966 - เรือรบโบราณ
966 - เรือรบโบราณ
“ตอนนี้ข้าอยู่ที่ไหน”
เย่ฟ่านยืนอยู่บนโลงศพทองแดงพร้อมกับสำรวจพื้นที่ด้านนอกด้วยความสนใจ
แต่ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็แข็งทื่ออย่างรวดเร็ว เพราะสิ่งที่เขาเห็นในระยะไกลนั้นคือแสงสว่างที่เกิดขึ้นจากทางช้างเผือก!
เขาอยู่ในโลกอำพรางสวรรค์เป็นเวลาสิบปี และแทบทุกวันเขาจะมองหาเส้นทางกลับบ้าน ดังนั้นมันไม่มีทางที่เขาจะจดจำลักษณะดวงดาวไม่ได้
“ทำไมถึงเป็นเช่นนี้? ข้าไม่เดินกลับบ้านหรือ? เหตุใดข้าจึงยังอยู่ในทุ่งดวงดาวหมีใหญ่? เป็นเพราะความไม่สมบูรณ์ของแท่นบูชาห้าสีจริงๆ หรือ?”
มันบินกลับก็ยังได้
อย่างไรก็ตาม หากเขาต้องการบินกลับไปยังดาวหิ่งห้อยโบราณและโลก ก็ไม่มีความหวัง ระยะทางก็ไกลเกินไป และเขาไม่สามารถระบุพิกัดได้
เขามาถึงโลกภายนอก เข้าไปในจักรวาลอันกว้างใหญ่ ห่างไกลจากแหล่งกำเนิดของชีวิต และเห็นความว่างเปล่า นี่คือสภาพที่เป็นอยู่จริง
“ข้าต่อสู้อย่างหนัก แต่สุดท้ายข้าก็ล้มเหลว ข้ายังก้าวขากลับบ้านไม่สำเร็จ และจมดิ่งลงไปในจักรวาลโบราณที่ไร้ชีวิตแทน”
เย่ฟ่านคิดอย่างเงียบๆ ในใจโดยไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้ จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิบนโลงศพโบราณและเริ่มฝึกฝนในจักรวาลอันมืดมิดเพียงลำพัง
ศพมังกรเก้าตัวดึงโลงศพโบราณและล่องลอยอยู่ในความมืดนานกว่าสองเดือนอย่างไร้จุดหมาย ในวันนี้เย่ฟ่านลืมตาขึ้นอย่างกะทันหันและเขารู้สึกบางอย่าง
“นั่นอะไร?”
เมื่อสิ่งนั้นใกล้เข้ามาดวงตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยความตกตะลึง
เรือรบสีม่วงทองลอยอยู่เป็นเวลานาน มันสลัวๆ และเต็มไปด้วยร่องรอยของกาลเวลา มันทรุดโทรมอย่างหาที่เปรียบไม่ได้และเงียบงัน
“เรือรบโบราณในจักรวาลที่มืดมิดและหนาวเย็น!”
หัวใจของเย่ฟ่านสั่นคลอน มันน่าตกใจจริงๆ ที่ได้เห็นเรือเช่นนี้ในจักรวาลที่เหี่ยวเฉาโดยไม่มีต้นกำเนิดสวรรค์ชีวิต
“มันล่องลอยมาอย่างน้อยหลายแสนปีหรือนานกว่านั้น…”
เย่ฟ่านรู้สึกถึงความเก่าแก่และความผันผวนจากกาลเวลาบนเรือรบอย่างชัดเจน
บนเรือรบมีรอยแตกและรูขนาดใหญ่มากมายที่เกิดขึ้นโดยอาวุธโบราณและการต่อสู้ครั้งนั้นเห็นได้ชัดว่าน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
ทันใดนั้นเย่ฟ่านก็ตกตะลึงกับสิ่งที่เขาสัมผัสได้บนเรือรบลำนั้น
“ยังมีสิ่งมีชีวิตอยู่บนเรือ?!”
เรือโบราณไม่รู้ว่ารอยเคว้งคว้างอยู่ในจักรวาลนี้มานานกี่ปีแล้ว มันมืดสลัวและเป็นสนิม เต็มไปด้วยความผันผวนของกาลเวลาที่ไม่สิ้นสุด
อย่างไรก็ตามในขณะนี้เย่ฟ่านกลับสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตบางอย่างซึ่งทำให้เขาประหลาดใจเป็นอย่างมาก เวลาผ่านไปอย่างน้อยหลายแสนปี ทำไมยังมีสิ่งมีชีวิตอยู่?
