ตอนที่ 2 หนึ่งวันของเด็กน้อย
วันแรกของดีเร็กในฐานะทารกนั้นเงียบสงบแต่ก็น่าเบื่อ เขาไม่มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ สิ่งที่เขาต้องทำก็คือการกิน นอน อึ และส่งเสียงน่ารำคาญของทารกเป็นครั้งคราว แล้วก็ต้องคอยจับนิ้วมือคนอื่นบ่อย ๆ
นั่นทำให้เขามีเวลามากมายที่จะคิดถึงอนาคตของเขา
บนโลกใบนี้ไม่มีสิ่งวิเศษที่จะช่วยให้เด็กเรียนรู้ได้รวดเร็วมากกว่าผู้ใหญ่ และเนื่องจากครอบครัวของเขาดูเหมือนมนุษย์หรืออย่างน้อยก็เหมือนมนุษย์ เขาหวังว่ามันจะเป็นแบบนั้น
จากสิ่งที่เขาเห็นร่างกายของเขาไม่แตกต่างจากทารกจากดาวเคราะห์โลก เขาสามารถได้ยินเสียงหัวใจที่กำลังเต้นและเห็นหน้าอกของเขาเคลื่อนไหวในขณะที่เขาหายใจ
แม้แต่อุปกรณ์สืบพันธุ์ก็เป็นอย่างที่เขารู้จัก
เช่นเดียวกันกับครอบครัวใหม่ของเขา ถ้าไม่ใช่เพราะการมีอยู่ของเวทมนตร์เขาก็คงจะเดินทางข้ามเวลาอีกครั้ง แต่สิ่งต่าง ๆ ก็ไม่ง่ายอย่างนั้น
ดีเร็กเอาความคิดเรื่อง “เผ่าพันธุ์ปัจจุบันของเขา” ออกไปจากหัวเพราะยิ่งตั้งสมมติฐานก็ยิ่งคิดมาก
ข้อดีอย่างหนึ่งของการเป็นเด็กก็คือความไม่รู้ เมื่อถึงเวลาก็จะมีใครบางคนมาสอนเขาเอง
เขาพิจารณาแล้วว่าเขามีสิ่งสำคัญสองอย่างที่เขาต้องทำ อย่างแรกคือการเรียนรู้ภาษาของพวกเขา เด็กทุกคนควรเรียนรู้ภาษาแม่ของพวกเขาและเขาก็มีเวลามากมายให้ได้เรียนรู้ก่อนที่เขาจะถูกทุกคนคิดว่าเขานั้นปัญญาอ่อน ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถหย่อนยานได้
อย่างที่สองคือเวทมนตร์หรืออย่างน้อยก็ต้องได้พื้นฐานของมัน แต่นั่นก็มีเดดไลน์เนื่องจากศักยภาพในการเรียนรู้ของเขาจะอยู่ที่จุดสูงสุดจนกว่าสมองของเขาจะหยุดเติบโต
หลังจากนั้นเขาก็จะไม่แตกต่างจากคนอื่นที่มีพรสวรรค์ทางด้านเวทมนตร์
เขาตั้งความสำคัญของเรื่องเวทมนตร์เป็นอันดับแรกของเขา การถูกคิดว่าเป็นคนเรียนรู้ช้านั้นดีกว่าการอ่อนแอและถูกบังคับให้ไปเกิดใหม่อีกครั้ง
ดีเร็กใช้เวลาวันแรกของเขาในโลกใหม่บนเตียงพร้อมกับแม่ของเขา ในขณะที่พ่อของเขาจะนอนหลับและพักผ่อนในห้องของพวกผู้ชาย
เมื่อใดก็ตามที่มีคนพูดคุยกับเขา เขาจะตั้งใจฟังอย่างมากและพยายามจำคำง่าย ๆ และพยายามหารูปแบบของมัน
ส่วนเวลาที่เหลือของเขาที่ไม่ใช่ตอนกินหรือเปลี่ยนผ้าอ้อม เขาจะพยายามลองหนึ่งในสามคาถาที่เขารู้นั่นก็คือ Ekidu, Vinire Lakhat และ Vinire Rad Tu
ทุกความพยายามของเขาล้มเหลวตลอด เขาไม่รู้สึกถึงพลังแม้แต่น้อยนิดในตัวเอง เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่เขาเห็นกับสิ่งที่เขารู้จากนิยายของโลกเกี่ยวกับดันเจี้ยน คาถาเหล่านี้มีองค์ประกอบทางวาจาและท่าทางอย่างชัดเจน
แต่นั่นอาจไม่ใช่ทั้งหมดหรืออย่างน้อยเขาก็หวังว่าอย่างนั้น มิฉะนั้นความพยายามทั้งหมดของเขาจะไร้ประโยชน์จนกว่าเขาจะสามารถพูดได้
