ตอนที่ 126: สร้างกองยาน
ตอนที่ 126: สร้างกองยาน
“ยานอินเตอร์เซปเตอร์? ฉันไม่เคยได้ยินยานประเภทนี้มาก่อนเลย มันเป็นยานรบขนาดใหญ่หรอ?” โบเดนตอบพร้อมกับส่ายหัว
คำตอบจากอีกฝ่ายทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่เขาก็ส่ายหัวไปมาพร้อมกับตอบกลับไปว่า
“ไม่ใช่ครับ มันมีขนาดพอ ๆ กันกับยานฟริเกตแต่สามารถเคลื่อนที่ได้เร็วกว่า 14,000 เมตรต่อวินาที แต่ผมเดาว่าความเร็วนี้ยังไม่ใช่ขีดจำกัดของมัน ถ้าหากว่ามันบินเต็มกำลังมันอาจจะสามารถบินได้เร็วกว่า 20,000 เมตรต่อวินาที”
“แม่จ้าว!!” โบเดนอุทานพร้อมอ้าปากค้างเมื่อได้ยินคำว่าบินเร็วกว่า 20,000 เมตรต่อวินาที
“ก่อนจะมีคนคิดค้นเครื่องยนต์วาร์ปมันเคยมีคนใช้เครื่องยนต์โปรตอนอยู่พักหนึ่ง ซึ่งเครื่องยนต์นี้สามารถทำให้ยานรบบินได้เร็วมาก แต่เครื่องยนต์ก็ไม่เสถียรมากนักแถมยังกินพลังงานสูงและดูแลลำบาก มันจึงทำให้ตอนนี้ไม่มีใครใช้เครื่องยนต์ชนิดนี้แล้ว” โบเดนกล่าวเมื่อพยายามนึกถึงเรื่องในบันทึก
“เท่าที่ผมเห็นผมคิดว่ายานลำนั้นไม่น่าใช้เครื่องยนต์โปรตอนนะ แต่ช่างมันเถอะถ้าพี่ไม่รู้ก็ไม่เป็นไร” เซี่ยเฟยส่ายหัวขณะพยายามนึกถึงยานแดกเจอร์
จากนั้นทั้งสองก็ออกไปบริเวณด้านหน้าอู่ที่มียานรบจอดอยู่มากกว่า 20 ลำ เมื่อมันได้รวมกับตัวอาคารและอุปกรณ์มันก็ทำให้มูลค่าของอู่แห่งนี้น่าจะเกินกว่า 1,000 ล้านสตาร์คอยน์
ท่ามกลางลานจอดยานมีแวมไพร์จอดอยู่อย่างเงียบ ๆ ซึ่งภายนอกยานลำนี้ดูไม่มีพิษมีภัยแต่มันจะแสดงเขี้ยวเล็บเมื่อได้เผชิญหน้ากับศัตรูเท่านั้น
“ทำไมนายถึงเปลี่ยนมาใช้ยานลำนี้ล่ะ ไทนี่ฟอลคอนรุ่นกองทัพลำเดิมหายไปไหน?” โบเดนถามพร้อมขมวดคิ้ว
หลังจากนั้นเซี่ยเฟยก็เล่าเรื่องที่เขาได้หลงเข้าไปในเขตดาววิลเดอร์เนสและมันก็ทำให้โบเดนต้องถอนหายใจออกมาอย่างน่าเสียดาย
“น่าเสียดายจริง ๆ ฉันเห็นยานลำนั้นมาตั้ง 13 ปีและอาจารย์ก็มักที่จะเดินไปเช็ดยานลำนั้นเป็นครั้งคราว”
“ช่างมันเถอะ! ฉันไม่คิดว่าอาจารย์จะตำหนินายหรอก สุดท้ายยานลำนั้นก็ได้ทำหน้าที่ของมันแล้ว” โบเดนกล่าวขึ้นมาอย่างเข้าใจ
ท้ายที่สุดสถานการณ์ก็บีบบังคับให้เซี่ยเฟยต้องเสียสละลูน่าไป ไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะไม่สามารถหนีออกมาจากเขตดาววิลเดอร์เนสได้อย่างปลอดภัย