เย่ฟ่านใช้ปราณปฐพีต้นกำเนิดห่อหุ้มร่างกายอย่างแน่นหนาในขณะที่เขาเริ่มสำรวจความผันผวนจากพลังชีวิตที่เกิดขึ้นภายในเรือโบราณนั้น
ซากศพมังกรทั้งเก้าไม่ตอบสนองใดๆ และโลงศพทองแดงขนาดใหญ่ยังคงลอยอย่างนิ่งเงียบโดยไม่มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น
ในด้านหน้าค่อนข้างมืดมิดและหนาวเหน็บ ในที่สุดเรือโบราณค่อยๆเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้และกำลังจะผ่านไป รอยแผลเป็นจากอาวุธโบราณบนเรือบ่งบอกถึงอดีตที่เต็มไปด้วยความทุกอย่างของเจ้าของเรือลำนี้
ในอดีตการต่อสู้นั้นจะต้องเกิดขึ้นในทะเลดวงดาวที่ไม่สิ้นสุด อย่างน้อยผู้คนที่สามารถต่อสู้กันที่นี่ได้จะต้องเป็นเซียนโบราณอย่างไม่ต้องสงสัย
เย่ฟ่านรู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อย สำหรับเรือโบราณเช่นนี้ เจ้าของเดิมต้องมีพลังมหาศาล แต่สุดท้ายผู้คนบนเรือก็แทบจะถูกฆ่าตายจนหมดสิ้น มันมีความลับอะไรกันแน่
“ดูเหมือนเขาจะสัมผัสได้ถึงข้าเช่นกัน”
เย่ฟ่านรู้สึกว่าคลื่นพลังชีวิตที่อยู่บนเรือนั้นค่อนข้างอ่อนแรงดังนั้นเขาจึงไม่ได้มีความหวาดกลัวแต่อย่างใด เมื่อตระหนักได้ดังนี้เย่ฟ่านก็ปีนข้ามขึ้นไปบนเรือโบราณทันที
ในท้องฟ้าอันกว้างใหญ่นั้นไร้ขอบเขตนี้เป็นเรื่องยากมาสำหรับเขาที่จะค้นหาสิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและอารยธรรมอื่นๆ
“หลายแสนปีผ่านไป สิ่งที่สามารถดำรงชีวิตอยู่จนถึงปัจจุบันได้จะต้องเป็นผู้ที่แข็งแกร่งมากแค่ไหน”
เย่ฟ่านคิดอย่างจริงจัง และรู้สึกว่าบางทีผู้ที่รอดชีวิตคนนั้นอาจเป็นยอดคนผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตก็เป็นได้!
ในขณะนี้เย่ฟ่านปีนขึ้นไปบนเรือรบอย่างช้าๆ ยังไม่มีปฏิกิริยา ไม่มีเสียง ไม่มีคลื่นในเรือ ทุกสิ่งทุกอย่างไร้ชีวิตชีวาโดยสิ้นเชิง
เย่ฟ่านไม่ได้เริ่มค้นหาทันที แต่รอเป็นเวลานานเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่อยู่บนเรือนั้นไม่เป็นอันตรายกับเขาจริงๆ
เมื่อมองอย่างใกล้ชิดจะเห็นว่าความยิ่งใหญ่และความเก่าแก่ของเรือรบลำนี้มากยิ่งกว่าสิ่งที่เขาจินตนาการไว้ และอายุของมันบางทีอาจถูกสร้างมาเป็นล้านปีแล้วก็ได้
เรือลำนี้ถูกสร้างขึ้นจากทองคำม่วงที่มีความพิเศษอย่างยิ่ง มันถูกขัดเกลาเป็นโลหะศักดิ์สิทธิ์ซึ่งแตกต่างจากวัสดุที่ใช้สร้างอาวุธในปัจจุบัน
มันถูกผสมด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์และสลักด้วยลวดลายโบราณที่ลึกซึ้งเพื่อทำให้เรือลำนี้มีความแข็งแกร่งไม่เป็นรองอาวุธเซียนโบราณชิ้นใด
“อักขระเหล่านี้จะต้องทรงพลังเป็นอย่างมาก เพราะอาวุธระดับเซียนโบราณที่ตกทอดมาจากยุคเดียวกันแทบจะถูกทำลายไปหมดแล้ว แต่เรือรบลำนี้กลับยังดำรงความยิ่งใหญ่มาจนถึงปัจจุบัน”
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้จิตใจของเย่ฟ่านยิ่งสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เขาพยายามตรวจสอบเรือลำใหญ่ด้วยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าเรือโบราณลำนี้ปิดกั้นความสามารถในการสอดส่องจากด้านนอกทั้งหมด
