ตอนที่ 18
“นายน่ะ…รู้ไหมว่าที่ทำอยู่มันอันตรายแค่ไหน?”
โคลเตอร์ถามรูนซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรเลย
สมาธิของรูนนั้นเพ่งไปที่โอเกอร์เท่านั้น
“เฮ่อ…ไอ้เด็กน่าหงุดหงิดนี่”
โคลเตอร์ถามอาจารย์ไฮเดลที่ยืนอยู่ด้านข้าง
“แล้วเราจะทำยังไงกันล่ะ? เราแค่ต้องนั่งรอดูเขางั้นเหรอ?”
อาจารย์ไฮเดลนั้นพร้อมที่จะร่ายเวทย์ม่านพลังชั้นสูงใส่รูนและเข้าไปช่วยอยู่แล้ว แต่ดวงตาของเขากำลังจับตามองสถานการณ์ด้วยความเย็นชาและคำนวนทุกอย่างอยู่
มันเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความเชื่อใจและศรัทธาในตัวเด็กคนนั้น
โคลเตอร์หรี่ตาและหันไปมองรูน
“นายน่ะ…เป็นใครกันแน่?”
รูนส่ายหัวกลับเงียบ ๆ เมื่อโคลเตอร์ถาม
“ก็แค่นักเรียนที่อยากได้คะแนนสอบดี ๆ คนหนึ่ง”
ผมไม่รู้ว่าผมไปเอาความกล้ามาจากไหนต่อหน้าโอเกอร์ที่ใหญ่กว่าผมเกินห้าเท่า จนทำให้ผมกล้าวิ่งและแกว่งหมัดใส่มันได้อย่างบ้าคลั่งแบบนี้
แน่นอนว่าผมกังวลตั้งแต่ต้น
ถึงกับกลัวอยู่นิด ๆ
แต่มีอยู่สองเหตุผลที่มันต้องเปลี่ยนอารมณ์เหล่านั้นให้กลายเป็น ‘ความกล้าบ้า ๆ’
อย่างแรกคือความสามารถที่ผมมี
เพื่อนของโอเกอร์
ฉายานี้จะลดโอกาสที่ ‘โอเกอร์’ จะมุ่งร้ายต่อผม
ฉายานี้จะทำให้ผมสื่อสารกับ ‘โอเกอร์’ ได้
มันคือฉายาที่ผมได้มาจากโอเกอร์บรรพกาลคิงแกรมเมื่อไม่กี่วันก่อน
ความสามารถที่ทำให้ผมสื่อสารกับโอเกอร์ได้
หมายความที่ผมเข้าใจจาก ‘โฮกกกกกกก!’ ที่โอเกอร์ตะโกนนั้นหมายความว่า
‘เจ้านั่น มันกำลังกลัว’
คนปกติไม่เข้าใจภาษาโอเกอร์อยู่แล้ว และคงเห็นเพียงความดุร้ายของมัน แต่ไม่ใช่กับผม
เจ้านั่นเริ่มกังวลจากการที่จู่ ๆ ผมก็วิ่งเข้าใส่มัน
และได้เห็นภาพของคนมากมายที่มองดูมันพร้อมกับจอมเวทย์และอัศวินที่รายล้อมพื้นที่ มันเริ่มที่จะกลัวอย่างมาก
ต่อมาคือเหตุผลที่สอง
จู่ ๆ ภารกิจก็ได้โผล่ขึ้นมา
ภารกิจเร่งด่วนได้มาถึง
ถึงเวลาต่อสู้
เวลาแห่งการเตะต่อยอากาศได้จบลงแล้ว ศัตรูที่เลี่ยงไม่ได้ได้ปรากฏตัว ตอนนี้เป็นเวลาต่อสู้ วิ่งไปจัดการมันให้ได้ก่อนใคร
เป้าหมาย : โจมตีศัตรูเป็นคนแรก 0/1
เป้าหมาย 2 : เป็นผู้ชนะศัตรู 0/1
*รางวัล : strength +30
*รางวัล 2 : สกิล : ดวงตาผู้เล่น
ภารกิจที่ให้ strength 30 เทียบเท่ากับการทำภารกิจทำซ้ำได้ 3 วัน
ใครจะไม่สนใจข้อเสนอนี้กันเล่า?
นี่คือเหตุผลที่ผมกล้าวิ่งเข้าใส่โอเกอร์
และเพราะเรื่องนั้น
“โฮกกกกกกกก!”
