ตอนที่ 116: ตัดขาดจากภายนอก
ตอนที่ 116: ตัดขาดจากภายนอก
ขณะที่กองกำลังบุกเข้าไปภายในฐาน ม่านแสงสีขาวจาง ๆ ก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมาห่อหุ้มฐานแห่งนี้เอาไว้ทั้งหมด
ม่านแสงสีขาวที่เพิ่งปรากฏขึ้นมานี้ได้ปล่อยระลอกคลื่นรบกวนออกมาตลอดเวลาทำให้การสื่อสารภายในฐานถูกตัดขาดออกจากภายนอกโดยสิ้นเชิง
“ตามฉันมา! ศูนย์บัญชาการของฐานอยู่ที่ชั้นบนสุด รีบไปจับสการ์เร็ว ๆ เข้า!” หนิงไป่เฉินชูแขนของเขาขึ้นพร้อมกับตะโกนออกคำสั่ง
ถนนภายในฐานของพวกกลุ่มโจรสลัดนกฮูกขดเป็นเกลียวคล้ายสปริง จากท่าเทียบยานที่อยู่ชั้นล่างสุดไปจนถึงศูนย์บัญชาการที่อยู่ชั้นบนสุด หรือมันอาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าหากใครต้องการจะเดินทางจากท่าเทียบยานไปยังศูนย์บัญชาการ พวกเขาจะต้องเคลื่อนที่ตามถนนเป็นวงกลมขึ้นไปถึง 16 ชั้นเต็ม ๆ
เมื่อได้รับคำสั่งกองกำลังที่มีสมาชิกประมาณ 8,000 คนก็ล้อมรอบหนิงไป่เฉินเอาไว้พร้อมกับค่อย ๆ รุกคืบขึ้นไปตามท้องถนน
ระหว่างทางสมาชิกภายในกองกำลังได้บุกปล้นของมีค่าในบ้านพักและโกดังไปตลอดทาง ซึ่งถ้าหากว่าใครขัดขืนพวกเขาก็จะถูกโจมตีจนตาย
“นั่นมันโกดังเหล้า! ทุกคนรีบเอามันมาเร็วเข้า!!”
ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนตะโกนคำพูดนี้ขึ้นมา แต่หลังจากได้ยินคำว่า ‘เหล้า’ สมาชิกภายในกองกำลังก็บุกเข้ากวาดล้างเหล้าภายในโกดังทางด้านขวาในพริบตา
หลังจากนั้นสมาชิกภายในกองกำลังหลายคนก็ถือขวดเหล้าพร้อมกับยกขึ้นมาดื่มไปตลอดทาง คล้ายกับว่าในครั้งนี้พวกเขามาสังสรรค์มากกว่ามาปฏิบัติการสังหารกลุ่มโจรสลัดนกฮูก
“ฮ่า ๆ ๆ ผู้นำหนิงผมคิดว่าสการ์มันคงยอมแพ้ไปแล้วล่ะ พวกเรารีบไปศูนย์บัญชาการแล้วจัดการพวกมันกันเถอะ”
หนิงไป่เฉินเผยรอยยิ้มเป็นคำตอบแต่ไม่ได้พูดอะไรกลับไป โดยภายในดวงตาของเขายังคงเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมที่ไม่น่าไว้ใจ
กองกำลังของพวกเขาเป็นกองกำลังที่รวมตัวกันอย่างหลวม ๆ เท่านั้น พวกเขาจึงคอยเฝ้าดูกันและกันอย่างระมัดระวังอยู่เสมอ ดังนั้นถึงแม้ว่าภายนอกพวกเขาจะพูดคุยหัวเราะกันอย่างร่าเริง แต่จริง ๆ แล้วทุกคนกำลังคิดภายในใจอยู่ตลอดเวลาว่าพวกเขาจะต้องทำอย่างไรถึงจะได้รับประโยชน์จากปฎิบัติการครั้งนี้มากที่สุด
ในบรรดาทีมทั้งแปด ‘ฮวงป๋อเฉิง’ ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าฐานทัพเยลโล่สโตนเป็นผู้ที่มีความอาวุโสมากที่สุด และกองกำลังของเขาก็เป็นกองกำลังที่มีความแข็งแกร่งมากที่สุดเช่นกัน แต่เขาก็ยังคงระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลาและสั่งห้ามไม่ให้ลูกน้องของเขาดื่มเหล้าเข้าไปอย่างเด็ดขาด
