ตอนที่ 5 ความเจ็บปวดที่เพิ่มขึ้น
ช่วงหลายปีต่อจากนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับลิธเลย
ในที่สุดเขาก็สามารถถามคำถามมากมายเพื่อเติมเต็มคำศัพท์ส่วนใหญ่ของเขาได้ และในที่สุดเขาก็ได้เริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับครอบครัวและโลกใหม่ของเขา
เขาได้เรียนรู้ว่าพวกเขาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่ชื่อว่าลูเทีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเมืองลัสเตรีย และเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรกริฟฟอน
พ่อแม่ของเขาแค่รู้ชื่อประเทศของเพื่อนบ้านเท่านั้น ส่วนสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ข้างนอกหมู่บ้านพ่อแม่ของเขาไม่รู้อะไรเลย และพวกเขาก็ไม่คิดจะสนใจด้วย
ในสายตาของพวกเขากษัตริย์ก็เหมือนสัตว์ในตำนานบางอย่าง ในขณะที่พวกเขาศรัทธาพวกเขาก็ความเกรงกลัวในตัวเคานต์ลาร์คด้วยเช่นกัน ไม่เพียงแต่เขาจัดการกับความยุติธรรมและภาษีในเมืองเท่านั้น แต่เขายังจะมีส่วนร่วมในเทศกาลฤดูใบไม้ผลิของหมู่บ้านลูเทียในฐานะแขกผู้มีเกียรติอีกด้วย
พ่อแม่ของเขาไม่เคยพูดกับลูก ๆ เกี่ยวกับเวทมนตร์ สงคราม หรือประวัติศาสตร์เลย พวกเขาเอาแต่เล่านิทานให้เขาฟังแต่ถึงแม้อย่างนั้นข้อมูลของโลกนี้ก็อาจจะมาในรูปแบบของนิทานก่อนนอน
นิทานทั้งหมดของพวกเขาเต็มไปด้วยเจ้าหญิงแสนสวย วีรบุรุษผู้กล้าหาญ และทรราชที่ชั่วร้าย
ลิธไม่พอใจอย่างแท้จริงกับข้อมูลเล็กน้อยพวกนี้ เขาต้องการที่จะรู้อะไรบางอย่างเช่น ชื่อของโลกนี้ หรือการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ของมนุษย์ในตอนนี้
เขาต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเวทมนตร์ ตำนาน เรื่องเล่า หรืออย่างน้อยก็ให้เบาะแสกับเขาเกี่ยวกับสิ่งที่เขาควรคาดหวังกับชีวิตใหม่ของเขา
น่าเสียดายที่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่รู้อะไรเลย แต่ที่แย่ไปกว่านั้น นั่นก็คือเขาไม่สามารถถามคำถามที่เขาไม่ควรจะคิดถึงมันด้วยซ้ำ
แต่อย่างน้อยแผนผังต้นไม้ครอบครัวของเขาก็ค่อนข้างเข้าใจง่าย เอลิน่าและราซแต่งงานเร็วมากแม้จะวัดด้วยมาตรฐานของหมู่บ้านนี้ก็ตาม พวกเขาแต่งงานกันตอนอายุแค่สิบหกปี
ราซเป็นลูกเพียงคนเดียวและได้รับมรดกฟาร์มของพ่อเขา ซึ่งก็คือที่ที่พวกเขาอาศัยอยู่ในปัจจุบัน ส่วนเอลิน่านั้นก็ได้ตั้งครรภ์หลังจากการแต่งงานไม่นาน แล้วจึงให้กำเนิดฝาแฝดเรน่าและออพัล
หลังจากนั้นเธอก็ตั้งครรภ์ในอีกทุกสองปี นั่นหมายความว่าราซและเอลิน่าปัจจุบันมีอายุ 25 ปี เรน่าและออพัลอายุ 8 ปี ไทรออนอายุ 6 ปี ทิสต้าอายุ 4 ปี และคนสุดท้ายลิธอายุ 2 ปี
ในความเป็นจริงข้อมูลส่วนใหญ่นั้นเขาได้มาจากการถามคำถามของกับพี่น้องของเขา คำถามส่วนใหญ่ของลิธจะมีแค่ “นี่คืออะไร? ทำไมถึงเป็นแบบนั้น?”
เขาใช้เวลากับครอบครัวของเขามากขึ้นเรื่อย ๆ เขายังค้นพบว่าทำไมพ่อของเขาที่เป็นเจ้าของฟาร์มที่มีโรงนาและเล้าไก่ของตัวเองถึงยังมีปัญหาในการหาอาหาร
ทิสต้าเกิดมาพร้อมกับภาวะผิดปกติแต่กำเนิดทำให้เธอไม่สามารถออกแรงได้เยอะ และก็ทำให้เธอเจ็บป่วยได้ง่าย
แค่การเดินเร็วก็เพียงพอที่ทำให้เธอหอบแล้ว เธอมักจะไอเป็นครั้งคราว เมื่ออาการแย่ลงเธอก็จะไออย่างรุนแรงมากขึ้น
ณ จุดนั้นพ่อหรือแม่ของพวกเขาจะต้องวิ่งไปที่หมู่บ้านเพื่อให้นาน่ามาหาและรักษาเธอ นาน่าไม่สามารถรักษาเธอให้หายขาดได้ ได้เพียงแค่บรรเทาอาการและทำให้ทิสต้ากลับไปอยู่ในสภาวะปกติของเธอเท่านั้น
ราคาการตรวจสุขภาพนั้นไม่ได้แพงแต่การรักษานั้นแพงมาก นอกจากนี้แม้ว่าราซจะไปรับนานะแล้วพาเธอกลับมาบ้านด้วยแต่มันก็ยังคงมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
การเดินทางไปกลับหมายถึงการสูญเสียเวลาทำให้เธอไม่สามารถดูแลธุรกิจของเธอได้ ดังนั้นเธอจึงเรียกร้องค่าชดเชย
การที่พวกเขาต้องใช้บริการของผู้รักษาอย่างต่อเนื่องนั้นทำให้ค่าใช้จ่ายของพวกเขามีความตึงเครียดมาก
ลิธรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดกับเธอ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้เวลากับทิสต้ามากนัก แต่เธอก็มีค่ากับทั้งเอลิน่าและเรน่า และนั่นก็เกินพอที่จะทำให้เธอมีค่ากับเขาเช่นกัน
เขารู้สึกหมดหนทาง สาปแช่งความไร้ความสามารถของตัวเองที่เขาไม่สามารถฝึกฝนเวทมนตร์แห่งแสงและเวทมนตร์แห่งความมืดได้ เวทมนตร์แสงต้องมีผู้ป่วย จนกว่าเขาจะได้รับความเข้าใจอย่างแท้จริงว่ามันทำงานอย่างไรและกายวิภาคของมนุษย์ในโลกนี้เป็นแบบไหน ถ้าไม่อย่างนั้นเขาจะไม่กล้าที่จะทำให้ชีวิตของใครต้องตกอยู่ในความเสี่ยง
เวทมนตร์แห่งความมืดเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ลิธเคยเห็นมันเพียงครั้งเดียวและก็ไม่มีใครในครอบครัวของเขาใช้มันเลย ครั้งเดียวที่เขาได้เห็นมันเขาได้รู้สึกถึงพลังทำลายล้างบางอย่างเกิดขึ้น
นอกจากนี้เขายังมีอคติต่อมันเนื่องจากบนโลกของเขาเวทมนตร์แห่งความมืดมักจะเกี่ยวข้องกับการกระทำที่ชั่วร้ายและเกี่ยวข้องกับพวกอันเดทดังนั้นเขาจึงไม่อยากที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งที่น่าสยดสยองพวกนั้น
ลิธมีชีวิตอยู่โดยได้แต่หวังว่าเขาถูกสอนเวทมนตร์บ้างในซักวันหนึ่ง ในขณะต้องที่อดทนต่อการใช้ที่ชีวิตที่เรียกว่าครอบครัว