หลังจากรออีกครึ่งชั่วยาม เย่ฟ่านก็เชื่อมั่นว่าอันตรายทั้งหมดได้ถูกลบล้างออกไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงก้าวเข้าไปในส่วนลึกของเรืออย่างรวดเร็ว
ห้องโดยสารนั้นกว้างใหญ่ราวกับพระราชวัง ภายในมีห้องลับโบราณมากมายกระจายตัวอยู่ทุกสัดส่วนของเรือ
ที่นี่ไม่เหมือนเรือ แต่เหมือนคฤหาสน์เซียน มันกว้างใหญ่และไร้ขอบเขต มีแม้กระทั่งสวนยาศักดิ์สิทธิ์ด้วยซ้ำ
แน่นอนว่าภายในนั้นทุกสิ่งทุกอย่างล้วนกลายเป็นเถ้าถ่านไปหมดแล้ว มีซากยามากมายกระจายอยู่บนพื้น แต่พวกมันไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้อีกต่อไป
เวลาเป็นพลังที่น่ากลัวที่สุด ทุกสิ่งสามารถลบล้างได้ และไม่มีอะไรสามารถหลีกหนีกาลเวลาพ้น
หัวใจของเย่ฟ่านแน่นขึ้น เขาเริ่มสอดสายสายตาอย่างช้าๆโดยถือน้ำเต้าสีม่วงอยู่ในมือในขณะที่หม้อปราณปฐพีต้นกำเนิดลอยอยู่ด้านหน้า
กะโหลกมนุษย์สีขาวกระจายอยู่ทั่วท้องเรือเป็นภาพที่น่าสะอิดสะเอียนอย่างยิ่ง ที่ปลายสุดของห้องโถงมีกะโหลกศีรษะของสตรีคนหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศเต็มไปด้วยความลึกลับอย่างถึงที่สุด
ความผันผวนของพลังชีวิตรั่วไหลออกมาจากกะโหลกศีรษะนี้นั่นเอง
“กระโหลกเซียน!”
เย่ฟ่านประหลาดใจกับความจริงที่พบเจอ ไม่น่าแปลกใจเลยที่เวลาผ่านไปหลายแสนปีกะโหลกยังคงเป็นปลดปล่อยความผันผวนของพลังชีวิตออกมาอย่างต่อเนื่อง
“นี่คือกระโหลกของหญิงสาว…” เย่ฟ่านกล่าวกับตัวเอง
เซียนโบราณที่เป็นสตรี ในตอนนี้เย่ฟ่านมีประสบการณ์ชีวิตและระดับขั้นของพลังที่ห่างไกลจากมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นเขาจึงพอจะอนุมานได้ว่าเจ้าของกะโหลกศีรษะนี้ในอดีตเคยงดงามมากเพียงใด
ในขณะนั้นเย่ฟ่านมองเห็นตัวหนังสือขนาดเล็กที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนถูกแกะสลักอยู่บนผนังไม่ไกลจากบริเวณที่กะโหลกศีรษะล่องลอยอยู่กลางอากาศ
“ภาษาเทวะบรรพกาล!”
เย่ฟ่านประหลาดใจ ภาษาโบราณนี้กล่าวกันว่าเป็นภาษากลางของทุกเผ่าพันธุ์ในยุคโบราณ และแม้แต่เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ยังมีการเรียนรู้มันด้วย
ก่อนหน้านี้ไม่นานเย่ฟ่านมีโอกาสศึกษาภาษาเทวะบรรพกาลจากสิ่งมีชีวิตโบราณซึ่งถูกเขาจับตัวไว้ ดังนั้นเย่ฟ่านจึงรู้ความหมายของภาษานี้ไม่มากก็น้อย
“กลายเป็นว่าแม้กระทั่งเซียนหญิงคนนี้ก็ยังเคยศึกษาคัมภีร์สุริยันจันทรามาแล้ว”
คัมภีร์สุริยันจันทราคือต้นกำเนิดของคัมภีร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดซึ่งแตกแขนงออกไปหลายเล่มและได้รับการครอบครองโดยมหาอำนาจของโลก
เซียนหญิงคนนี้ครั้งหนึ่ง นางเคยเห็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ปราศจากจุดเริ่มต้น และนางก็ได้เขียนบรรยายถึงความสง่างามของเขาไว้ที่นี่
อย่างไรก็ตามนางมีโอกาสได้อยู่ร่วมกับจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ปราศจากจุดเริ่มต้นเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น
หลังจากที่เขาส่งต่อคัมภีร์โบราณให้นางแล้วเขาก็จากไปในสถานที่ที่นางไม่มีวันตามไปถึงได้ ว่ากันว่าเขาเดินทางกลับโลกของตัวเอง