นอกจากนี้เขายังสั่งให้สมาชิกภายในทีมคอยรวมกลุ่มกันตลอดเวลา และสั่งให้สมาชิกบางคนภายในทีมออกไปทำการตรวจสอบตามคำสั่งของเขา
“ผู้อาวุโสฮวง คุณระมัดระวังตัวมากเกินไปหรือเปล่า? ตอนนี้พวกเรากำลังได้เปรียบอยู่แล้ว ถ้าทหารของคุณอยากจะดื่มกินก็ปล่อยพวกเขาไปเถอะ” หนิงไป่เฉินกล่าวขึ้นมาพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย
อย่างไรก็ตามฮวงป๋อเฉิงก็เป็นถึงผู้ที่สามารถครอบครองฐานทัพที่ใหญ่ที่สุดในบริเวณนี้ได้ ดังนั้นเขาย่อมไม่ใช่คนธรรมดา เขาจึงส่ายหัวไปมาและกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า
“การระมัดระวังตัวกับทุกสิ่งเป็นเรื่องที่ดีอยู่เสมอ”
“ที่คุณพูดมามันก็มีเหตุผล มันคงยังไม่สายเกินไปหากจะเริ่มฉลองหลังจากตัดหัวของสการ์ได้” หนิงไป่เฉินกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
ยิ่งระยะเวลาผ่านไปความโกลาหลภายในฐานของกลุ่มโจรสลัดนกฮูกก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยคนของสการ์ได้ล่าถอยไปตามถนนอย่างเป็นระเบียบ และใช้อาคารทั้งสองข้างถนนเป็นฐานกำบังพร้อมกับจู่โจมโต้ตอบกลับมาเป็นบางครั้ง
แต่เนื่องมาจากอำนาจการยิงที่จำกัดการโจมตีในลักษณะนี้จึงไม่ค่อยได้ผล แล้วมันก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่าการทำให้กองกำลังฝั่งผู้บุกรุกเคลื่อนที่ช้าลงจากเดิมเล็กน้อย
ขณะเดียวกันมันก็มีบ่อยครั้งที่กองกำลังพันธมิตรยิงโต้ตอบกลับไปและทำให้ลูกน้องของสการ์ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งทหารเหล่านี้ก็จะพยายามวิ่งหนีเข้าหาที่กำบัง
ยิ่งฝ่ายโจรสลัดนกฮูกแสดงความอับอายออกมามากเท่าไหร่ พวกทหารในฝั่งพันธมิตรก็จะยิ่งรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งทุกคนเชื่อว่าชัยชนะได้รอคอยพวกเขาอยู่แล้วและมันก็ทำให้พวกเขาประมาทศัตรูมากขึ้นเรื่อย ๆ
ทุกครั้งที่พวกทหารได้รับชัยชนะในระหว่างการปะทะพวกเขาก็จะดื่มเหล้าเข้าไปอย่างเมามาย และในตอนนี้มันก็มีทหารหลายคนเริ่มยิงปืนเข้าใส่ศัตรูในระยะไกลโดยไม่คิดจะสำรองลูกกระสุนเอาไว้เลย ซึ่งการยิงแบบนี้เป็นการยิงที่ไร้จุดหมายและไม่ได้มีอันตรายถึงชีวิต
เซี่ยเฟยเดินรั้งท้ายกองกำลังและแสร้งทำเป็นรู้สึกกลัวอยู่ตลอดเวลา โดยบางครั้งเขาจะเดินไปหยิบของบนถนนเป็นครั้งคราว ซึ่งเป็นของที่พวกทหารแนวหน้าเห็นว่าของพวกนี้เป็นขยะไร้ค่าที่พวกเขาไม่สนใจ
แม้ว่าชายหนุ่มจะเดินตามอยู่ข้างหลังแต่สายตาของเขาก็ยังคงสแกนไปยังกองกำลังด้านหน้าตลอดเวลา และเนื่องมาจากว่าเขาได้ฝึกฝนวิชามนตราอสูรถึงขั้นที่ 2 แล้ว มันจึงทำให้สายตาของเขาเฉียบคมกว่าคนโดยทั่วไป นอกจากนี้เซี่ยเฟยยังชอบคิดพิจารณาเรื่องต่าง ๆ อยู่เสมอ ดังนั้นในเวลาเพียงแค่ไม่นานเขาจึงได้พบกับเรื่องที่น่าสงสัยอย่างมากมาย