โอเกอร์โกรธเสียยิ่งกว่าโกรธ
แต่ว่า ผม…
“เข้ามาเลย”
ผมยิ้มยั่วกับโอเกอร์ตาแดงก่ำที่อยากจะฉีกผมเป็นชิ้น ๆ
ใช่แล้ว
ตอนนี้ ที่ผมต้องทำก็แค่ชนะ
[เจ้ามนุษย์! ตายซะ!]
มันดูเหมือนเสียงคำรามของมอนสเตอร์กับคนอื่น แต่สำหรับผม คำพูดและความตั้งใจของมันนั้นชัดเจน
โอเกอร์เทออร่าอันบ้าคลั่งใส่ผม
หลังจากยืดคอและตั้งท่าพร้อมแล้ว มันเดินไม่กี่ก้าวและกระโดดมาที่ด้านหน้าผมในทันที
เร็ว
เร็วพอที่จะตั้งคำถามว่าร่างกายใหญ่ขนาดนั้นเร่งความเร็วขนาดนี้ได้ยังไง
[หัวแก! จะขยี้มัน!]
แน่นอนว่าผมไม่คิดจะให้มันสมหวัง
ฟึ่บ…
หมัดโอเกอร์พลาดหัวของผมไปแค่เส้นผม
“ว้าว! เห็นนั่นไหม?”
“เขาหลบได้ยังไงน่ะ?”
เสียงอุทานดังมาจากมุมลานสอบ
เมื่อรู้สึกถึงอันตราย อาจารย์ไฮเดลก็ร่ายบาเรียใส่ผม
แต่อาจารย์ ผมไม่ได้โดนอะไรซักหน่อย
“เจ้าโง่! ดูข้างหน้า!”
“หืม?”
ผมรีบตั้สติจากเสียงตะโกนของหัวหน้าอัศวินโคลเตอร์ พิรันเต้
ในตอนที่ผมวอกแวก เจ้าโอเกอร์วิ่งเข้าใส่ผมอีกครั้ง
“โอ๊ะ”
ผมรีบใช้สกิลและรีบออกจากระยะโจมตีของโอเกอร์อย่างรวดเร็ว
และจากนั้น
“เฮ่อ…ไปกันเลย”
หลังจากบิดตัวเหมือนกับธนู ผมก็วิ่งไปข้างหน้าในเสี้ยววินาที
ความเคลื่อนไหวของผมเร็วขึ้นเกิน 200% จากความเร็วปกติด้วยผลของสกิล
กาเคลื่อนไหวเร็วขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเร็วเกินไปที่ผมจะรับไหว
‘พละกำลังจะส่งผลต่อการเคลื่อนไหว’
มันคือผลสองสกิลติดตัว ‘จอมเวทย์คลั่ง’
จากนั้นผมก็กำหมัดแน่น
การไม่สนใจ ‘กฎแห่งสาม’ รวบรวม เสริมพลัง ขึ้นรูป ความเร็วในการร่ายเวทย์ของผมไม่เป็นสองรองใคร และหลังจากสร้างทรงกลมสองครั้งในพริบตา ผมก็ปล่อยหมัดใส่ท้องของโอเกอร์ตรง ๆ
ตู้ม! ตู้ม!
“คว๊ากกกก!”
สะเก็ดไฟกระเด็นทุกครั้งที่หมัดกระแทก และโอเกอร์ก็ส่งเสียงกรีดร้องอย่างน่ากลัวด้วยความเจ็บปวด
แต่มันยังไม่ใช่ท่าสุดท้าย
“ให้ตายเถอะ หนังเจ้านี่มันหนาจริง ๆ…”
การโจมตีนั้นโดนอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ผิวของโอเกอร์นั้นแข็งเหมือนกับหิน
เอาเถอะ ผมไม่คิดว่าจะชนะมันในทีเดียวอยู่แล้ว
‘ฟันทีละนิดก็โค่นไม้ใหญ่ได้’
ผมตั้งใจจะโจมตีมันจนกว่ามันจะล้ม
[มนุษษษษย์! ตาย!]
มันตามืดบอดจากความโกรธแค้น โอเกอร์วิ่งใส่ผมราวกับจะโยนตัวใส่
และแทนที่ผมจะหลบ ผมใช้พลังทั้งหมดที่มีพุ่งเข้าใส่โอเกอร์ตรง ๆ
ตู้ม!
พลังสู้กับพลัง
การต่อสู้ระหว่างพลังของมนุษย์และโอเกอร์เกิดขึ้น และลานสอบก็กลายเป็นความวุ่นวายกับการต่อสู้ประหลาดนี้
“บ้าไปแล้ว…”
“นะ…นี่ชั้นดูอะไรอยู่เนี่ย?”