“ดูเหมือนว่าตอนนั้นนายคงจะต้องลำบากมากเลยสินะ ไม่อย่างนั้นนายคงจะไม่ประกอบยานขึ้นมาลวก ๆ แบบนี้” โบเดนกล่าวหลังจากที่เขาเดินขึ้นไปบนแวมไพร์ที่ประกอบขึ้นมาอย่างยุ่งเหยิง
“ตอนนั้นผมไม่มีเวลามากเท่าไหร่ ผมเลยแค่ทำให้ยานมันบินได้ก็พอ” เซี่ยเฟยตอบพร้อมกับพยักหน้ารับ
“จุดเด่นของยานลำนี้คืออะไร?” โบเดนถาม
จากนั้นเซี่ยเฟยก็เล่าถึงคุณสมบัติของแวมไพร์และยิ่งโบเดนได้ฟังข้อมูลมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะในตอนที่เขาได้ยินเรื่องระบบดูดพลังงานที่ทำให้ดวงตาของเขาถลนออกมาจนเกือบหลุดจากเบ้า
“ยานฟริเกตที่สามารถติดตั้งระบบปล้นพลังงานได้อย่างนั้นหรอ? ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมนายถึงเลือกยานลำนี้แทนลูน่า เพราะถ้าเป็นฉัน ฉันก็คงจะตัดสินใจไม่แตกต่างกัน” โบเดนกล่าวพร้อมกับกลืนน้ำลายลงคอ
“ว่าแต่นายมีแผนจะดัดแปลงแวมไพร์ยังไงบ้าง?”
“ผมคิดจะลดพื้นที่อาศัยลง 2 ใน 3 เหมือนกับลูน่าเพื่อใช้พื้นที่พวกนี้ติดตั้งอุปกรณ์สำหรับการรบ นอกจากนี้ผมยังต้องการติดตั้งระบบดูดพลังงานชุดที่ 2 ด้วย” เซี่ยเฟยกล่าว
ก่อนเดินทางมาที่สุสานยานเซี่ยเฟยคิดเรื่องดัดแปลงแวมไพร์เอาไว้อยู่แล้วและจุดเด่นที่สุดของแวมไพร์คือมันสามารถติดตั้งระบบดูดพลังงานได้ ดังนั้นเขาจึงตั้งใจที่จะเสริมจุดเด่นของมันให้มากที่สุด
เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาติดตั้งระบบดูดพลังงานชุดที่ 2 เสร็จ มันก็จะทำให้แวมไพร์สามารถดูดพลังงานจากเป้าหมายได้เร็วขึ้นกว่าเดิมเป็นสองเท่า ซึ่งในระหว่างกระบวนการนี้มันไม่เพียงแต่จะเป็นการลดพลังของเป้าหมายเท่านั้น แต่มันยังเป็นกระบวนการที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับแวมไพร์อีกด้วย
“ติดตั้งระบบดูดพลังงานคู่งั้นหรอ…เรื่องนี้ถือว่าเป็นความคิดที่ดี แต่ฉันคิดว่านายควรติดตั้งระบบเกราะพลังงานคู่เสริมไปด้วย เพราะในระหว่างเปิดใช้ระบบดูดพลังงานแวมไพร์จะเหลือพลังมากพอเปิดระบบเกราะพลังงานคู่ ซึ่งมันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันของยานเป็นอย่างมาก” โบเดนกล่าวหลังจากพิจารณาการดัดแปลงของแวมไพร์
“พี่นี่รู้ใจผมจริง ๆ ตราบใดก็ตามที่มันช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของยานลำนี้ได้ จะให้ผมไปนอนในห้องกัปตันก็ไม่มีปัญหา!” เซี่ยเฟยยิ้มพร้อมกับตบไหล่โบเดนเบา ๆ
—