อันดับแรกคือหนิงรั่วซานผู้ซึ่งเป็นลูกชายคนสุดท้องของหนิงไป่เฉินไม่ได้อยู่ในทีม ยิ่งไปกว่านั้นด้านข้างชายชรายังมีชายฉกรรจ์ 4 คนที่มองไปรอบ ๆ อย่างระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา โดยใบหน้าของพวกเขายังคงไร้ความรู้สึกเหมือนเจ้านาย
นอกจากนี้ทหารของตระกูลหนิงยังคงเคลื่อนที่อย่างมีวินัย โดยที่ไม่เคยเข้าไปบุกปล้นสินทรัพย์ต่าง ๆ ที่อยู่ข้างทางเลย แต่หนึ่งสิ่งที่แปลกประหลาดคือทหารพวกนี้จะเป็นคนคอยตะโกนบอกว่าไอ้นั่นไอ้นี่อยู่ที่นี่ แล้วปล่อยให้คนอื่นบุกโจมตีโดยที่พวกเขาไม่แม้แต่จะหันไปมอง
ที่สำคัญคือทหารของตระกูลหนิงไม่ได้ใช้อาวุธยิงออกไปตามอำเภอใจ แต่ในบางครั้งที่พวกเขาเผลอโจมตีออกไป การยิงของพวกเขาก็พลาดเป้าไปค่อนข้างไกลคล้ายกับว่าทหารพวกนี้เป็นทหารเกณฑ์ที่เพิ่งเข้าร่วมกองทัพและไม่ได้รับการฝึกฝนในเรื่องการใช้อาวุธมาก่อนเลย
“พฤติกรรมของพวกตระกูลหนิงมันจะแปลกเกินไปแล้ว” เซี่ยเฟยพึมพำขึ้นมาภายในใจหลังจากสังเกตสถานการณ์
ขณะเดียวกันตูเร่ก็ติดตามเซี่ยเฟยอย่างใกล้ชิดและพยายามเก็บสิ่งของทั้งหมดที่อยู่บนพื้น ซึ่งตลอดการเดินทางเขาได้มองไปยังเซี่ยเฟยอย่างดูถูกตลอดเวลา แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ
หลังเดินไปตามเส้นทางถนนก็ค่อย ๆ คับแคบและซับซ้อนขึ้นไปเรื่อย ๆ แต่ทางเดินที่มืดมิดก็มีแสงสว่างกระพริบขึ้นมาทั้งสองด้าน ซึ่งมันเห็นได้ชัดเลยว่าพวกกองทหารกำลังบุกปล้นอาคารในบริเวณนั้นอยู่
เซี่ยเฟยแสร้งทำเป็นหอบพร้อมกับเดินเซแล้วใช้มือพิงผนังอาคารที่อยู่ด้านข้าง จากนั้นเขาก็ใช้มือข้างหนึ่งจับตรงบริเวณหน้าอกราวกับว่าเขากำลังรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมาก
“นายเป็นอะไร?” ตูเร่ถามเซี่ยเฟยอย่างสงสัย
“ผม…ไม่ได้ออกกำลังกาย…นานแล้ว…ตอนนี้…หัวใจของผม…กำลังเต้น…เร็วมาก” เซี่ยเฟยพยายามพูดออกไปพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ
“ร่างของนายมันทำขึ้นมาจากกระดาษรึไงวะ! นี่นายยังเดินมาไม่ถึง 3 กิโล…”
ตูเร่พยายามบ่นแต่ก่อนที่เขาจะพูดจนจบ เซี่ยเฟยก็ใช้มือข้างขวาบีบคอเขาเอาไว้เสียก่อนมันจึงทำให้เขาไม่สามารถส่งเสียงออกไปได้
ชายหนุ่มยกร่างตูเร่ที่มีน้ำหนักกว่าร้อยกิโลกรัมขึ้นจากพื้นได้อย่างง่ายดาย จากนั้นเขาก็ลากชายคนนี้ออกไปจัดการห่างไปประมาณ 200-300 เมตร
เซี่ยเฟยลงมืออย่างกะทันหันและเขาอยู่บริเวณตำแหน่งด้านท้ายของทีม มันจึงไม่มีใครทันสังเกตเห็นการกระทำของเขาเลย
ตุบ!
