหร่ก็ตามที่ทางสมาพันธ์มีการออกคำสั่งผู้ลงนามก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธคำขอของสมาพันธ์

“ถ้าหากผมไม่เซ็นสัญญา ผมจะไม่มีสิทธิ์ได้เข้าค่ายชั้นในใช่ไหมครับ?” เซี่ยเฟยกล่าวถามด้วยรอยยิ้มหลังจากใช้เวลาพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง

สำหรับตัวเขาแล้วสัญญานี้ไม่ต่างไปจากสัญญาทาสเลยและเขาก็ไม่ชอบสัญญาที่บังคับขายตัวเองให้สมาพันธ์

“ไม่ใช่แบบนั้น ถึงคุณจะไม่เซ็นสัญญาแต่คุณก็ยังมีสิทธิ์ได้เข้าร่วมค่ายชั้นในอยู่ดี แต่ระยะเวลาการฝึกในห้องอบรมจะถูกจำกัดเอาไว้ที่ 90 ชั่วโมงต่อเดือน และถ้าหากว่าคุณต้องการจะฝึกฝนเพิ่มเติมคุณก็จำเป็นจะต้องนำคะแนนพิเศษมาแลก” เย่เสี่ยวหานอธิบายเซี่ยเฟยอย่างอดทน เพราะถ้าหากพิจารณาจากแววตาของเธอแล้วมันก็คล้ายกับว่าเธอไม่ต้องการให้เขาปฏิเสธสัญญา

“แอ๊ะแอ้ม! คุณยังไม่จำเป็นต้องตัดสินใจตอนนี้ก็ได้ นี่เป็นตัวอย่างสัญญาเชิญคุณเอากลับไปพิจารณาให้ละเอียดก่อน แล้วค่อยแจ้งผลการตัดสินใจกับพวกเราทีหลังก็ได้” จิ๋นซื่อพูดขัดจังหวะขึ้นมาเมื่อเห็นสถานการณ์ไม่ค่อยดี

ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เซี่ยเฟยก็สามารถตระหนักได้เลยว่าการเซ็นสัญญาในครั้งนี้จะทำให้เขามีอนาคตที่สดใส ซึ่งในความจริงแล้วเขาก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจที่จะต้องทำงานให้กับสมาพันธ์จัสทิส

ขณะเดียวกันการปฏิเสธสัญญาก็หมายความว่าเขาจะสามารถใช้ห้องฝึกได้อย่างจำกัด แต่เขาก็ไม่ได้คิดที่จะอยู่ภายในห้องฝึกทั้งวันทั้งคืนอยู่แล้ว เพราะเขาวางแผนที่จะแบ่งเวลาไปเรียนรู้ทักษะอื่น ๆ ยกตัวอย่างเช่น การอ่านหนังสือในห้องสมุด

นอกจากนี้การอยู่ในห้องฝึกอบรมที่เต็มไปด้วยพลังงานทั้งวันทั้งคืนก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี ไม่อย่างนั้นมันก็อาจจะทำให้ร่างกายของเขาได้รับความเสียหายอย่างไม่สามารถที่จะแก้ไขได้

“ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาครับ ผมตัดสินใจแล้วว่าผมจะไม่เซ็นสัญญาฉบับนี้” เซี่ยเฟยกล่าวตอบพร้อมกับส่ายหัว

คำตอบของชายหนุ่มทำให้เหล่าบุคลากรของค่ายฝึกที่อยู่ในห้องต่างก็ถอนหายใจออกมาอย่างถ้วนหน้า เพราะสัญญานี้เป็นโอกาสที่ดีที่จะทำให้นักเรียนสามารถพัฒนาตนเองได้อย่างไร้ขีดจำกัด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่คิดว่าจะมีคนที่กล้าปฏิเสธสัญญาฉบับนี้จริง ๆ

หากเป็นคนอื่นพวกเขาก็คงจะเซ็นสัญญาโดยไม่ลังเล และถึงแม้ว่าเซี่ยเฟยจะมีอาการลังเลเล็กน้อย แต่ในท้ายที่สุดเขาก็ปฏิเสธโอกาสครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต

ตั้งแต่การประเมินระดับวิกฤตชื่อของเซี่ยเฟยก็มักจะสร้างความปวดหัวให้กับพวกเขาอยู่เสมอ ไม่ว่าชายหนุ่มคนนี้จะอยู่ที่ไหน

ตั้งแต่วันแรกที่เข้าค่ายฝึกเซี่ยเฟยก็ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมแผนกใด ๆ และตัดสินใจไปเป็นบรรณารักษ์ที่ห้องสมุด ที่สำคัญคือในวันนี้เขามีโอกาสได้เข้าร่วมกับสมาพันธ์จัสทิสแต่เขาก็ยังคงตอบปฏิเสธราวกลับไม่เห็นสมาพันธ์อยู่ในสายตา

คำตอบของเซี่ยเฟยก็ทำให้เย่จิ่งชานขมวดคิ้วอย่างหนักเช่นกันและเขาก็กำลังรู้สึกคล้ายกับคนท้องผูกที่ถ่ายไม่ออก

