ตอนที่ 127: ความประหลาดใจ
ตอนที่ 127: ความประหลาดใจ
หลังจากจัดการพื้นที่ชั้นบนของห้องสมุดเรียบร้อยแล้ว เซี่ยเฟยก็หยิบกุญแจทั้งสองดอกพร้อมกับเดินลงไปชั้นใต้ดิน
ชั้นใต้ดินมีห้องอยู่ทั้งหมดสองห้อง โดยห้องทางซ้ายเซี่ยเฟยได้เห็นแล้วว่ามันเป็นห้องเก็บหนังสือเกี่ยวกับทฤษฎีการเข้ารหัสหุ่นยนต์ที่หาได้ยาก แต่สิ่งที่อยู่ในห้องทางขวายังคงเป็นปริศนาสำหรับชายหนุ่ม
ความรู้เกี่ยวกับเรื่องหุ่นยนต์ถือว่าเป็นสิ่งต้องห้ามในพันธมิตร และการที่ฉินหมางตัดสินใจให้เขาเข้ามาทำความสะอาดห้องทั้งสองนี้ก็เป็นการแสดงออกเป็นอย่างดีว่าเขาไว้วางใจในตัวของชายหนุ่มมากแค่ไหน
เซี่ยเฟยเริ่มเข้าไปทำความสะอาดห้องทางซ้ายเป็นห้องแรกและภาพที่ปรากฏก็ยังคงเหมือนเดิม โดยมันมีตู้กระจกขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางห้องซึ่งภายในตู้ก็มีหนังสือเล่มหนาถูกวางไว้อยู่
หลังจากทำความสะอาดจนเสร็จเซี่ยเฟยก็ปิดประตูห้องทางซ้ายก่อนที่จะนำกุญแจมาไขเปิดประตูห้องทางขวา โดยห้องนี้มีขนาดพอ ๆ กันกับห้องทางซ้าย แต่ภายในห้องเต็มไปด้วยโต๊ะเก้าอี้และม้านั่งเก่า ๆ อย่างมากมาย
ภาพที่ปรากฏทำให้ชายหนุ่มรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เพราะเขาคิดว่าภายในห้องจะมีหนังสือล้ำค่าถูกเก็บเอาไว้อยู่ แต่หลังจากที่เขาได้เปิดเข้ามาดูเขากลับได้พบว่ามันเป็นเพียงห้องเก็บของธรรมดา ๆ
หลังจากเก็บกวาดทำความสะอาดห้องนี้แล้วเซี่ยเฟยก็เตรียมตัวจะออกไปพร้อมกับเครื่องดูดฝุ่นภายในมือ แต่ในทันใดนั้นมันก็มีความคิดแว๊บเข้ามาภายในหัว เขาจึงหยุดนิ่งอยู่กับที่ไม่เคลื่อนไหวไปไหน
“ทำไมจู่ ๆ ถึงหยุดแบบนั้น?” อันธถาม
แม้จะได้ยินคำถามแต่ชายหนุ่มก็ไม่ตอบกลับไป โดยเขาเลือกจะเดินไปรอบ ๆ ห้องพร้อมกับใช้เท้าวัดขนาดของห้องอย่างระมัดระวัง
“มันมีอะไรผิดปกติงั้นหรอ?” อันธถามอย่างสงสัย
“ฉันว่าขนาดของห้องทั้งสองห้องมันไม่ค่อยสมเหตุสมผล” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