เซี่ยเฟยโยนตูเร่เข้าไปในตรอกอันมืดมิดพร้อมกับใช้ใบมีดของเชสซิ่งไลท์จ่อเอาไว้ที่ลำคอของชายผิวดำ
เหตุการณ์นี้ทำให้ทั่วทั้งใบหน้าของตูเร่เต็มไปด้วยเหงื่อ เขาคิดมาเสมอว่าเซี่ยเฟยเป็นเพียงแค่คนขี้ขลาดที่อ่อนแอเพราะคนแบบนี้มีอยู่ทั่วไปทั้งเขตดาว ดังนั้นเขาจึงไม่คิดว่าเซี่ยเฟยจะสามารถจัดการกับเขาได้ง่าย ๆ แบบนี้
เมื่อพิจารณาจากความเร็วและพลังที่ชายหนุ่มคนนี้ได้ระเบิดออกมา ตูเร่ก็สามารถสรุปได้เลยว่าเซี่ยเฟยไม่ใช่คนอ่อนแอแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญที่หาตัวจับได้ยาก โดยเฉพาะการควบคุมกำลังไม่ให้บีบคอเขาจนตายเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ทุกคนจะทำได้เหมือนกับชายหนุ่มคนนี้
“นายเป็นผู้ใช้พลังสายความเร็วใช่ไหม” ตูเร่กลืนน้ำลายพร้อมกับรวบรวมความกล้าถามเซี่ยเฟยออกไป
ชายหนุ่มพยักหน้าตอบรับเบา ๆ พร้อมกับยื่นมือออกไปบีบปลอกแขนสีแดงของตูเร่และเขาก็ได้พบกับวัตถุแข็งขนาดประมาณกระดุมอยู่ใต้พื้นผ้าสีแดงบาง ๆ
เมื่อเซี่ยเฟยใช้มือพลิกปลอกแขนของตูเร่ออกมาดู เขาก็ได้พบกับโลหะทรงกลมที่ติดกาวเอาไว้ด้านหลังของปลอกแขน
“ดูเหมือนปลอกแขนของพวกเราจะไม่เหมือนกันนะ ตอนนี้แกมี 2 ทางเลือกว่าจะขายความลับออกมาเองหรือจะให้ฉันบังคับ” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาเล็กน้อย
ในระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังพูดเขาก็จงใจกดใบมีดของเชสซิ่งไลท์ลงไปบนคอของตูเร่ช้า ๆ ทำให้ความกลัวแผ่ขยายไปทั่วทั้งหัวใจของชายผิวดำผู้นี้
ฉัวะ!
ขณะที่ตูเร่กำลังจะพูดอะไรออกมานั่นเองเชสซิ่งไลท์ในมือของเซี่ยเฟยก็ปาดคอชายฉกรรจ์คนนี้ลงไปเสียก่อนทำให้ร่างของชายผิวดำสั่นกระตุกอยู่ 2-3 ครั้งก่อนที่จะล้มลงไปบนพื้น
“นายฆ่าเขาทำไม?” อันธที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กล่าวถามอย่างสับสน
เซี่ยเฟยถอดปลอกแขนของตัวเองออกก่อนที่จะสวมปลอกแขนของตูเร่เข้าไปแทน จากนั้นเขาก็หันกลับไปตอบว่า
“เมื่อกี้เขาเหม่อเล็กน้อยพร้อมกับกระพริบตาขึ้นมา 3 ครั้งภายในวิเดียว ซึ่งมันก็หมายความว่าเขากำลังคิดเรื่องโกหกอยู่ ฉันไม่อยากเสียเวลากับเรื่องไร้สาระ”
“นายคิดไปเองหรือเปล่า แค่กระพริบตา 3 ครั้งภายในหนึ่งวิมันแปลกขนาดนั้นเลยหรอ? แล้วถ้าเขากำลังจะเล่าความจริงออกมาล่ะ” อันธถามพร้อมกับเบะปากออกมาเล็กน้อย
“ถ้าอยู่ในสถานการณ์ปกติฉันก็อาจจะฟังเรื่องโกหกของเขาบ้าง แต่ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหน? สถานการณ์เป็นยังไง? นายก็น่าจะรู้นี่นา คนเดียวที่ฉันสามารถไว้วางใจได้ตอนนี้คือตัวเอง ในเมื่อฉันคิดว่าสิ่งที่เขากำลังจะพูดเป็นเรื่องโกหกแล้วฉันจะต้องเสียเวลาฟังเรื่องพวกนั้นไปทำไม” เซี่ยเฟยตอบพร้อมกับส่ายหัว
คำตอบนี้ทำให้อันธพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ดังนั้นเขาจึงถอนหายใจและกล่าวออกไปว่า
“บางครั้งฉันก็สงสัยจริง ๆ ว่าฉันหรือนายที่ถูกเลี้ยงดูขึ้นมาเป็นนักฆ่ากันแน่ นายอยากจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ!”
“พวกตระกูลหนิงสวมปลอกแขนที่แตกต่างจากคนอื่น ส่วนพวกลูกน้องของสการ์ก็มีท่าทางแปลก ๆ ราวกับว่าพวกเขาได้ซ้อมแผนการพวกนี้เอาไว้ก่อนแล้ว” เซี่ยเฟยกล่าวหลังจากพิจารณาสถานการณ์ จากนั้นเขาก็กล่าวต่อว่า
“สถานการณ์ตอนนี้มันซับซ้อนมาก ฉันยังไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ ขอฉันสังเกตสถานการณ์อีกนิดหนึ่งก็แล้วกัน”
***************
ขอต้อนรับเข้าสู่นักสืบจิ๋วเซี่ยเฟย!!