เมื่อได้กำหนดแผนการดัดแปลงยานอวกาศแล้วพวกเขาก็เริ่มดำเนินการในทันทีทำให้ช่วงบ่ายของวันนั้นอู่ของพอตเตอร์ก็เต็มไปด้วยความวุ่นวาย
เซี่ยเฟยเคยทำงานในอู่นี้มาก่อน ด้วยเหตุนี้เขาจึงคุ้นเคยกับช่างภายในอู่เป็นอย่างดีและช่างเหล่านี้ยังเสนอตัวทำงานล่วงเวลาเพื่อที่จะดัดแปลงแวมไพร์ให้สำเร็จลุล่วงโดยเร็วที่สุด
เซี่ยเฟยไม่ปฏิเสธความใจดีของทุกคนและเขาก็แอบติดต่อไปหาซันนี่เพื่อหาซื้อเสบียงมาให้เหล่าช่างด้วย
การดัดแปลงยานดำเนินไปอย่างรวดเร็วและพวกเขาก็ใช้เวลาเพียงแค่คืนเดียวในการแยกชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็น
ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ทำครัวคุณภาพดี, ที่นอนสุดหรูหรือโซฟานุ่มสบายต่างก็ถูกถอดออกมายกให้ช่างในอู่ทั้งหมดทำให้ทุกคนรู้สึกมีความสุขมาก เพราะพวกเขาไม่เหมือนกับเซี่ยเฟยที่ยอมนอนบนพื้นแข็ง ๆ เพื่อแลกกับการเพิ่มประสิทธิภาพของยานให้ได้สูงที่สุด
ขณะเดียวกันพวกเขาก็ทำการติดตั้งแบตเตอรี่สำรองเพื่อจะใช้ประโยชน์จากพลังงานของฝ่ายตรงข้ามให้ได้มากที่สุดด้วย
เครื่องแทรคชั่นคอนโทรลเลอร์กับเครื่องวาร์ปดิสรับเตอร์ก็ถูกถอดออกมาทำการปรับปรุงและติดตั้งเข้าไปใหม่ นอกจากนี้พวกเขายังติดตั้งปืนใหญ่คลัสเตอร์ดัดแปลงเข้าไปอีก 4 กระบอก
ปืนใหญ่คลัสเตอร์ดัดแปลงแต่ละกระบอกสามารถยิงลำแสงเลเซอร์ออกมาได้ถึงสองลำแสงทำให้อำนาจการยิงเพิ่มขึ้นจากเดิม 60% ขณะเดียวกันเซี่ยเฟยก็ไม่ได้รู้สึกกังวลเกี่ยวกับพลังงานที่ต้องใช้ในการยิงปืนใหญ่เหล่านี้เลย เพราะแวมไพร์สามารถดูดพลังงานของฝ่ายตรงข้ามมาเติมเต็มพลังงานของตัวยานได้อย่างง่ายดาย
นอกจากนี้พวกเขายังทำการติดตั้งระบบเกราะพลังงานแบบคู่ทำให้สามารถซ่อมแซมเกราะพลังงานได้อย่างต่อเนื่อง และช่วยเพิ่มการป้องกันของเกราะพลังงานอย่างน้อย 30%
โชคดีที่เซี่ยเฟยถอดอุปกรณ์ส่วนใหญ่จากลูน่ามาติดตั้งให้แวมไพร์แล้วทำให้พวกเขาไม่จำเป็นจะต้องซื้ออุปกรณ์เสริมมากนัก ยิ่งไปกว่านั้นแวมไพร์ยังเป็นยานที่ถูกใช้งานเพียงแค่เล็กน้อย ดังนั้นอุปกรณ์ภายในยานส่วนใหญ่จึงยังใช้งานได้เป็นอย่างดี
น่าเสียดายที่ระบบดูดพลังงานชุดที่ 2 มีปัญหาอยู่บ้าง เพราะอุปกรณ์ดูดพลังงานเดิมเป็นอุปกรณ์ระดับสูงสุดที่ถูกผลิตโดยบริษัทชั้นนำ ทำให้เซี่ยเฟยไม่สามารถหาอุปกรณ์ในระดับนี้มาติดตั้งให้กับแวมไพร์ได้ เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากจะต้องเลือกอุปกรณ์ดูดพลังงานระดับธรรมดามาติดตั้งเอาไว้ก่อน ซึ่งมันก็น่าจะเป็นข้อบกพร่องเพียงอย่างเดียวของแวมไพร์ในปัจจุบัน
ในเวลาเดียวกันซากยานบรรทุกอัลตรอนทั้งแปดลำที่เซี่ยเฟยสั่งซื้อมาก็ทยอยขนส่งเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยสภาพของยานเหล่านี้ดูทรุดโทรมจนเกือบจะดูไม่ได้ แต่มันก็ต้องรอจนกว่าพวกเขาจะทำการดัดแปลงแวมไพร์จนเสร็จพวกเขาจึงจะหันมาจัดการกับพวกยานบรรทุก
นอกเหนือจากยานบรรทุกแล้วเซี่ยเฟยยังซื้อยานจากอู่ของลุงพอตเตอร์จำนวน 2 ลำเพื่อไปทำหน้าที่เป็นยานรบคอยคุ้มกันทีมขนส่ง โดยยานที่เขาเลือกซื้อคือยานฟริเกตรุ่นริฟท์วอลเล่กับรุ่นเคสเทรล
ยานริฟท์วอลเล่เป็นยานรบที่มีความเร็ว ส่วนยานเคสเทรลก็เป็นยานที่มีพลังโจมตีที่รุนแรง ทำให้ยานรบทั้งสองรุ่นนี้สามารถส่งเสริมจุดอ่อนจุดแข็งซึ่งกันและกันได้เป็นอย่างดี ซึ่งเหมาะสำหรับการเอาไปใช้ในภารกิจคอยคุ้มกัน
ราคาสุทธิของยานบรรทุกอัลตรอนทั้งแปดลำอยู่ที่ 93 ล้านสตาร์คอยน์, ยานริฟท์วอลเล่มีราคาอยู่ที่ 28 ล้านสตาร์คอยน์และยานเคสเทรลมีราคาอยู่ที่ 35 ล้านสตาร์คอยน์
สิริรวมราคายานอวกาศทั้งหมดในทีมขนส่งสินค้ามีราคาเพียงแค่ 156 ล้านสตาร์คอยน์เท่านั้น แต่มันเป็นราคาที่ยังไม่รวมค่าบำรุงรักษา ซึ่งเซี่ยเฟยคาดการณ์ว่าการสร้างกองยานขนส่งนี้จำเป็นจะต้องใช้เงินอย่างน้อย 200 ล้านสตาร์คอยน์
อย่างไรก็ตามราคาของยานอวกาศทั้งหมดที่โบเดนขายให้กับเซี่ยเฟยก็ถือว่าเป็นราคาที่เท่าทุน โดยช่างผิวสีคนนี้ไม่ได้คิดกำไรจากเซี่ยเฟยเลยแม้แต่เหรียญเดียว
ความเป็นจริงการเดินทางในเขตพันธมิตรก็มีความปลอดภัยค่อนข้างสูงมาก และเหตุการณ์ปล้นสะดมจากกลุ่มโจรสลัดก็ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก แต่เหตุผลที่เซี่ยเฟยยืนยันจะซื้อยานรบทั้งสองลำเป็นยานคุ้มกันนั่นก็เพราะเหตุผลอื่น
ในปัจจุบันสหพันธ์โลกยังไม่มียานรบเป็นของตัวเองเลยแม้แต่ลำเดียว ซึ่งถ้าหากว่าบริษัทควอนตัมสามารถสร้างกองยานขึ้นมาได้สำเร็จ มันก็จะทำให้ประชากรทั่วทั้งดาวโลกรู้สึกตกตะลึง
การทำธุรกิจถือว่าเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ดังนั้นยิ่งบริษัทมีชื่อเสียงมากขึ้นเท่าไหร่พวกเขาก็จะยิ่งทำผลกำไรได้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น คล้ายกับการตกแต่งหน้าร้านที่ต้องทำให้โดดเด่นมันจึงจะสามารถดึงดูดลูกค้าเข้าร้านได้เป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้กองยานขนส่งของพวกเขายังต้องมุ่งหน้าตรงไปยังดาวเคราะห์ที่มีอารยธรรมระดับสูง ซึ่งถ้าหากว่าพวกมนุษย์ต่างดาวไม่เห็นว่ากองยานของพวกเขามียานรบคอยคุ้มกัน พวกเขาก็จะคิดว่าพวกเขากำลังทำธุรกิจกับบริษัทที่ไม่มีกำลังแม้แต่จะปกป้องตัวเอง
ในเมื่อเซี่ยเฟยตั้งใจจะสร้างกองยานเป็นของตัวเอง เขาก็จำเป็นจะต้องทำให้กองยานนี้เป็นกองยานที่ดูน่าไว้ใจ มันจึงจะทำให้เขาสามารถทำธุรกิจได้อย่างประสบความสำเร็จ
หลังจากจ่ายเงิน 200 ล้านสตาร์คอยน์ไปกับการสร้างกองยานขนส่ง บวกกับใช้เงิน 200 ล้านสตาร์คอยน์เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท และค่าใช้จ่ายในการดัดแปลงแวมไพร์ขึ้นมาใหม่ มันจึงทำให้เงินคงเหลือในบัญชีของเซี่ยเฟยลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมันก็อดทำให้เขาคิดขึ้นมาไม่ได้ว่าการใช้จ่ายเงินเป็นเรื่องที่ง่ายดายเสียจริง ๆ
โชคดีที่โบเดนไม่คิดจะขายเครื่องมือทั้งหมดที่พอตเตอร์ได้ทิ้งเอาไว้ เพราะเขาได้ใช้เครื่องมือพวกนี้มาเป็นเวลาหลายปี ด้วยเหตุนี้เขาจึงตั้งใจจะนำเครื่องมืออุปกรณ์ทั้งหมดในอู่ไปเริ่มงานใหม่ในบริษัทควอนตัมพร้อมกับเขาด้วย ซึ่งมันก็ช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับบริษัทไปอีกพอสมควร
10 วันต่อมาในที่สุดแวมไพร์ก็ถูกดัดแปลงจนเสร็จทำให้มันพร้อมที่จะทำการออกบินอีกครั้ง
“ยานลำนี้ดูธรรมดามาก ไม่เหมือนกับยานรบชั้นดีเลยสักนิด” โบเดนกล่าว
“ผมว่าการทำตัวไม่เด่นมันจะช่วยให้ผมมีชีวิตยืนยาวขึ้น ดังนั้นการที่ยานมีรูปลักษณ์ธรรมดาแบบนี้เป็นสิ่งที่ผมพอใจแล้ว ผมฝากเรื่องยานส่วนที่เหลือให้พี่จัดการด้วย ผมจะต้องเดินทางกลับไปที่ค่ายฝึกจัสทิสลีกแล้ว” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ไม่ต้องห่วง หลังจากจัดการยานทั้งหมดเสร็จแล้วฉันจะส่งพวกมันไปที่โลกให้เอง แต่ฉันยังต้องอยู่จัดการเรื่องอู่ต่ออีกสักหน่อยแล้วฉันค่อยตามไปทีหลัง” โบเดนกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
หลังจากพูดจบนายช่างผิวสีก็หันหน้าไปมองอาคารที่ทรุดโทรมและยานอวกาศต่าง ๆ ที่เขาเคยร่วมลงมือจัดการพร้อมกับอาจารย์อย่างนึกเสียใจ