ถ้ามีใครสักคนที่โดนดันไปข้างหลัง มันจะไม่ได้จบแค่กระดูกหักไม่กี่ชิ้นแน่
แต่คนที่ทำลายสมดุลการปะทะของพลังนั้นคือผม
‘หรือว่ามันยังมากเกินไป…?’
ต่อให้ผมจะรักษาระดับพลังต่อโอเกอร์ได้ แต่การสยบมันโดยใช้พลังอย่างเดียวก็ยังมาเกินไปในตอนนี้อยู่ดี
นี่จึงเป็นเหตุผลให้ผมรีบพลิกตัวออกจากเส้นทาง
และเมื่อพลังที่หยุดมันหายไป โอเกอร์ก็พุ่งไปข้างหลังและจนกับต้นไม้
โครม!
แน่นอนว่าสิ่งที่หักคือต้นไม้
[ไอ้หนูโสโครก!]
เมื่อเรียกสติจากการสะบัดหัวอย่างแรงและทุบอกแล้ว โอเกอร์ก็ปล่อยออร่าป่าเถื่อนออกมาและวิ่งใส่ผมขณะที่แกว่งกำปั้น
ฟึ่บ! ฟึ่บ!
กำปั้นอันป่าเถื่อนนั้นรุนแรงพอที่จะทำให้การถากเล็กน้อยขยี้กระดูกของผม แต่โชคดีที่หมัดนั้นไม่โดน
มันอยู่ในระดับที่ผมหลบได้ขณะที่การเคลื่อนไหวถูกสนับสนุนอยู่ และ
ปั้ง!
หมัดซัดใส่ท้องของโอเกอร์อีกครั้ง ผมเตะขาของมันเมื่อมันเสียการทรงตัว
กร๊อบ!
[อ๊าก!]
เมื่อโดนโจมตีเหนือต้นขาที่ผิวบางกว่า โอเกอร์ก็เสียสมดุลและล้มลงไปข้างหลัง
มันกำลังงุนงงเหมือนกับต้นไม้ใหญ่ที่โค่นลง
ผมกระโดดไปบนตัวโอเกอร์ที่ล้มและแบมือสองข้าง
เพลิงนรกสีชาดเริ่มเบ่งบานจากระหว่างฝ่ามือของผม
“เอาล่ะ จบมันได้แล้ว”
สกิล
สกิลยืมพลังจากโอเกอร์และเพิ่ม strength ของผมเป็นเวลา 30 วินาที
พรึ่บ!
หมัดของผมลุกไปด้วยแสงสีแดง
พลังที่ไม่ขาดสายไหลเข้าสู่ร่างกายของผม และพลังมหาศาลนั้นก็ร่ำร้องที่จะถูกปล่อยออกไป
บางทีโอเกอร์อาจจะรู้สึกคุ้นเคยกับ ‘พลัง’ ที่ไหลท่วมหมัดของผม
โอเกอร์พึมพำ
[เจ้าเป็นมนุษย์จริงเรอะ?]
พละกำลังที่เทียบได้กับโอเกอร์
และกลิ่นอายที่คุ้นเคยอย่างเข้าใจผิดไม่ได้จากสกิล
ผมก้มลงมองโอเกอร์ที่ขมวดคิ้ว ผมยิ้มอย่างน่าขยะแขยง
“แกคงไม่ได้ต้องการคำตอบใช่ไหม?”
[...นี่แก เข้าใจที่พูดด้วยเรอะ?]
“แกก็เข้าใจที่ชั้นพูดใช่ไหม?”
มนุษย์กับโอเกอร์
ทั้งสองกำลังพูดกันด้วยต่างภาษษ แต่ทั้งสองก็เข้าใจกันและกันได้
โอเกอร์สับสนเกินกว่าจะเชื่อได้ มันทำได้แค่กระพริบตากับเรื่องประหลาด
และนี่คือท่าสุดท้าย
“ระเบิดเผามานา”
นี่คือเวทย์ที่รุนแรงที่สุดที่ผมร่ายได้ และมันยังเป็นเวทย์ที่ทำให้ผมได้ 100 คะแนนจากโอเกอร์บรรพกาลคิงแกรมเมื่อไม่กี่วันก่อนด้วย
ผลจากความโกรธของโอเกอร์ถูกเพิ่มเข้าไป
เวทย์เปลี่ยนเป็นสภาวะบ้าคลั่ง
‘กุญแจ’ ดอกเล็กปรากฏในฝ่ามือและผมก็พลิกมันก่อนจะแทงมันไปที่คางของโอเกอร์ด้วยหมัด
ตะ…ตะ…ตู้มมมมมมมม!