หลังจากเดินออกมาจากประตูเซี่ยเฟยก็เริ่มวัดความยาวของทางเดินด้วยฝ่าเท้า และมันก็ทำให้ใบหน้าของเขายิ่งแสดงความประหลาดใจออกมามากขึ้นกว่าเดิม
“ความยาวของทางเดินอยู่ที่ 67 ก้าวแต่ความยาวของห้องทั้งสองห้องมีเพียงแค่ 45 ก้าวเท่านั้น แล้วทำไมความยาวของห้องมันหายไป 22 ก้าว?” เซี่ยเฟยกล่าวอย่างสงสัย
ทันใดนั้นอันธก็ตระหนักว่าทางเดินในชั้นใต้ดินมีความยาวกว่าห้องทั้งสองมาก ซึ่งมันก็มีโอกาสที่จะมีห้องลับถูกซุกซ่อนเอาไว้
หลังจากพิจารณาสถานการณ์ชายหนุ่มก็นำมือลูบกำแพง โดยหวังว่าเขาจะตรวจพบสาเหตุที่ทำให้ห้องทั้งสองมีความยาวน้อยกว่าที่ควรจะเป็น
ผนังที่เขากำลังใช้มือลูบทั้งราบเรียบและสะอาดไม่เหมือนกับจะมีประตูลับถูกซุกซ่อนเอาไว้เลย แม้แต่สีบนผนังก็เป็นสีเดียวกันซึ่งมันเห็นได้ชัดเลยว่าผนังแห่งนี้ถูกทาสีในเวลาเดียวกัน
หลังจากเดินไปมา 2 ครั้งเซี่ยเฟยก็เลิกค้นหาพร้อมกับกลับขึ้นไปบนห้องสมุดด้วยคำถามในหัวมากมาย แต่เขาก็เดินไปเก็บเครื่องมือพร้อมกับเดินมารินน้ำชาให้กับฉินหมาง
“พอตเตอร์สบายดีไหม?” ฉินหมางถาม
“ลุงพอตเตอร์บอกว่าเขามีเรื่องบางอย่างที่ต้องกลับไปทำ ตอนนี้เขาเลยออกจากสุสานยานไปแล้วและเขายังทิ้งจดหมายว่าให้ขายอู่ของเขาทิ้งไปซะ ผมคิดว่าเขาคงจะไม่กลับมาเร็ว ๆ นี้ครับคุณตา” เซี่ยเฟยอธิบายเรื่องของพอตเตอร์สั้น ๆ โดยไม่ได้พูดถึงเรื่องเครื่องรับสัญญาณระยะไกลที่พอตเตอร์ทิ้งเอาไว้ให้กับเขา
น่าเสียดายที่เครื่องรับสัญญาณระยะไกลชิ้นนี้เป็นเครื่องสื่อสารแบบทางเดียว หรือมันอาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าพอตเตอร์สามารถติดต่อมาหาเซี่ยเฟยได้เท่านั้น แต่ชายหนุ่มไม่สามารถติดต่อไปหาชายชราได้
“อ๋อหรอ” ฉินหมางพยักหน้าอย่างเสียดายเล็กน้อย จากนั้นเขาก็กล่าวขึ้นมาว่า
“ฉันลืมบอกไปว่านายจะได้เข้าค่ายชั้นในวันที่ 1 เดือนหน้า”
คำพูดของชายชราทำให้เซี่ยเฟยที่กำลังดื่มชาเกือบจะสำลักหลังฉินหมางพูดจนจบ
“คุณตาบอกว่าผมจะได้เข้าค่ายชั้นในเนี่ยนะ?”