เขาต้องดูสดใสร่างเริงแต่ก็ต้องไม่มากเกินไป เขาต้องอยากรู้อยากเห็นแต่ก็ต้องไม่มากเกินไป เขาต้องวิ่งไปรอบ ๆ แต่ไม่เคยได้ออกไปข้างนอกเลย
พ่อแม่ของเขาจะต้องไม่พอใจแน่ถ้าหากว่าเขาพยายามนั่งสมาธิ พวกเขาจะต้องกังวลแน่นอนเพราะว่าเขานั้นเงียบเกินไปหรือไม่ก็ขี้เกียจเกินไป ถ้าหากเขาพยายามที่จะไปช่วยพวกเขาทำอะไรบางอย่างเขาก็จะถูกดุที่เข้ามาเกะกะ
พวกเขาปฏิเสธที่จะสอนเวทมนตร์งานบ้านให้กับเขา (ชื่อของคาถาที่พวกเขาใช้ในชีวิตประจำวัน) และห้ามไม่ให้ลิธเรียนรู้พวกมัน
ลิธไม่สามารถออกไปข้างนอกคนเดียวได้ เขาไม่สามารถเข้าใกล้เตาผิงได้ และเขาก็ไม่สามารถถามคำถามมากเกินไปได้
ทุกอย่างถูกห้ามด้วยเหตุผลว่า รอจนกว่าเขาจะ “โตขึ้น”
มากกว่าหนึ่งครั้งที่ลิธอยากจะตะโกนออกมา “ถึงตัวฉันอาจจะยังเด็กในทางชีววิทยา แต่จริง ๆ แล้วฉันเป็นคนที่แก่ที่สุดในบ้านนี้นะ แม่งเอ้ย!” แต่สิ่งที่เขาทำได้ก็แค่ยอมรับและเชื่อฟัง
ความบาดหมางของเขากับออพัลไม่เคยถูกแก้ไขและเขาสามารถรู้สึกถึงความเป็นศัตรูจากไทรออนพี่ชายของเขาได้อย่างชัดเจน เห็นได้ชัดว่าออพัลเป็นแบบอย่างของไทรออนในขณะที่เรน่าเป็นแบบอย่างที่ดีของเขา
ไทรออนนั้นไม่เหมือนออพัลเขาจะไม่เพิกเฉยต่อลิธแม้ว่าพ่อแม่จะไม่อยู่ก็ตาม แต่ลิธก็สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าทุกครั้งที่ไทรออนช่วยเขาเขาก็แค่ทำตามมารยาทเท่านั้น ไม่มีความอบอุ่นในระหว่างพวกเขา
ดังนั้นลิธจึงเริ่มเฉยชาต่อเขาอย่างรวดเร็ว
‘ฉันได้ใช้ชีวิตครึ่งหนึ่งของฉันในการกังวลเกี่ยวกับสมาชิกครอบครัวที่ผิดปกติมาแล้ว ฉันเคยเจอมาหมดแล้ว ถ้าไม่มาทำตัวหยาบคายใส่ฉันฉันก็จะไม่ทำอะไร’ สิ่งเหล่านี้เป็นความคิดของเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงแค่ปล่อยผ่านเรื่องต่าง ๆ ไป
เมื่อเขาอายุได้สามขวบ เขาก็ไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป ความเบื่อหน่ายที่เกิดจากฤดูหนาวที่หนาวเหน็บและเขาต้องติดอยู่ที่บ้านตลอดเวลาทั้งวันทั้งสัปดาห์ และความหิวโหยอย่างต่อเนื่องกำลังจะทำให้เขาเสียสติ
มันเป็นช่วงบ่ายที่พายุเข้าและครอบครัวของเขาก็มารวมตัวกันรอบเตาผิง เอลิน่ากำลังสอนลูกสาวของเธอถึงวิธีการเย็บผ้า ส่วนราซกำลังสอนวิธีการแกะสลักไม้ ในขณะที่ไทรออนและลิธได้รับอนุญาตให้ดูเท่านั้น พวกเขายังเด็กเกินไปที่ใช้วัตถุมีคมแม้กระทั่งการเย็บผ้าก็ไม่ได้
ลิธเคยไปขอพ่อแล้วแต่เขาก็ไม่ให้ ลิธจึงไปประจบแม่แทน “ลูกยังเล็กเกินไป อีกอย่างมือของเจ้าก็ยังงุ่มง่ามเกินไป” เธอตอบ
แม้ว่าเอลิน่าจะพูดถูก ร่างกายของลิธเงอะงะยิ่งกว่าร่างเก่าของเขาตอนก่อนที่จะเริ่มฝึกศิลปะการต่อสู้ซะอีก เพียงแค่นึกถึงกล้ามเนื้อทั้งหมดที่เขาเคยมีเขาก็อยากจะร้องไห้แล้ว
ดังนั้นเขาจึงอดทนรอจนกระทั่งราซสอนออพัลเสร็จแล้ว ลิธก็รวบรวมความกล้าหาญทั้งหมดของเขาเพื่อขอให้พ่อของเขาสอนเขาถึงวิธีการอ่าน การเขียน และการนับ
ราซถูกทำให้ประหลาดใจอีกครั้ง “เจ้ายังเด็กเกินไป! โดยปกติแล้วเด็ก ๆ จะรอจนกว่าพวกเขาจะอายุหกขวบแล้วค่อยไปเรียนรู้ที่โรงเรียน เจ้าไม่คิดว่ามันน่าเบื่องั้นหรอ?” นั่นคือหลักการที่ทุกคนในสายเลือดของเขายึดมั่นเสมอมา
“น่าเบื่องั้นหรอ? มันยังจะมีอะไรที่น่าเบื่อไปกว่านั่งเฉย ๆ อีกหรอ? เมื่อวานก็แบบนี้ วันก่อนก็แบบนี้ และพรุ่งนี้ก็คงจะเหมือนเดิม! ได้โปรดเถอะท่านพ่อช่วยลองสอนข้าหน่อย! ข้าขอร้อง ได้โปรด ได้โปรด ได้โปรด!”
ราซไม่รู้ว่าจะปฏิเสธอย่างไร ลิธไม่เคยขออะไรจากเขามาก่อน
‘แม้ว่าลิธจะยังคงหิวอยู่แต่ถ้าเขาเห็นว่าไม่มีอาหารเหลืออยู่อีกเขาก็จะไม่ขอเพิ่ม’ เขาคิด ‘เขาแตกต่างจากออพัลมาก ฉันไม่รู้ว่าเขานิสัยดีเกินไปหรือว่าตามใจออพัลมากเกินไป’
ราซต้องการหาทางออกจากสถานการณ์นี้แต่เอลิน่ากำลังจ้องเขาอยู่ แม้ว่ามือของเธอไม่ได้หยุดเย็บผ้าและเธอก็ไม่ได้พูดว่าเขาทำอะไรผิด แต่ดวงตาของเธอนั้นจ้องมาที่เขาอยู่อย่างชัดเจน
‘บ้าเอ้ยแล้วข้าจะพูดอะไรได้? การเรียนไม่ต้องใช้เครื่องมือที่อันตราย... ใช่นั่นแหละ! เครื่องมือไง! บางครั้งข้าก็งี่เง่านะเนี่ย’
ราซมองเข้าไปในดวงตาที่เหมือนกับลูกหมาของลิธ หัวใจของเขาบีบและรู้สึกเศร้าที่จะต้องปฏิเสธ แต่เขาก็ยังตอบกลับไปว่า “ข้าต้องขอโทษด้วยเจ้าลูกชาย แต่เราไม่มีเครื่องมือในการเขียน ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถสอนเจ้าได้”
ลิธได้พิจารณาสิ่งต่าง ๆ ไว้อย่างถี่ถ้วนแล้วก่อนที่จะถาม ดังนั้นเขาจึงมีวิธีแก้ปัญหาอยู่แล้ว เขาหยิบถาดที่ใหญ่ที่สุดที่พวกเขามีและเติมมันด้วยขี้เถ้าที่เก็บไว้ในถังข้างเตาผิง
“ตอนนี้เรามีแล้ว! เราสามารถเขียนได้มากเท่าที่เราต้องการ!” ราซรู้สึกประหลาดใจกับความเฉลียวฉลาดของลิธและเอลิน่าก็เช่นกัน เขากำลังจะคัดค้านอีกครั้งแต่เมื่อเขาสังเกตเห็นการจ้องมองจากที่ตอนแรกไม่มีอะไรตอนนี้เริ่มมีการขมวดคิ้วแล้วด้วย
มือของเธอเคลื่อนไหวเร็วขึ้นและนั่นหมายถึงปัญหาสำหรับเขา
ข้างนอกยังมีพายุอยู่ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถหนีไปไหนได้ เขาจึงต้องยอมรับความพ่ายแพ้และยอมจำนน
“เจ้าอยากเริ่มเรียนอะไรก่อนล่ะ?” ราซทำได้เพียงหวังว่าลิธจะเบื่ออย่างรวดเร็วและปล่อยให้เขากลับไปพักผ่อน
“การนับ!” ลิธตอบทันที จากนั้นราซก็นั่งลงบนพื้นข้างเขาและเริ่มวาดเส้นจากขี้เถ้า ลิธจึงมีความสุขอย่างมาก
ตัวเลขที่พวกเขาใช้มีรูปร่างที่แตกต่างจากตัวเลขอารบิก แต่นอกเหนือจากนั้นพวกมันก็ใช้งานเหมือนกัน แม้แต่วิธีการคำนวณก็เหมือนกัน
จากนั้นเขาก็เก็บตัวเลขเก่าไว้ตรงแถวข้างบน แล้วเริ่มเขียนตารางสูตรคูณที่ข้างล่าง ถึงแม้ว่าเขาจะคำนวณสูตรคูณง่าย ๆ พวกนี้ในใจได้ แต่เขาต้องการที่จะได้เขียนตัวเลขแบบใหม่เพื่อที่จะให้ทั้งร่างกายและจิตใจของเขาจำมันได้
เมื่อเขาเขียนเสร็จแล้ว ลิธก็เริ่มขอให้คนที่กำลังดูเขาอยู่ลองตั้งโจทย์ให้หน่อย ออพัลจึงถามอย่างถากถางว่า “124 คูณ 11 ได้เท่าไหร่” เขาตอบกลับอย่างรวดเร็วว่า “1364” ทำให้ทุกคนตะลึงจนพูดไม่ออกทั้งหมด
เอลิน่าอดไม่ได้ที่จะยืนขึ้นและยกลิธขึ้นมาพร้อมกับกอดเขา
“อัจฉริยะตัวน้อยของแม่! แม่ภูมิใจในตัวเจ้ามาก!” ในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเขาก็เข้าใจสิ่งที่คนอื่นต้องใช้เวลาเป็นปีได้ ในไม่ช้าเรน่าและทิสต้าก็เข้ามากอดเขาด้วยและแสดงความยินดีกับน้องชายของพวกเขา ในขณะที่ฝ่ายชายในครอบครัวยังคงตกตะลึงไม่หาย
ในพื้นที่ชนบทแบบนี้ พวกเขาจะเรียนรู้แค่วิธีนับเพื่อแค่ไม่ให้โดนโกงเวลาซื้อและขายสินค้าเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงจำได้แค่การบวกและการลบ การคูณและหารที่เกือบจะไม่ได้ใช้จึงกายเป็นเรื่องยาก
สำหรับการอ่านและการเขียนเขาต้องใช้เวลานานขึ้น แต่มันก็ง่ายอยู่ดี ลิธรู้คำพูดส่วนใหญ่และวิธีการสะกดคำเหล่านั้นอยู่แล้ว ดังนั้นเขาขึงต้องแค่เรียนรู้ตัวอักษรและจดจำมันเพื่อให้สามารถอ่านและเขียนได้
เป็นอีกครั้งที่ทั้งครอบครัวต้องตกตะลึง และมีเพียงคนเดียวที่ไม่ได้ชื่นชมยินดีกับพวกเขานั่นก็คือออพัล เขารู้สึกเหมือนมีเขาคนเดียวที่เต็มไปด้วยความอิจฉาและความรังเกียจ