บทที่ 21 อดีตของไอวี่
บทที่ 21 อดีตของไอวี่
เมื่อมาถึงหน้าประตูของรองผู้อำนวยการฮาร์โลวิน ฟลินน์ก็พบว่าไอวี่มาถึงแล้ว เธอสวมชุดสีเขียวอ่อนทับด้วยเสื้อคลุมขนสัตว์สีม่วง
ผมสีฟ้ายาวสลวยของเธอให้อารมณ์อันสูงส่งราวสตรีสูงศักดิ์ที่ถูกบ่มเพาะมาตั้งแต่เด็ก
“บางทีมันอาจจะไม่ใช่แค่เหมือนแต่มันคือสิ่งที่มันเป็น” เมื่อคิดถึงแหวนที่นิ้วกลางข้างขวาของอีกฝ่ายซึ่งมีมูลค่าอย่างน้อยหลายพันปอนด์ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัวของฟลินน์
“อรุณสวัสดิ์!”
เมื่อได้ยินคำทักทายของฟลินน์ใบหน้าที่เย็นชาและไร้อารมณ์ของไอวี่ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปและไม่เปลี่ยนในคราวเดียวกัน
ฟลินน์ไม่นึกไม่ถึงว่าเธอจะตอบรับแม้ว่าเธอจะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาก็ตาม
“อรุณสวัสดิ์!”
ปฏิกิริยาไม่คาดฝันจากไอวี่ทำให้ฟลินน์ประหลาดใจอย่างมากและมองไปที่เธออีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด
ตึกๆๆ!
ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าหญิงสาวหน้าตาสะสวยผมสีน้ำตาลลอนยาวถึงกลางหลังเดินเข้ามาในชุดกระโปรงสีม่วงทับด้วยเสื้อโค้ตสีน้ำตาล
ไฝเสน่ห์ที่ใต้ตาซ้ายของหญิงสาวซึ่งขับเน้นความงามชวนตะลึง คนตรงหน้าคือ ลินดี้ ฮาร์โลวิน รองผู้อำนวยการสำนักงานนั่นเอง
“พวกคุณกำลังรอฉันอยู่หรือเปล่า”
เมื่อเห็นฟลินน์และไอวี่รออยู่ที่หน้าสำนักงานของตัวเอง เธอจึงถามออกไป
“ใช่ ภารกิจที่คุณให้เราก่อนหน้านี้จบแล้ว ดังนั้นพวกเราเลยมาที่นี่เพื่อรายงาน” ไอวี่ตอบ
“หืม เสร็จแล้วเหรอ” ลินดี้พยักหน้าก่อนจะผลักประตูสำนักงานเข้าไปขณะพูดกับฟลินน์และไอวี่
“เข้ามา” ฟลินน์และไอวี่เข้าไปในสำนักงานก่อนที่ประตูจะปิดลง
ลินดี้นั่งลงที่โต๊ะก่อนจะหยิบซองเอกสารชุดหนึ่งขึ้นมาก่อนจะเปิดไปเรื่อยๆ แล้วพูดกับทั้งสอง
“ช่วยเล่าเหตุการณ์ให้ฉันฟังที”
“พวกเราไปที่กระทรวงความมั่นคงฯ เพื่อตรวจสอบศพของ 2 คนที่ถูกสังหารจากนั้น...” ฟลินน์และไอวี่แบ่งปันประสบการณ์ภารกิจทันทีในขณะที่ลินดี้ตั้งข้อสังเกตบ้างเป็นครั้งคราว
หลังจากนั้นไม่กี่นาทีรายงานงานก็สิ้นสุดลง
“สำเร็จด้วยดี”
ลินดี้พยักหน้าด้วยความพึงพอใจและทั้งคู่ยังช่วยเหลือรูดินจากเงื้อมมือของหญิงไร้ตาได้สำเร็จก่อนที่จำนวนผู้เสียชีวิตจะเพิ่มขึ้น
เมื่อประเมินผลลัพธ์โดยรวมแล้วถือว่างานนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
ก๊อกๆๆ!
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามา!”
ลินดี้พูด
ประตูสำนักงานถูกผลักเปิดออก จูลี่ซึ่งสวมเสื้อสเวตเตอร์และกางเกงขายาวสีเบจกำลังสาวเท้าเข้ามา
เธอเดินไปที่ด้านข้างของลินดี้และกระซิบบางอย่างที่ริมหูของเธอ
เมื่อได้ยินเสียงกระซิบนั้นแววตาของลินดี้ดูประหลาดใจจนเธออดไม่ได้ที่จะเหลือบมองฟลินน์
จูลี่ไม่ได้จากไปทันทีแต่ยืนอยู่ข้างหลังลินดี้แทน เธอมองไปที่ฟลินน์และไอวี่แล้วพูดว่า
“คุณสองคนทำงานกันอย่างหนักในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ดังนั้นอีกสามวันต่อจากนี้ฉันอนุญาตให้พวกคุณพักผ่อนให้เต็มที่ ห้องรับรอง 201 คือห้องของพวกคุณ”
“ขอบคุณ” ทั้งฟลินน์และไอวี่ตอบรับอย่างเรียบเฉย
ไอวี่ไม่รู้ว่าตัวเองต้องรู้สึกอย่างไร แต่สำหรับฟลินน์ที่กระตือรือร้นอย่างมากตลอดช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาก็ยังรู้สึกเหนื่อยล้าอยู่บ้างเล็กน้อย คงจะดีมากกว่าหากได้พักผ่อนสัก 3 วัน
“รองผู้อำนวยการถ้าอย่างนั้นพวกเราขอตัวก่อน”
ทั้งฟลินน์และไอวี่หันหลังเดินออกจากสำนักงานแต่จู่ๆ ลินดี้ก็ส่งเสียงเรียกขึ้นมา
“คุณซอร์ค รอสักครู่!”
“ครับ?!” ฟลินน์ไม่เข้าใจว่าทำไมลินดี้ถึงรั้งเขาเอาไว้จึงรู้สึกกังวลใจเล็กน้อย
“อย่ากังวลไปเลย ฉันแค่อยากจะถามเรื่องการทำงานของคุณในช่วงนี้เท่านั้น” ลินดี้ประสานมือเท้าศอกไว้บนโต๊ะแล้วพูดอย่างผ่อนคลาย
“ช่วงนี้คุณเข้ากับไอวี่ได้บ้างหรือยัง”
“คุยกันได้ไม่เกินสิบประโยค” ฟลินน์ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้
แม้ว่าไอวี่จะเป็นผู้หญิงที่สวยมากแต่ก็ต้องบอกว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คู่หูที่ดีนักเพราะเธอเย็นชาเกินไปและไร้มนุษยสัมพันธ์ขั้นสุดทำให้ยากที่จะทำความสนิทสนม
“นั่นสินะ” ลินดี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ในฐานะทีมเดียวกันแม้ว่าการทำงานจะเข้ากันได้ดีแต่ทุกวันนี้การสื่อสารระหว่างพวกเขายังคงไม่เกินสิบประโยคซึ่งเห็นได้ชัดว่าผิดปกติ
“ฉันไม่คาดคิดว่าเหตุการณ์นั้นจะส่งผลกระทบรุนแรงจนถึงตอนนี้” นอกจากนี้จูลี่ยังขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้
“เหตุการณ์นั้น?” ตัดสินจากสิ่งที่จูลี่พูดไอวี่กลายเป็นแบบนี้เพราะเรื่องบางอย่าง ฟลินน์รู้สึกสงสัยเล็กน้อยแต่เขาไม่รู้ว่าจะถามดีหรือไม่ เมื่อเห็นความอยากรู้อยากเห็นของฟลินน์ ลินดี้จึงพูดขึ้น
“อันที่จริงไอวี่เคยมีสมาชิกในทีมมาก่อนคุณ”
“จริงเหรอ” ฟลินน์ตั้งคำถามอย่างสนใจ
“ใช่! แค่ครั้งเดียว” ลินดี้พยักหน้าด้วยสีหน้าหนักใจ
“ริคโค่ โบว์แมน อดีตสมาชิกทีมของไอวี่ เขาแตกต่างจากไอวี่ที่มีระดับความสามารถพิเศษแต่พรสวรรค์ของริคโค่ โบว์แมนกลับอยู่ในระดับปานกลางเท่านั้น”
“เพราะพิจารณาจากการทั้งสองคนรู้จักกันมาก่อนเข้าร่วมสำนักงานความมั่นคงฯ เราจึงจัดให้พวกเขาอยู่ทีมเดียวกันแต่นั่นเป็นการตัดสินใจที่ผิด”
“ตัดสินใจผิด?” ฟลินน์เกิดลางสังหรณ์ในใจ
“ใช่ มันเป็นการตัดสินใจที่ผิดที่จัดคนสองคนที่มีช่องว่างด้านความสามารถมาอยู่ทีมเดียวกัน” ลินดี้พยักหน้าและเงียบไปชั่วขณะก่อนจะพูดต่อ
“ในฐานะผู้มีความสามารถพิเศษความแข็งแกร่งของไอวี่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและเธอก็ไปถึงวงแหวนที่สามอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ริคโค่ โบว์แมนซึ่งมีพรสวรรค์ระดับทั่วไปยังคงย่ำอยู่แค่วงแหวนที่หนึ่งเท่านั้น”
“ระหว่างภารกิจพวกเขาได้พบกับสัตว์ประหลาดที่ทรงพลังมาก แน่นอนว่าไอวี่ที่มีความแข็งแกร่งถึงวงแหวนที่สามจะรอด แต่ริคโค่ โบว์แมนซึ่งมีความแข็งแกร่งเพียงวงแหวนที่หนึ่งจะเสียชีวิตในภารกิจ”
“อืม”
หลังจากได้ยินคำพูดของลินดี้ ฟลินน์ถอนหายใจยาวเมื่อยืนยันแล้วว่าลางสังหรณ์ของเขาเป็นจริง มีบางอย่างเกิดขึ้นกับชายที่ชื่อ ริคโค่ โบว์แมน
“เพราะเหตุการณ์นี้ไอวี่จึงไม่เต็มใจที่จะร่วมทีมกับคนอื่นอีกต่อไป ก่อนหน้าคุณ เธอรับภาระเพียงลำพัง” จูลี่กล่าว
‘คุณรออยู่ตรงนี้ ฉันจะจัดการมันเอง? ’ ฟลินน์อดไม่ได้ที่จะคิดถึงสิ่งที่ไอวี่พูดกับเขาเมื่อคืนนี้
เดิมทีเขาคิดว่าไอวี่คิดว่าเขาอ่อนแอเกินไปทำให้เป็นตัวถ่วงของเธอเขาแต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเธออาจต้องการปกป้องเขา
“คุณซอร์ค เหตุผลที่ไอวี่ไม่เต็มใจที่จะสนิทสนมกับคุณไม่ใช่เพราะเย็นชาแต่เป็นเพราะเธอไม่สามารถก้าวข้ามเงามืดในใจตัวเอง ฉันหวังว่าคุณจะเข้าใจ” ลินดี้มองไปที่ฟลินน์และพูดอย่างจริงจัง
“ผมเข้าใจ” ฟลินน์พยักหน้าหลังจากการสนทนาถึงตอนนี้ความประทับใจที่เขามีต่อไอวี่ก็เปลี่ยนไป
“เฮ้อ!” ลินดี้หายใจออกลึกๆ ราวกับพยายามขับไล่ความเบื่อหน่ายในใจ
เนื่องจากการเคลื่อนไหวนี้ทรวงอกโค้งมนของเธอจึงขยับขึ้นและลงอย่างเห็นได้ชัด รูปร่างที่เย้ายวนใจอย่างมากของเธอกำลังโปรยเสน่ห์อย่างไม่ตั้งใจออกมา
“นั่นคือจุดสิ้นสุดของปัญหาของคุณซอร์ค คุณมาถึงวงแหวนที่สองแล้วสินะ” เธอสบตาของฟลินน์ด้วยความประหลาดใจ ในตอนที่จูลี่รีบเข้ามารายงานเรื่องนี้กับเธอ
‘รู้เร็วชะมัด? ’ เขาเพิ่งกลายเป็นแหวนวงที่สองเมื่อคืนนี้ไม่คิดว่าลินดี้จะรู้เร็วขนาดนี้
ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัวของฟลินน์ ในที่สุดเขาก็นึกถึงการซ้อมยิงของเขาเมื่อเช้าหลังจากเข้าสู่วงแหวนที่สอง
คงเป็นเพราะการซ้อมในห้องยิงที่เผยให้เห็นถึงความก้าวหน้าของเขา
อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะปกปิดมัน ท้ายที่สุดการแสดงความสามารถของเขาเท่านั้นที่ทำให้เขามีคุณค่าในสำนักงานความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร
ดังนั้นเขาจึงยอมรับอย่างง่ายดาย
“ใช่ ผมเพิ่งมาถึงวงแหวนที่สองได้ไม่นาน”
“ดีมาก คุณสามารถไปถึงวงแหวนที่สองได้ภายในเวลาไม่ถึงเดือน ดูเหมือนพรสวรรค์ของคุณจะเกินความคาดหมายของฉัน” ลินดี้ยิ้มเมื่อเธอได้รับคำตอบเชิงบวกจากฟลินน์
ทักษะลับที่แตกต่างกันมีระดับความยากต่างกัน การฝึกฝนในแต่ละขั้นดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบเวลา คนที่ฝึกฝนทักษะลับที่แตกต่างกันจะมีเป็นเกณฑ์ในการตัดสินระดับความสามารถแตกต่างกัน
อย่างไรก็ตามความสามารถในการเลื่อนระดับจากวงแหวนที่หนึ่งไปยังวงแหวนที่สองในเวลาหนึ่งเดือนยังสามารถแสดงความสามารถของฟลินน์ได้
ฟลินน์ควรเป็นคนที่มีความสามารถมากที่สุดในสำนักงานความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรสาขาเมืองคอนสตันท์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แม้แต่ไอวี่ก็ยังด้อยกว่าเขาเล็กน้อย
“ยอดเยี่ยม คุณซอร์คสามารถก้าวไปสู่วงแหวนที่สองอย่างรวดเร็วสมกับความคาดหวังของดิฉันจริงๆ” ถัดจากเขา จูลี่พูดกับฟลินน์ด้วยรอยยิ้ม
ในตอนแรกเธอเป็นผู้ที่ค้นพบพรสวรรค์ที่แท้จริงของฟลินน์ เธอมีพอใจมากที่ตัวเองสามารถสร้างผลประโยชน์ดังกล่าวแก่องค์กร
…
ในห้องใต้ดิน กลิ่นเลือดคละคลุ้งน่าขยะแขยงอบอวลไปทั่วห้อง
แหล่งที่มาของกลิ่นเลือดนี้คือรูปหกเหลี่ยมขนาดใหญ่ที่ชั้นล่างของห้องใต้ดิน มันคือยันต์ที่ถูกวาดจากเลือดของสัตว์ประหลาด
ลวดลายสีแดงเข้มขนาดใหญ่นี้ถูกวาดด้วยเลือด!
เวลานี้ในใจกลางของยันต์สีแดงเข้มมีศพสองศพเป็นชายและหญิงถูกวางอยู่ข้างกัน
ดวงตาของคนทั้งคู่หายไปแล้วเหลือเพียงรูเลือดว่างเปล่า
ข้างๆ ศพทั้งสองของชายและหญิงยังมีชายรูปร่างปานกลางในชุดดำยืนอยู่
ชายในชุดดำมีใบหน้าธรรมดายกเว้นแต่ว่าเขาสวมผ้าปิดตาสีดำคาดที่ตาซ้าย
ชายคนนั้นหยิบกริชออกมากรีดมีดบนฝ่ามือซ้ายเลือดไหลอาบทันที เลือดสีแดงเข้มหยดลงบนศพทั้งสอง
“จ้าวแห่งสัตว์ประหลาดผู้ยิ่งใหญ่ อวตารจากความโกลาหลและความชั่วร้าย ผู้สร้างสัตว์ประหลาด ผู้ทำลายล้างโลก.... โปรดประทานพลังแห่งปาฏิหาริย์แก่ผู้ศรัทธาของท่าน!” ขณะที่เลือดหยดลงบนศพ ชายในชุดดำกล่าวคำด้วยน้ำเสียงต่ำและแหบแห้ง เขาสวดมนต์ในพิธีบูชายัญที่แปลกประหลาด
พร้อมกับการสวดมนต์ลวดลายสีเลือดขนาดใหญ่ที่วาดด้วยโลหิตสีแดงฉานส่องสว่างขึ้นด้วยแสงสีแดงและพลังที่แปลกประหลาดมาจากระยะอันไร้ขอบเขตสาดส่องลงมาที่ชั้นใต้ดินนี้
ภายใต้พลังนี้การเปลี่ยนแปลงที่แปลกประหลาดเกิดขึ้นกับร่างของชายและหญิงที่เดิมนอนอยู่บนพื้น
ยกเว้นดวงตาที่หายไปรวมถึงบาดแผลที่อื่นๆ จางไปด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
เมื่อบาดแผลจางหายไป ร่างกายของพวกเขาสั่นเทาและขยับเล็กน้อยราวกับว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่
ไม่เหมือนกับว่าแต่จริงๆ แล้วพวกเขากลับมามีชีวิตอีกครั้ง
ร่างกายของพวกเขาลุกขึ้นจากพื้นอย่างแข็งเกร็งไม่ต่างจากคนเป็นอัมพาตมานานและกำลังเรียนรู้ที่จะเดินเหมือนเด็กแรกเกิด
ใบหน้าของพวกเขายังคงซีดเผือดเหมือนศพ ทว่าดวงตาที่ถูกควักออกได้กลับเข้าสู่เบ้าตาแล้วอย่างน่าอัศจรรย์ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น