จิ๋นซือหันศีรษะมองไปทางเย่จิ่งชานเพื่อขอความคิดเห็น ซึ่งหลังจากผู้บัญชาการค่ายรู้สึกลังเลอยู่นาน เขาก็พยักหน้ารับอย่างไม่สามารถจะทำอะไรได้

“เอาล่ะคุณรู้ไหมว่าคุณเป็นคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์ของค่ายที่ปฏิเสธสัญญา แต่ถึงอย่างนั้นตั้งแต่วันนี้ไปฉันก็ขอประกาศให้คุณได้เป็นนักเรียนของค่ายฝึกชั้นในอย่างเต็มตัว” จิ๋นซือกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ

“ขออนุญาตค่ะ” เย่เสี่ยวหานลุกขึ้นขออนุญาต

จิ๋นซือพยักหน้ารับอย่างเฉยเมยก่อนที่หญิงสาวจะส่งสัญญาณให้เซี่ยเฟยตามเธอออกไป ขณะที่ บุคลากรคนอื่น ๆ ก็เริ่มเดินออกไปจากห้องเหลือเพียงแค่จิ๋นซือและเย่จิ่งชานเท่านั้น

หลังจากที่ทุกคนออกไปแล้ว จิ๋นซือก็หันไปกระซิบถามเย่จิ่งชานเบา ๆ ว่า

“ผู้บัญชาการเย่ พวกเราจะเอายังไงกับเรื่องของเขาดี?”

“คุณกลับไปก่อน ฉันขอใช้เวลาคิดสักพัก” เย่จิ่งชานกล่าว

หลังได้รับคำตอบจิ๋นซือก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องอย่างระมัดระวัง ขณะที่เขาเริ่มพึมพำกับตัวเอง

“นักเรียนคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์ที่ปฏิเสธสัญญาและเป็นนักเรียนคนแรกที่ถูกเรียกตัวเข้าค่ายชั้นในก่อนมีพลังถึงระดับสตาร์ฟิลด์… ทำไมผู้บัญชาการเย่ถึงเลือกเซี่ยเฟยเข้าสู่ค่ายชั้นในกันนะ?”

เมื่อเย่จิ่งชานเหลือในห้องตัวคนเดียวเขาก็ไม่สามารถระงับความโกรธภายในใจได้อีกต่อไป เขาจึงใช้กำปั้นทุบลงไปบนโต๊ะอย่างรุนแรงพร้อมกับดวงตาที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิด

ชายชราต้องใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าจะฟื้นคืนความสงบกลับมาได้ จากนั้นเขาก็จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะเปิดไมโครคอมพิวเตอร์เพื่อติดต่อไปยังฉินหมางที่อยู่ในห้องสมุด

“สวัสดีครับอาจารย์” เย่จิ่งชานกล่าวด้วยความเคารพ

“มีอะไร?” ฉินหมางนั่งไขว่ห้างพร้อมกับดื่มชาปี้หลัวชุนที่เซี่ยเฟยให้เขามา ขณะเคี้ยวเมล็ดแตงโมที่เซี่ยเฟยเตรียมไว้ให้

สีหน้าของชายชราตอนนี้ดูผ่อนคลายมาก เพราะเขาสามารถกินนู่นกินนี่ได้ตลอดเวลาทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เขารู้สึกเบื่ออาหาร

ฉินหมางไม่เคยสนใจเรื่องเงินทองแต่เขาตกหลุมรักทั้งน้ำชาและเมล็ดแตงโมที่เซี่ยเฟยได้เตรียมมา ซึ่งสำหรับเขาแล้วของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนี้มีค่ามากยิ่งกว่าทองคำเป็นพัน ๆ ตัน

“เซี่ยเฟยปฏิเสธสัญญาครับ” เย่จิ่งชานกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว

“แล้วไง?” ฉินหมางถามกลับ

“อาจารย์ถ้าเขาไม่เซ็นสัญญา มันก็หมายความว่าเขาจะถูกเพ่งเล็งจากสมาพันธ์ ไม่ใช่ว่าอาจารย์อยากจะมอบตำแหน่งสำคัญให้กับเขาหรอครับ?”

“ฮ่า ๆ ๆ นายคิดไปถึงไหนกันเนี่ย! เขาอยากจะเข้าร่วมกับสมาพันธ์ไหมมันก็เรื่องของเขา ฉันสั่งให้นายทำอะไรก็ทำแค่นั้นก็พอ ส่วนที่เหลือไม่จำเป็นจะต้องกังวล” ฉินหมางกล่าวพร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดัง

“ได้ครับ” เย่จิ่งชานพยักหน้ารับด้วยใบหน้าที่บิดเบี้ยวและแม้แต่คนโง่ก็สามารถบอกได้เลยว่าภายในใจของเขากำลังเก็บงำความทุกข์เอาไว้มากแค่ไหน

หลังจากวางสายฉินหมางก็ลูบขนแมวดำในอ้อมแขนพร้อมกับพึมพำขึ้นมาว่า

“อย่างน้อยนายก็รู้ว่าควรเลือกอะไรหรือไม่ควรเลือกอะไร แบบนี้สิถึงจะน่าสนใจหน่อย”

***************

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด