ตอนที่ 1037 คุณลุง บังเอิญจัง เราได้พบกันอีกแล้ว..
สโมสรฟุตบอลหยุนเฉิง เดิมอยู่ในมือของเศรษฐีคนหนึ่งในเมืองหยุนเฉิง เศรษฐีคนนี้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเนื่องจากบริษัทได้ซบเซา และค่าใช้จ่ายของสโมสรก็มีจํานวนมาก บวกกับการจัดการที่ไม่ดี และไม่สามารถทํากําไรได้ มันจึงค่อยๆ กลายมาเป็นภาระ และต้องการกําจัดเผือกร้อนนี้ออกไป
ภายใต้การเจรจาของ เว่ย เยว่เอ๋อร์ ในที่สุด หยงจิ่ว กรุ๊ป ก็เข้าครอบครอง สโมสรฟุตบอลหยุนเฉิง ในราคาที่คุ้มค่ามาก และเข้าครอบครองทรัพย์สินทั้งหมดของสโมสร รวมถึงนักเตะที่มีอยู่ด้วย
หลังจากได้รับสโมสรมาแล้ว หลินฟาน ก็ได้ตรวจสอบสถานการณ์ทางการเงินของสโมสร ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หลินฟาน เองมีทักษะด้านการลงทุนในระดับบนสุด และเขาก็ได้พบว่าสภาพการดําเนินงานของสโมสรในมือของเศรษฐีคนนั้น มันแย่มาก..
นี่เป็นเพราะเศรษฐีคนนี้ไม่เข้าใจฟุตบอล ตอนแรกที่เขาได้ซื้อสโมสรฟุตบอลหยุนเฉิง มันก็เป็นเพราะการลงทุนในเชิงพาณิชย์ล้วนๆ เขาเพียงแค่ต้องการทำเงินผ่านโครงการนี้ แต่เพราะขาดความเข้าใจในอุตสาหกรรม รายรับ และรายจ่ายเกิดความไม่สมดุลกันอย่างรุนแรง , ทำให้เกิดเป็นการลงทุนสูงขึ้นบ่อยครั้ง เช่นนี้มันก็ไม่ต่างอะไรกับการใช้กระจาดไม้ไผ่ตักน้ำ มันก็เท่ากับเปล่าประโยชน์ และยิ่งระยะหลังๆ รายได้ยังไม่พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องได้ มันจึงจำเป็นที่จะต้อง กำจัดทิ้ง…
การที่ไม่เข้าใจอุตสาหกรรม และยังพยายามเบียดตัวเข้าไปในอุตสาหกรรม มันก็เป็นความผิดพลาดที่นักลงทุนจำนวนมากมักที่จะทำ.. พวกเขามักจะมองเห็นแค่ทะเลแดง แต่กลับมองไม่เห็นวิกฤติที่อยู่ตรงหน้า นั่นก็คือความหมายที่ว่าทำไม ผู้นำที่เป็นฆราวาส (คนธรรมดา) สุดท้ายก็ได้ถูกหลอกโดนเล่ห์เหลี่ยม ของผู้เชี่ยวชาญที่อยู่วงใน
หลินฟาน ที่ได้ซื้อสโมสรฟุตบอลหยุนเฉิง จุดประสงค์ในตอนแรกของเขาก็คือ เพื่อฝึกอบรมนักฟุตบอลที่ยอดเยี่ยม และส่งไปยังทีมชาติ และให้พวกเขาได้เปิดตัวในการแข่งขันฟุตบอลโลก และก้าวเข้าชิงถ้วยรางวัล ฟีฟ่าเวิลด์คัพ
ความคิดของ หลินฟาน นั้น ..บริสุทธิ์มาก เขาอยากที่จะสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ และทําให้ฟุตบอลจีน สามารถลืมตาอ้าปากไปได้ทั่วโลก เรียกได้ว่า ‘หัวใจ’ ของเขานั้น บริสุทธิ์มากจริงๆ!
แต่ หลินฟาน ในฐานะหัวหน้าของกลุ่ม ในเวลาเดียวกันนั้น เขาเองไม่สามารถทําธุรกิจที่ขาดทุนได้ และเขาไม่สามารถทิ้งความยุ่งเหยิง ที่มันเต็มไปด้วยขนไก่ไปทั่วพื้น(1) เช่นนี้ได้ เหมือนกับเจ้าของคนก่อนของสโมสร
การพูดถึงการพัฒนาสโมสรฟุตบอล มันสามารถทำได้ก็ต่อเมื่อ ..สโมสรมีรายได้
มันก็ ..ราวกับว่า คนๆ หนึ่ง สามารถพูดคุยเกี่ยวกับอุดมคติได้ก็ต่อเมื่ออิ่มท้อง มิฉะนั้นเขาก็จะอดตาย และเมื่อได้พูดคุยเกี่ยวกับอุดมคติ มันก็จะเท่ากับผายลมได้เพียง ..เท่านั้น
หลินฟาน ได้ใช้การตัดสินใจจากทักษะด้านการลงทุนระดับบนสุด และตัดสินใจที่จะดําเนินการแก้ไขปรับปรุงสโมสรครั้งใหญ่ และนั่นก็ได้ทำให้สโมสรฟุตบอลหยุนเฉิง ได้กําลังเผชิญหน้ากับแผ่นดินไหวครั้งใหญ่
แต่คนในสโมสรกลับดูใจเย็นมาก แต่ในสายตาของพวกเขา นี่เป็นเพียง ‘ไฟสามดวง’(2) ที่เจ้าหน้าที่ หรือข้าราชการใหม่ได้เข้ารับตําแหน่ง ไม่นานความวุ่นวายเช่นนี้ มันก็จะจบลง ทั้งมันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆ ต่อพวกเขา
และเท่าที่พวกเขารู้ หลินฟาน แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองหยุนเฉิง แต่ความรู้เกี่ยวกับเรื่องฟุตบอลนั้น หลินฟาน ก็คงไม่ได้ดีไปกว่า เจ้านายคนก่อน ..อย่างแน่นอน, และหลินฟาน ก็เป็นฆราวาส (คนธรรมดา) ไม่ต่างกัน
คนธรรมดาคนหนึ่ง ..จะไปทำอะไรได้ ก็แค่ก่อความวุ่นวาย หลังจากนั้นจะเป็นอย่างไร หรือกลายเป็นอย่างไร มันก็แค่นั้น
หลี่ ซานเฟิ่ง หัวหน้าโค้ชของ สโมสรฟุตบอลหยุนเฉิง ก็มีความคิดเช่นนี้
แล้วในฐานะหัวหน้าโค้ช เขาก็คิดว่าตัวเองเป็นคนที่รู้เรื่องฟุตบอลมากที่สุดในสโมสร หากเขาเป็นคนที่สอง งั้นคงไม่มีใครกล้าที่จะเป็นที่หนึ่งได้
เจ้านายคนก่อนให้ความสําคัญกับเขามาก ไม่ว่าเขาพูดอะไรออกไป ยังไงเจ้านายที่ไม่เข้าใจฟุตบอล ก็ได้แต่เชื่อฟังเขาเท่านั้น
หลี่ ซานเฟิ่ง ได้อาศัยความไว้วางใจของเจ้านาย ทำเงินไปได้ ไม่ใช่น้อยๆ
จะว่าไปแล้ว.. ฟุตบอลก็เป็นกีฬาที่ทํากําไรได้มหาศาล นั่นก็เพราะมีแฟนคลับฟุตบอลจำนวนมากมายอยู่ทั่วโลก ฟุตบอลเองถือได้ว่าเป็นกีฬาระดับโลกประเภทเดียวที่มีแฟนๆ จำนวนนับไม่ถ้วน
ความนิยม มันก็คือ เงินทอง ยังไง..
นักฟุตบอลดาวรุ่งระดับโลก, แค่เสื้อเบอร์ของเขาก็สามารถทำเงินได้มากมายในแต่ละปี, และนั่นก็เพราะมีแฟนบอลมากมาย และผู้คนมากมายที่ว่านี้ก็ได้ใช้จ่ายเงินออกไป ด้วยเพราะเหตุผลง่ายๆ เช่นนี้
และกีฬาที่ไม่เป็นที่นิยมบางประเภท เช่น ยกน้ำหนัก ว่ายน้ำ ยิมนาสติก ฯลฯ ที่ไม่ได้รับความนิยมมากนัก, นักกีฬาประเภทนี้, พอเกษียณตัวเอง ก็ไม่ได้มีแม้แต่หลักประกันชีวิต, เคยมีข่าวว่า นักยิมนาสติกบางคน หลังเกษียณแล้ว ก็ได้ออกไปขายงานศิลปะอยู่ข้างถนน ซึ่งชีวิตก็น่าขมขื่นมาก..
นี่มันช่างแตกต่างจากนักฟุตบอล ที่ได้อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ และได้ซื้อรถคันหรูๆ
และไม่ต้องพูดถึงนักฟุตบอลระดับโลก อย่างเช่น โรนัลโด (Ronaldo) เมสซี (Messi) ฯลฯ พวกเขาเหล่านี้มีค่าตัวหลายร้อยล้าน และนักกีฬาบางคนที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียง เงินเดือนเองก็น่าประทับใจมาก เช่น บรรดานักฟุตบอลในจีน ซึ่งเล่นฟุตบอลได้เละเทะมาก แต่ก็กลับไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อพวกเขา พวกเขาเองยังสามารถทำเงินได้อย่างมากมายมหาศาล..
แน่นอน.. ฟุตบอลสามารถทำเงินได้มาก ด้วยเศรษฐกิจตลาด(3) ตลาดฟุตบอลเองก็ได้มีขนาดใหญ่ และเงินเดือนของนักเตะเองก็ต้องสูงขึ้น ..โดยธรรมชาติอยู่แล้ว
ผู้คนมักไม่พอใจ ฟุตบอลทีมชาติ ที่เตะได้แย่ขนาดนั้น แต่ยังสามารถทำเงินได้มากขนาดนี้ มันเหมือนกับการเสียเงินเลี้ยงดูขยะกลุ่มหนึ่ง ส่วนนักกีฬาจากสโมสรอื่นๆ เห็นได้ชัดว่าสามารถคว้าแชมป์ มาสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศได้ แต่กลับถูกปฏิบัติแย่ยิ่งกว่ากลุ่มขยะของทีมชาติซะอีก ซึ่งมันก็น่ารําคาญจริงๆ
จริงๆ แล้วมันช่วยไม่ได้, ใครใช้ให้กีฬาฟุตบอลมีความนิยมสูงล่ะ?
มันก็อย่าง นักเขียนคนหนึ่ง ได้เขียนนวนิยาย 10,000 คําต่อวัน แต่กลับมีคนอ่านไม่กี่คน หนึ่งเดือนก็แค่สามารถหาเงินมาซื้อบุหรี่สูบได้, เน็ตไอดอลหญิงคนหนึ่ง ก็แค่โพสท่าเกาหัวต่อหน้ากล้อง ดึงดูดมนุษย์หมาป่าได้หลายพันคนให้เข้ามาชม ครึ่งปีเธอก็สามารถซื้อห้องที่มองเห็นวิวทะเลได้ เหตุผลที่ว่านี้ ..มันก็เหมือนกัน
หลี่ ซานเฟิ่ง ในฐานะหัวหน้าโค้ชของสโมสรหยุนเฉิง และเจ้านายคนก่อนที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับฟุตบอล ดังนั้นมันจึงทำให้เขาเจริญรุ่งเรืองไปได้มาก
แม้ว่าตอนนี้สโมสรหยุนเฉิงจะเปลี่ยนเจ้าของแล้ว แต่ในมุมมองของ หลี่ ซานเฟิ่ง ก็ไม่ต่างกัน พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นคนธรรมดาที่ไม่เข้าใจฟุตบอล เขาเองเพียงแค่ต้องใช้เทคนิคเก่าๆ ซ้ำๆ ก็พอแล้ว อย่างไรเขาก็เป็นคนที่เข้าใจฟุตบอลมากที่สุดในสโมสร ส่วนเจ้านายก็ทำได้แต่เลือกที่จะเชื่อฟังเขา ไว้ใจเขา..
ผลงานของทีมฟุตบอลก็ต้องเกิดจากโค้ชเช่นเขา ถ้าทีมเกิดแพ้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ก็ต้องไม่ใช่ความผิดของโค้ช เช่นเขาอยู่แล้ว
และนั่นมันก็เป็นวิธีที่เขาได้ใช้กับ เจ้านายคนก่อน และเขาก็ได้ถูกเขาหลอกจนเป็นง่อย ..เช่นนี้
หลี่ ซานเฟิ่ง อาจไม่เคยคิดฝันเลยว่า หลินฟาน จะตรงกันข้ามกับที่เขาคาดไว้ และแน่นอนว่า อีกไม่นานเขาจะเตะโดนแผงเหล็ก ..เข้าให้แล้ว
หลังจากการฝึกซ้อมตามปกติของวันนี้ หลี่ ซานเฟิ่ง ก็ได้ถูกล้อมรอบไปด้วยกลุ่มนักเตะ และกำลังวางแผนที่จะออกจากสโมสร พร้อมด้วยคำเยินยอจากเหล่านักเตะ หลี่ ซานเฟิ่ง ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นเจ้านาย และนักเตะเหล่านี้ก็ดูเหมือนจะเป็นลูกน้องของเขา
ทันใดนั้น หลี่ ซานเฟิ่ง ก็ได้สังเกตเห็น ชายวัยกลางคนที่พิการ คนหนึ่ง กำลังเดินเข้ามาหาเขา
หลี่ ซานเฟิ่ง เองก็ได้เกิดสงสัย และในไม่ช้าเขาก็จำ ชายวัยกลางคนที่พิการ คนนี้ได้ ..อย่างรวดเร็ว
ภาพฉากในอดีตมันก็ได้ปรากฏขึ้นในหัวของ หลี่ ซานเฟิ่ง ในทันที!
อู๋ ต๋า ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นอัจฉริยะฟุตบอล และได้รับการยกย่องว่าเป็นเท้าขวาแข้งทอง บางคนบอกว่าเขาเป็น ดวงดาวจื่อเวย ที่ได้ตกลงมาจากท้องฟ้านำความรุ่งเรืองมาสู่วงการฟุตบอลจีน พร้อมกับเขาที่ได้นำฟุตบอลจีนเข้าสู่ยุคสมัยที่แข็งแกร่งที่สุด ..
ในเวลานั้น ทีมของ อู๋ ต๋า ก็มีเพียง อู๋ ต๋า ที่โดดเด่น และเปล่งประกายมากที่สุด ส่วนคนอื่นๆ ก็ล้วนพากันดับแสงจน ดูมืดมนไปในทันที
ในตอนนั้น หลี่ ซานเฟิ่ง ก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาทำได้เพียงเงยหน้าขึ้นมองไปที่ อู๋ ต๋า และต่อหน้า อู๋ ต๋า เขาก็เป็นเหมือนกับ น้องชาย ที่แสนต่ำต้อย
แต่.. เวลามันก็ได้เปลี่ยนไปแล้ว
ตอนนี้เขา หลี่ ซานเฟิ่ง ได้กลายเป็นหัวหน้าโค้ชของสโมสรหยุนเฉิงแล้ว และเขาก็ดูมีอนาคตที่ไม่สิ้นสุด แต่เมื่อมองกลับไปที่อัจฉริยะที่มีชีวิตชีวาในปีนั้น ตอนนี้เขากลับดูเป็นลุงที่พิการที่ตกอับ สวมใส่เสื้อผ้าที่ขาด และสกปรก หากจะบอกว่าเป็นขอทานก็ดูไม่มากเกินไป
หลี่ ซานเฟิ่ง ที่ได้เห็น เขาก็ได้เริ่มเยาะเย้ยเขาในทันที น้องชายผู้ต่ำต้อยในปีนั้น ได้ใช้คำพูดที่รุนแรงที่สุดเพื่อเหยียบย่ำอัจฉริยะที่ตอนนี้กลับตกต่ำลงถึงเพียงนี้ ราวกับว่าความอดกลั้นที่ตัวเองต่ำต้อยในอดีต ได้รับการระบายออกมา และกลายเป็นความรู้สึกที่เหนือกว่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
กลุ่มนักเตะเหล่านั้นเอง อาจไม่รู้สึก หรือคิดว่า หลี่ ซานเฟิ่ง ทำมากเกินไป แต่ใครจะไปกล้าคิดรุกราน หลี่ ซานเฟิ่ง และนั่นก็ทำให้พวกเขาทั้งหมดได้พากันหัวเราะเยาะ ชายวัยกลางคนที่พิการ
แต่.. ในเวลานี้ หลินฟาน ก็ได้มาถึง
“คุณลุง บังเอิญจัง เราได้พบกันอีกแล้ว..”
หลินฟาน ได้เดินเข้ามาราวกับว่าเขา ไม่ได้ยินคําพูดของ หลี่ ซานเฟิ่ง เมื่อครู่นี้ และได้เดินตรงเข้าไปหา ชายวัยกลางคนที่พิการ
ชายวัยกลางคนที่พิการ เมื่อเห็น หลินฟาน เขาก็ดูมีความสุขมาก และเขาก็ไม่สนใจ หลี่ ซานเฟิ่ง และคนอื่นๆ เขาได้พูดไปว่า : “พ่อหนุ่ม ฉันมาที่นี่เพื่อสมัครงาน”
หลินฟาน ได้กล่าวว่า : “อืมม.. ยินดีต้อนรับครับ!”
หลี่ ซานเฟิ่ง และคนอื่นๆ ได้มองหน้ากัน แล้วไอ้เด็กคนนี้ เป็นใคร?
(1)[ขนไก่เต็มพื้น (满地鸡毛)] - หมายถึง การทำสิ่งของบางอย่างให้ยุ่งเหยิง และเลอะเทอะไปทั่วพื้น
(2)[ไฟสามดวง (新官上任三把火)] - หรือ ‘ไฟสามดวง สำหรับข้าราชการใหม่ที่จะเข้ารับตำแหน่ง’ ซึ่งเป็นอุปมาอุปไมยว่า ข้าราชการใหม่ต้องทำสิ่งที่มีอิทธิพลสองสามอย่างก่อน เพื่อแสดงความสามารถ และความกล้าหาญ ซึ่งจะต้องวางท่าทาง และทำการใดๆ ให้ดีอยู่เสมอ เพื่อเชิดชูเกียรติ และแสดงความสามารถของตน
- ในสำนวนไทยจะหมายถึง ‘ขี้ใหม่หมาหอม’ - ของใหม่ที่ใครๆ ก็เห่อ แต่อาจจะไม่ใช่ของที่ดีจริงๆ อย่าง .. “ได้เจ้านายมาใหม่ๆ ใครก็ชื่นชมยังกับขี้ใหม่หมาหอม ..แต่อีกหน่อยก็จะรู้สึก”
(3)[เศรษฐกิจตลาด (市场经济嘛)] - หรือ ‘Market Economy’ หรือที่เรียกว่าเศรษฐกิจแบบทุนนิยม หรือเศรษฐกิจแบบองค์กรเสรี เป็นกฎเกณฑ์ที่มนุษย์สร้างขึ้นตามธรรมชาติ มีลักษณะเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลในสินทรัพย์ทุน (เครื่องมือการผลิต) และกิจกรรมการลงทุนอยู่ภายใต้การตัดสินใจของแต่ละคนที่จะแบกรับความเสี่ยง และความสูญเสีย แทนที่จะควบคุมโดยรัฐ สร้างกำไรด้วยวิธีการผลิต โดยการจ้าง หรือใช้แรงงาน