คางของโอเกอร์ที่แข็งราวกับหิน ละลายและขาดหายไปในทันทีที่หมัดสัมผัส
มันคือพลังที่รุนแรงมากจนแม้แต่ตัวผมเองก็ตกใจ
ตะ..ตะ..ตู้มมม!
ที่ความร้อนสูงจากไฟและแรงระเบิดจากกำปั้น กรามของโอเกอร์ได้ระเหิดหายไป โอเกอร์ที่โดนเผานั้นหมดสติ มันทำไม่ได้แม้แต่กรีดร้อง
ซ่าาาา…
กลิ่นเหม็นจากเนื้อโอเกอร์ไหม้กระจายไปทั่วลานสอบพร้อมกับควันดำ
ลานสอบในตอนนี้เงียบราวกับป่าช้า
“มัน…จบแล้วเหรอ?”
คนที่ทำลายความเงียบก็คือหัวหน้าอัศวินที่มองดูการต่อสู้ของผมจากระยะใกล้ที่สุด
โคลเตอร์ พิรันเต้
“นี่นาย…”
เขาเดินมาหาผมด้วยท่าทางพูดไม่ออก
“...นายเป็นใครกันแน่?”
“ก็แค่…”
“แหงสิ ก็แค่นักเรียนที่อยากได้คะแนนดีคนหนึ่ง ถ้างั้นชั้นจะถามอีกรอบ นักเรียนที่อยากได้คะแนนดีนี่ชื่ออะไรนะ?”
“รูน อาเดล”
“รูน อาเดล เอ๋?”
ผมไหล่สั่น
ดูเหมือนว่าผมจะใช้ร่างกายมากเกินไปเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ต่อสู้ของจริง
ผมนวดไหล่ที่แข็งขณะที่หัวหน้าอัศวินโคลเตอร์ พิรันเต้เอาแต่ถามคำถามราวกับจะก้าวข้ามความสงสัย
“ไม่รู้จักตระกูลอาเดลเลย…หรือว่าตระกูลของนายมีปรมาจารย์ดาบ? หรืออัครจอมเวทย์”
“เราไม่มีเลย”
“ชั้นเป็นมือใหม่ถ้าเป็นเรื่องเวทมนตร์ ตัวชั้นก็ไม่ได้รู้อะไรมากนัก แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ได้เห็นเวทมนตร์แบบนั้น พลังมหาศาลนั้นเองก็คนละเรื่องกับ…”
“ผมต้องตอบไหม?”
“หืม? ถ้าไม่สบายใจก็ไม่ต้องตอบหรอก แต่ขอถามเป็นคำถามสุดท้าย การเคลื่อนไหวแบบนั้น ไปเรียนมาจากใครงั้นเหรอ?”
“ไม่นะครับ”
“เรียนรู้เองเหรอ?”
“ครับ”
โคลเตอร์เกาคางและหัวเราะกับคำตอบของผม
“ถ้าอย่างนั้น…”
ใบหน้าเขาราวกับกำลังวางแผนเจ้าเล่ห์
ผมลดสายตาจากโคลเตอร์และมองไปที่อาจารย์ไฮเดล
อาจารย์ไฮเดลทำหน้าตกใจอย่างมาก แม้จะแค่ครู่เดียว
สีหน้าของเขาพูดว่า
‘เขาชนะจริง ๆ’
แต่สีหน้านั้นก็จางหายไปอย่างรวดเร็วและเขาก็เดินมาหาผมด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“ชั้นคิดว่ามันจะเป็นศัตรูที่ยากสำหรับนาย แต่นายไม่แม้แต่ให้โอกาสได้ช่วยเหลือเลย”
“นายเกินกว่าความคาดหวังเสมอ รูน”
“จะบอกว่า…”
“ใช่แล้ว นายผ่าน”
ผ่าน
“...แบบนั้นก็ดีเลย”
รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏบนใบหน้า
“โว้ววววววววววววววว!”
เสียงตะโกนโห่ร้องดังไปทั่วสถานที่สอบ มันดังพอจะพัดทุกอย่างจนปลิวไป
พร้อมกันนั้นหน้าต่างสถานะกึ่งโปร่งใสก็ปรากฏที่หน้าผม
ภารกิจเร่งด่วนสำเร็จแล้ว
โปรดรับรางวัล