“ใช่”
“ผมไม่เคยสมัครเข้าค่ายชั้นในและผมก็ไม่เคยเข้าร่วมการประเมินอะไรสักอย่าง แล้วผมจะมีสิทธิ์เข้าค่ายชั้นในได้ยังไง”
เซี่ยเฟยรู้สึกสับสนกับเรื่องนี้มาก เพราะเท่าที่เขาได้รู้มาการพยายามเข้าไปยังค่ายชั้นในเป็นเรื่องที่ยากลำบาก แต่เขากลับมีสิทธิ์เข้าไปในค่ายชั้นในโดยที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย ดังนั้นสิ่งที่ชายชราพูดออกมาจึงไม่ต่างไปจากการพยายามบอกเขาว่าพระอาทิตย์กำลังขึ้นทางทิศตะวันตก
“ใครบอกนายว่าคนมีสิทธิ์เข้าค่ายชั้นในจะต้องผ่านการประเมิน? นายคิดว่าการเข้าค่ายชั้นในเป็นการประลองหรือยังไงที่ใครชนะการประลองถึงจะเข้าไปค่ายชั้นในได้” ฉินหมางพูดพร้อมกับกรอกตา จากนั้นเขาก็ได้กล่าวต่อไปว่า
“ถ้านายไม่อยากเข้าค่ายชั้นใน เดี๋ยวฉันจะช่วยปฏิเสธผู้บัญชาการเย่ให้”
เซี่ยเฟยรู้สึกเหลือเชื่ออยู่เล็กน้อย เพราะเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ใช่คนโง่ที่ไม่รู้ว่าสภาพแวดล้อมของค่ายชั้นในเป็นเรื่องที่สะดวกสบายมากแค่ไหน โดยเฉพาะในห้องฝึกที่บรรจุพลังงานของหัวใจจักรวาลเอาไว้ที่ช่วยให้เขาสามารถดูดซึมน้ำยาที่ตกค้างในร่างกายได้เร็วขึ้น ดังนั้นมันก็คงจะมีเพียงแต่คนโง่เท่านั้นที่จะปฏิเสธโอกาสที่ดีขนาดนี้
“คุณตาใจเย็น ๆ ผมยังไม่ทันปฏิเสธเลยสักคำ ผมแค่ไม่รู้เหตุผลเท่านั้นเอง” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้มขณะรินน้ำชาเพิ่มให้ฉินหมางด้วยความเคารพ
“วิธีการเข้าค่ายชั้นในมีมากมายหลากหลายวิธี ตั้งแต่วันแรกที่นายได้ก้าวเท้าเข้ามาในค่ายนี้นายก็ถูกประเมินตั้งแต่วันนั้นแล้ว โดยการประเมินจะมีขึ้นในทุก ๆ เดือนและการที่นายได้เข้าค่ายชั้นใน มันก็หมายความว่าจะต้องมีคนถูกคัดออกจากค่ายชั้นในด้วยเช่นกัน” ฉินหมางกล่าวอธิบายช้า ๆ จากนั้นเขาก็ได้พูดต่อไปอีกว่า
“ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมนายถึงถูกเลือกเข้าค่ายชั้นในอันนี้ฉันก็ไม่รู้ เอาล่ะตั้งแต่เดือนหน้านายจะต้องมุ่งความสนใจไปที่การฝึกฝนแล้ว ดังนั้นตั้งแต่เดือนหน้านายไม่ต้องมาที่ห้องสมุด”
“แต่คุณตาครับถึงผมจะได้เข้าไปในค่ายชั้นในแล้ว ผมก็ตั้งใจที่จะมาทำงานที่ห้องสมุดเหมือนเดิมครับ” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพ่นควันออกมา
“อะไรนะ? นายอยากเป็นบรรณารักษ์ขนาดนั้นเลย? นายไม่กลัวคนอื่นจะล้อหรือยังไง” ฉินหมางอุทานออกมาอย่างุนงง