“ตามสบายเลยพี่ ผมรู้ว่ากว่าลุงจะสร้างอู่ขึ้นมาได้ขนาดนี้มันไม่ใช่เรื่องง่ายและการจัดการเรื่องอู่ต้องค่อย ๆ ทำ พี่ค่อย ๆ หาคนซื้อที่เหมาะสมมาเป็นเจ้าของมันต่อก็ได้ อย่าให้อู่ของลุงตกไปอยู่ในมือของคนไม่ดีเข้าล่ะ” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับมองไปที่อู่ด้วยเช่นกัน
“ไม่ต้องห่วง ฉันจะหาคนที่ไว้ใจได้มาเป็นเจ้าของอู่คนต่อไปเอง” โบเดนพูดอย่างหนักแน่น จากนั้นเขาก็พูดออกมาว่า
“ซันนี่แอบบอกฉันว่าเขาอยากไปที่ดาวโลกด้วย ถึงแม้ไอ้เด็กคนนี้จะทะเล้นไปสักหน่อยแต่มันก็เป็นคนที่เอาการเอางานเหมือนกันนะ การเอามันไปด้วยก็เป็นเรื่องที่ไม่เลว”
“ช่วงนี้ผมก็เจอซันนี่บ่อยนะ ทำไมเขาไม่มาบอกผมเองล่ะพี่” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ถึงแม้ภายนอกซันนี่จะดูขี้เล่นและยิ้มอยู่ตลอดเวลา แต่มันกลัวแม่มันจะตาย! แม่ของมันบอกว่าอย่าไปรบกวนนายเด็ดขาด ดังนั้นมันเลยมาขอร้องฉันแทนนี่ไง” โบเดนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ซันนี่ค่อนข้างฉลาดแต่ยังขาดความนิ่งไปสักหน่อย ตราบใดก็ตามที่เขายังไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่สำคัญเขาก็น่าจะมาช่วยบริษัทของผมได้” เซี่ยเฟยกล่าวหลังจากใช้เวลาคิดพิจารณาอยู่พักหนึ่ง จากนั้นเขาก็ได้กล่าวต่อไปว่า
“โอเค ผมจะพาครอบครัวของซันนี่ไปที่โลกด้วย พวกเขากับครอบครัวของพี่ต่างก็เป็นคนพื้นที่ในดาวนี้เหมือนกัน อย่างน้อยพวกเขาก็น่าจะเป็นเพื่อนบ้านที่ดีให้กับครอบครัวของพี่หลังจากที่ต้องย้ายไปอยู่บนดาวโลกได้”
เซี่ยเฟยต้องการจะพาโบเดนไปช่วยงานบริษัท ด้วยเหตุนี้ถ้าหากว่ามันมีอะไรที่เขาพอจะทำให้ชายคนนี้ได้เขาก็จะไม่ปฏิเสธ ท้ายที่สุดเงินก็ไม่สามารถซื้อความซื่อสัตย์ได้และตราบใดก็ตามที่เขาทำให้โบเดนไว้ใจ สักวันหนึ่งชายคนนี้ก็จะคอยช่วยเหลือบริษัทของเขาไปจนสุดทางเช่นกัน
“ขอบใจมากที่นึกถึงครอบครัวของฉัน เอาล่ะพวกเราไปพักกันเถอะ นายต้องเตรียมตัวกลับไปรายงานตัวที่ค่ายอีก” โบเดนกล่าวพร้อมกับมองไปยังเซี่ยเฟยอย่างซาบซึ้ง จากนั้นเขาก็กล่าวออกมาด้วยความอ้ำอึ้งว่า
“ถ้าอาจารย์…”
“ไม่ต้องห่วง เมื่อไหร่ที่ลุงพอตเตอร์ติดต่อมาผมจะบอกพี่เป็นคนแรกเลย” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับตบไหล่โบเดน
—
ปัจจุบันแวมไพร์กำลังร่อนลงบนสนามบินในเขตชานเมืองออตเตอร์ของดาวเฮกสตาร์อย่างช้า ๆ