“เรื่องนี้ผมตัดสินใจแล้วและผมจะไม่มีวันเสียใจกับการเลือกของตัวเอง นอกจากนี้ทำไมผมถึงจะต้องไปสนใจความคิดของคนอื่นด้วย ใครจะคิดยังไงมันก็เรื่องของเขาไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับผมสักหน่อย” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับยักไหล่
“แล้วนายไม่กลัวว่าการมาทำงานในห้องสมุดจะทำให้การฝึกของนายล่าช้าหรอ?” ฉินหมางถามพร้อมกับดวงตาที่หรี่ลง
“ผมเคยมีโอกาสเข้าไปในค่ายชั้นในมาก่อนและสิ่งที่ดึงดูดผมมากที่สุดก็คือห้องฝึกที่นั่น แต่หลังจากที่ผมได้เข้าไปแล้วผมก็ได้รู้ว่าการอยู่ในห้องฝึกนานเกินไปไม่ใช่เรื่องดี เพราะพลังจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายตลอดเวลาแล้วผมก็คิดว่าร่างกายของคนเราก็เหมือนขวดน้ำ ดังนั้นถ้าหากว่าเราเติมน้ำเข้าใส่มากเกินไปน้ำมันก็จะไหลล้นออกมาจากขวด”
“ผมวางแผนจะมาทำงานที่ห้องสมุดในตอนกลางวัน แล้วเข้าไปฝึกในห้องฝึกช่วงเวลากลางคืนและที่สำคัญผมจะทิ้งคุณตาเอาไว้คนเดียวได้ยังไงล่ะครับ”
การประจบประแจงของเซี่ยเฟยทำให้ฉินหมางส่งเสียงหัวเราะ ก่อนที่เขาจะพูดออกไปว่า
“เอาล่ะไอ้หนู! ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่านายกำลังคิดอะไรอยู่ ในเมื่อนายตัดสินใจแล้วฉันก็จะไม่ปฏิเสธ ว่าแต่นายต้องการจะอ่านหนังสือในห้องสมุดนี่จริง ๆ หรอ?”
“ผมคิดว่ายอดนักสู้ที่แท้จริงไม่ควรจะมีความแข็งแกร่งทางร่างกายเพียงอย่างเดียว แต่มันจำเป็นจะต้องศึกษาหาความรู้เพิ่มทักษะในเรื่องอื่น ๆ ด้วย”
“ยกตัวอย่างเช่น ถ้าผมไม่ได้เรียนเรื่องช่างจากลุงพอตเตอร์ ผมก็คงไม่ชนะงานแข่งรถและผมก็คงไม่มีโอกาสได้เข้าไปเยี่ยมชมค่ายชั้นใน ถ้าไม่ใช่เพราะคู่มือฉุกเฉินที่คุณตาให้ผมอ่านผมก็คงจะไม่สามารถกลับมาจากการปฎิบัติภารกิจครั้งล่าสุดได้”
“ดังนั้นผมจึงคิดว่าความแข็งแกร่งทางร่างกายไม่ใช่ทุกอย่าง เพราะความรู้จากหนังสือพวกนี้ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย
“พูดได้ดี!” ฉินหมางกล่าวพร้อมหัวเราะออกมาเสียงดัง จากนั้นเขาก็ได้กล่าวต่อไปว่า
“พันธมิตรได้สร้างความเชื่อแปลก ๆ มาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ทำให้พวกเขาดูถูกผลิตภัณฑ์พวกเครื่องจักรและพวกเขาก็มักจะคิดว่าตราบใดที่พวกเขามีความแข็งแกร่งมากเพียงพอ พวกเขาก็จะสามารถพิชิตได้ทุกสิ่ง”
“แต่ในความเป็นจริงพวกเขาไม่เคยรู้เลยว่าความเชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ จะช่วยให้พวกเขาสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตัวเองได้เหมือนกัน ดังนั้นถ้าหากว่าพวกเขาต้องการจะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตัวเอง แล้วทำไมพวกเขาจะต้องปฏิเสธเทคโนโลยีที่ดีกว่าในปัจจุบันด้วย”
“ผมคิดว่าบางทีมันอาจจะเป็นเพราะอารยธรรมโบราณถูกทำลายโดยหุ่นยนต์ก็ได้ครับ มันเลยทำให้พวกเขาดูถูกเทคโนโลยีจากยุคโบราณ” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับหัวเราะออกมาเบา ๆ
“ไร้สาระ! ที่อารยธรรมโบราณถูกทำลายเพราะว่าพวกเขาข้ามเส้นไปต่างหาก ธรรมชาติเป็นผู้ให้ชีวิตแก่มนุษย์แต่มนุษย์กลับต้องการให้ชีวิตแก่เครื่องจักร พวกมนุษย์โบราณพวกนั้นไม่ทันได้รู้ว่าพวกเขากำลังพยายามทำตัวเป็นพระเจ้า ดังนั้นถึงแม้ว่าพวกเขาจะถูกลงโทษแต่มันก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว” ฉินหมางกล่าวออกมาอย่างเย็นชา
หากฉินหมางนำเรื่องนี้ไปพูดให้คนนอกเขาจะต้องถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกนอกคอกอย่างแน่นอน เพราะท้ายที่สุดเหล่ามนุษย์ในพันธมิตรต่างก็ชื่นชมบรรพบุรุษของตนเอง ไม่มีใครคิดจะมาวิพากษ์วิจารณ์บรรพบุรุษของพวกเขาแบบนี้
การที่ฉินหมางกล้าวิจารณ์มนุษย์โบราณให้เซี่ยเฟยได้ฟัง มันก็แสดงว่าชายชราได้ให้ความไว้วางใจกับชายหนุ่มและไม่กลัวว่าเซี่ยเฟยจะมาหักหลังเขาทีหลัง
“ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมานายเป็นนักเรียนเพียงคนเดียวที่มาสมัครเป็นบรรณารักษ์ในห้องสมุด ฉันหวังว่านายจะไม่งี่เง่าเหมือนคนอื่น ๆ จำเอาไว้ว่าหากนายต้องการจะเป็นยอดนักสู้ นายไม่เพียงแต่จะต้องมีความแข็งแกร่งทางด้านร่างกายเท่านั้น แต่นายจะต้องมีความรู้และเชี่ยวชาญในเรื่องเทคโนโลยีมากกว่าคนอื่น ๆ” ฉินหมางกล่าวขณะพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเองลง
“ผมเข้าใจแล้วครับ เพราะถ้าหากผมรู้แต่วิธีการต่อสู้เหมือนนักเรียนคนอื่น คุณตาก็คงจะไม่ยอมรับในตัวผมเหมือนกัน” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
ชายชราเพียงแค่ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาดื่มช้า ๆ โดยไม่พูดอะไรคล้ายกับว่าเขายอมรับสิ่งที่เซี่ยเฟยพูดไปโดยปริยาย
—
เมื่อกลับมาที่หอพักเซี่ยเฟยก็ได้รับแจ้งในระบบจดหมายว่าเขามีสิทธิ์เข้าไปฝึกในค่ายชั้นในตั้งแต่วันที่ 1 ในเดือนหน้า โดยการแจ้งเตือนนั้นได้บอกวิธีการเข้าฝึกค่ายชั้นในอย่างครบครัน มันจึงทำให้เขาไม่มีคำถามอื่นที่สงสัยในเรื่องนี้เลย
หลังจากผ่านเหตุการณ์อันน่าตื่นเต้นไม่ว่าจะเป็นการหลบหนีจากสถานีอวกาศ, การไล่ล่ายานรบของพวกเซิร์กและการหลงไปในเขตดาววิลเดอร์เนส ในที่สุดเซี่ยเฟยก็ได้กลับมาใช้ชีวิตที่สงบสุขอีกครั้ง
ชายหนุ่มใช้ชีวิตโดยการไปทำความสะอาดและอ่านหนังสือในห้องสมุดช่วงเวลากลางวันและพูดคุยกับแอวริลในช่วงเวลากลางคืน จากนั้นเขาก็ทำการฝึกซ้อมตามปกติก่อนที่จะเข้านอนเพื่อรอใช้ชีวิตในวันต่อไป
สิ่งเดียวที่น่าเสียดายคือเฉินตงและเยว่เกอได้เข้าค่ายชั้นในไปในก่อนหน้านี้แล้ว มันจึงทำให้ช่วงเวลามื้อค่ำเหลือเพียงแค่เขา, หมานจุนและเป๋ยไฮ่เท่านั้น ซึ่งมันก็ทำให้บรรยากาศการกินอาหารดูวังเวงไปเล็กน้อย
กาลเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วและในช่วงพริบตามันก็ถึงเวลาที่เซี่ยเฟยจะได้เข้าไปที่ค่ายชั้นในแล้ว
วันนี้เซี่ยเฟยตื่นตั้งแต่เช้าพร้อมเก็บของทั้งหมดเข้าไปในแหวนมิติ จากนั้นเขาก็ทำการวิ่งไปจนถึงพื้นที่ของค่ายชั้นใน
เมื่อมองจากระยะไกลเขาก็ได้เห็นหญิงสาวคนหนึ่งกำลังยืนอยู่บนสะพานหินโค้งสีขาวและกำลังถ่มน้ำลายลงในแม่น้ำ นอกจากนี้ในมือขวาของเธอยังมีแตงกวาแท่งหนาที่เธอยกขึ้นมากัดบ้างเป็นครั้งคราว
“เยว่เกอนั่นเธอกำลังทำอะไร?” เซี่ยเฟยเดินเข้าไปถามด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ต้องมายุ่ง! มันไม่ใช่เรื่องของนาย” เยว่เกอหันกลับมาตอบเซี่ยเฟยอย่างเย็นชา
นิสัยของหญิงสาวคนนี้ยังไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ซึ่งหลังจากที่เธอหันไปเหวี่ยงใส่ชายหนุ่มแล้วเธอก็เดินกระทืบเท้าจากไปโดยไม่พูดอะไร แต่ชายหนุ่มก็ยังคงเดินตามเธอมาอย่างเงียบ ๆ
หลังจากเดินมาสักพักเซี่ยเฟยก็ได้พบกับกลุ่มนักเรียนรวมตัวกันประมาณ 50 คนซึ่งหลายคนได้ถืออาวุธอยู่ในมือ
“นั่นพวกเขากำลังทำอะไร?” เซี่ยเฟยถามด้วยความสงสัย
“พวกเขากำลังจะไปสำรวจซากปรักหักพังโบราณระดับ C” เยว่เกอกล่าว
“สำรวจซากปรักหักพังโบราณ?”
“ใช่ สิทธิ์ได้เข้าไปสำรวจซากปรักหักพังโบราณถือได้ว่าเป็นสิทธิพิเศษของเด็กที่ได้เข้ามาในค่ายชั้นใน อีกไม่นานมันก็จะถึงตาของนักเรียนใหม่ที่ได้เข้าค่ายชั้นในในปีนี้ ฉันเดาว่านายก็มีโอกาสได้สำรวจซากปรักหักพังโบราณพวกนั้นด้วยเหมือนกัน” เยว่เกออธิบาย
คำอธิบายนี้ทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย เพราะเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่านักเรียนในค่ายชั้นในจะได้รับสิทธิพิเศษแบบนี้ด้วย
ซากปรักหักพังโบราณคือสถานที่ที่หลงเหลือมาจากอารยธรรมมนุษย์ในยุคแรก มันจึงทำให้ซากปรักหักพังโบราณมีสิ่งของจากยุคโบราณถูกซุกซ่อนเอาไว้อย่างมากมาย ยกตัวอย่างเช่น จักจั่นทองคำที่เป็นเครื่องจักรสังหารก็ถูกขุดพบในซากปรักหักพังโบราณด้วยเช่นกัน
พันธมิตรได้ทำการแบ่งซากปรักหักพังโบราณออกเป็นระดับต่าง ๆ ตั้งแต่ระดับ A ซึ่งเป็นซากปรักหักพังโบราณที่น่าสำรวจมากที่สุดไปจนถึงซากปรักหักพังโบราณระดับ E ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุด
โดยทั่วไปแล้วซากปรักหักพังระดับ A จะยังคงหลงเหลืออันตรายพร้อมกับสิ่งของมีค่า ขณะที่ซากปรักหักพังระดับ E จะเป็นซากปรักหักพังที่ปลอดภัย แต่มันก็เป็นซากปรักหักพังที่ถูกสำรวจมาแล้วเป็นจำนวนนับครั้งไม่ถ้วน
ขณะเดียวกันวัตถุโบราณส่วนใหญ่ในพันธมิตรก็ถูกควบคุมโดยกลุ่มดาวที่มีอำนาจหรือองค์กรสำคัญอย่างสมาพันธ์จัสทิส มันจึงทำให้คนทั่วไปไม่มีโอกาสเข้าไปสำรวจซากปรักหักพังเหล่านี้แม้แต่เพียงครั้งเดียว
อย่างไรก็ตามวัตถุโบราณอันล้ำค่าก็ยังคงดึงดูดหัวขโมยเป็นจำนวนมาก มันจึงมีผู้ลักลอบเข้าไปในซากปรักหักพังโบราณอย่างมากมายเพื่อหวังว่าพวกเขาจะได้กลายเป็นเศรษฐีในชั่วข้ามคืน
แต่ถึงกระนั้นนักเรียนจากค่ายชั้นในกลับมีโอกาสได้เข้าไปสำรวจซากปรักหักพังโบราณระดับ C และถึงแม้ว่าซากปรักหักพังระดับนี้จะไม่ใช่ซากปรักหักพังระดับสูงสุด แต่มันก็ยังมีโอกาสที่พวกเขาจะได้รับสมบัติล้ำค่ากลับมา
ทุกคนในปัจจุบันต่างก็รู้อยู่แล้วว่าเทคโนโลยีของอารยธรรมโบราณเหนือกว่าเทคโนโลยีในยุคปัจจุบันมาก และไม่ว่าจะเป็นอาวุธหรือวิชาการต่อสู้ต่าง ๆ ก็พัฒนาเหนือกว่าช่วงเวลาในปัจจุบันไปไกล
“โชคดีจริง ๆ ฉันเพิ่งรู้ว่าพวกเราจะมีโอกาสเข้าไปสำรวจซากปรักหักพังโบราณด้วย” เซี่ยเฟยกล่าว
“ทุกคนในค่ายชั้นในจะมีโอกาสได้เข้าไปสำรวจซากปรักหักพังโบราณ 1 ครั้งต่อปี โดยนักเรียนใหม่จะมีโอกาสได้สำรวจซากปรักหักพังโบราณระดับ E, นักเรียนปี 2 กับปี 3 สามารถเข้าสำรวจซากปรักหักพังโบราณระดับ D และนักเรียนปี 4 กับปี 5 จะมีโอกาสได้เข้าไปสำรวจซากปรักหักพังโบราณระดับ C แต่นายรู้ไหมว่าอะไรคือสิ่งที่ดึงดูดพวกเขาได้มากที่สุด?” เยว่เกอถามอย่างเจ้าเล่ห์
เซี่ยเฟยส่ายหัวเป็นคำตอบ เพราะว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินว่านักเรียนในค่ายฝึกชั้นในมีโอกาสได้สำรวจซากปรักหักพังโบราณ
“สิ่งที่น่าดึงดูดใจที่สุดคือซากปรักหักพังพวกนี้เป็นพื้นที่เฉพาะของสมาพันธ์จัสทิส ทำให้ไม่มีใครเคยเข้าไปสำรวจหากไม่ได้รับอนุญาต หรือมันอาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าซากปรักหักพังโบราณของสมาพันธ์ทุกแห่งยังมีสมบัติที่หลงเหลือให้พวกเราอีกเยอะ!”
เยว่เกอจงใจพูดเน้นคำว่า ‘สมบัติที่หลงเหลือ’ อย่างชัดถ้อยชัดคำ จนทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกเหมือนกับได้เห็นกรงเล็บยื่นออกมาจากหญิงสาวที่ไร้เดียงสา
***************