หลังเครื่องลงจอดเซี่ยเฟยก็รีบมุ่งหน้าไปยังค่ายฝึกโดยในตอนนี้เป็นเวลาประมาณ 9 นาฬิกาแล้วซึ่งเป็นเวลาเริ่มงาน ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่ได้มุ่งหน้าตรงไปที่หอพักแต่เขารีบมุ่งหน้าไปยังห้องสมุดแทน
ช่วงเวลานี้เข้าสู่หน้าหนาวของดาวเฮกสตาร์แล้ว ซึ่งเมื่อมองจากระยะไกลห้องสมุดก็ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน นอกจากนี้มันยังมีเศษใบไม้กระจัดกระจายอยู่อย่างมากมายคล้ายกับภาพตอนที่เขาได้มาพบมันเป็นครั้งแรก
ภายในห้องสมุดได้เปิดเครื่องฮีตเตอร์เอาไว้และฉินหมางก็กำลังนอนงีบกับแมวดำตัวใหญ่ในอ้อมแขนของเขา
เซี่ยเฟยหยิบใบชาที่ฉินหมางสั่งเอาไว้มาวางบนโต๊ะอย่างแผ่วเบา แต่ถึงแม้ว่าเขาจะให้อันเดร์ช่วยหาชาหลงจิ่งมาให้แล้ว แต่เขาก็สามารถหาชาพวกนี้มาได้เพียงแค่ 6 กิโลกรัมเท่านั้น เขาจึงหาชาชนิดอื่น เช่น ชาต้าหงเผาและชาปี้หลัวชุนมาให้ฉินหมางเป็นตัวเลือกเพิ่มเติม
หลังจากชงชานำมาเสิร์ฟบนโต๊ะโดยไม่ส่งเสียง ชายหนุ่มก็เริ่มทำความสะอาดห้องสมุดอย่างรวดเร็ว
ฉินหมางลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ แล้วใช้มือขวาลูบแมวตัวอ้วนที่นอนขี้เกียจอยู่ในอ้อมแขนของเขา พร้อมกับเฝ้าดูเซี่ยเฟยทำความสะอาดห้องสมุดโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เมื่อเซี่ยเฟยได้เห็นว่าฉินหมางตื่นแล้ว เขาก็รีบเดินมาด้วยรอยยิ้มพร้อมกับรินน้ำชาลงในถ้วย
“นี่คือชาต้าหงเผาเป็นชาสุดพิเศษจากดาวบ้านเกิดของผม มันมีทั้งกลิ่นหอมและมีรสหวานที่เป็นเอกลักษณ์ เชิญคุณตาลองชิมดูครับ”
ฉินหมางหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบช้า ๆ ซึ่งหลังจากที่เขาใช้เวลาพิจารณาอยู่สักพัก เขาก็พูดพึมพำขึ้นมาว่า
“กลิ่นหอม.. กลมกล่อม.. เข้มข้น.. ถือว่าเป็นชาที่ดี”
“นี่คือกุญแจห้องในชั้นใต้ดิน หลังจากนี้นายเข้าไปทำความสะอาดในห้องใต้ดินด้วย” ชายชรากล่าวพร้อมกับหยิบกุญแจเก่า ๆ ออกมา 2 ดอก
“...”
เซี่ยเฟยรับกุญแจมาจากฉินหมางด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย เพราะก่อนหน้านี้ชายชราไม่เคยปล่อยให้ชายหนุ่มไปที่ห้องใต้ดินมาก่อน แต่ตอนนี้ชายชรากำลังมอบกุญแจให้กับเขาแล้วจริง ๆ
นี่มันหมายความว่าอะไรกันแน่?
***************
เอาแล้ว! มันจะต้องมีอะไรซ่อนอยู่แน่ ๆ!!