หลังจากล้มเหลวมาหลายครั้งความวิตกกังวลของเขาก็ได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก เขากลัวในสิ่งที่ไม่รู้และกลัวอนาคตที่กำลังจะมาถึง นอกจากนี้การทำความคุ้นเคยกับการอึแตกและการทำให้ตัวเองฉี่ราดก็ไม่ได้เป็นความรู้สึกที่น่าพอใจเช่นกัน
โชคดีที่แม่ของเขาอาบน้ำให้เขาโดยไม่ได้แสดงออกอะไรนอกจากความรัก และความรักทำให้วันของเขาไม่ใช่การสูญเปล่าทั้งหมด แม้จะมีอคติเกี่ยวกับแม่เนื่องจากชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา แต่เอลิน่าก็ทำให้เขารู้สึกถึงความรักและการถูกปกป้อง นั่นไม่ได้เลวร้ายเลย
ผลลัพธ์ในวันแรกของเขา ไม่มีความคืบหน้าในด้านเวทมนตร์และก็ไม่มีความคืบหน้าในด้านภาษา ในทางกลับกันแม่ของเขาดูเหมือนจะเป็นผู้ปกครองที่ดีและในที่สุดเขาก็เรียนรู้ชื่อใหม่ของเขา ลิธ
ในวันที่สองของเขาตรรกะของเขาก็ต้องเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
เอลิน่าแสดงความแข็งแกร่งของวัวป่า ตัดสินจากที่เธอพึ่งจะป่วยและควรจะพักผ่อนแต่เธอลุกขึ้นมาช่วยทำงาน
ลิธมีโอกาสได้เห็นเรือนร่างของเธอ แม้เธอพึ่งจะให้กำเนิดเขาไปเมื่อวันก่อนแต่เธอก็เป็นผู้หญิงที่ดูดีในวัยยี่สิบต้น ๆ เธอมีหุ่นที่สวยงามละกระชับจากการทำงานหนัก
ผมยาวประบ่าของเธอมีสีน้ำตาลอ่อนสวยงามและมีผมสีแดงแทรกอยู่ทั่วทั้งผม
เงาของแสงเทียนที่เกิดจากเปลวไฟสั่นระริกเหมือนมันกำลังเต้นรำ
‘การได้เห็นแม่ปล่อยผมของเธอในวันที่แดดจ้าต้องเป็นภาพที่น่ามองแน่นอน’ ดีเร็กคิด
อาจเป็นเพราะว่าลิธยังคงเป็นเด็กหรืออาจเป็นเพราะพันธะแม่ลูก ลิธจึงรู้สึกภูมิใจในตัวเธออย่างลึกซึ้ง
นอกจากนี้เขายังค้นพบว่าเธอไม่ได้ใช้ชุดชั้นในหรือกางเกงซับใน
เมื่อเธอแต่งตัวเสร็จแล้วเอลิน่าก็ห่อตัวลิธทำให้เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ จากนั้นเอลิน่าวางเขาไว้ในสายสะพายของเธอโดยใช้มันเหมือนเปลเด็กเพื่อที่เธอจะได้อุ้มเขาด้วยแขนเดียวโดยที่ไม่ต้องออกแรงเยอะ
เธอเดินออกจากห้องนอนเล็ก ๆ และพบว่าลูกสาวคนโตของเธอเรน่ากำลังยุ่งอยู่กับเตาผิง
*“ลูกกำลังทำอะไรอยู่น่ะเรน่า ดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้นเลยลูกควรจะนอนอยู่นะ แล้วก็รู้ไหมว่าลูกไม่ได้รับอนุญาตให้มายุ่งกับไฟ!”*
เธอพูดด้วยเสียงเบา ๆ พยายามที่จะไม่ปลุกคนในบ้าน
*“หนูขอโทษ หนูแค่อยากจะเซอร์ไพรส์ท่านแม่ ให้ท่านตื่นขึ้นมาในบ้านที่อุ่นอยู่และมีอาหารเช้าพร้อมแล้ว”* ใบหน้าของเรน่าแสดงให้เห็นถึงความกังวลอย่างจริงใจ
*“ไม่จำเป็นต้องกังวลแค่เรื่องเล็กน้อย แม่ของเจ้าเก่งอยู่แล้ว”* เอลิน่าพูดขณะที่ลูบผมของเธอ
เรน่ากับออพัลน้องชายฝาแฝดของเธอเป็นลูกคนโต เธออายุหกขวบและมีผมสีบลอนด์แซมสีดำนั่นจึงเป็นที่มาของชื่อเธอ
เอลิน่าไล่เธอออกจากเตาผิง จากนั้นเธอก็จุดไฟที่ฟืนด้วยการสะบัดนิ้วของเธอ
“Infiro!”
‘ขอบคุณสวรรค์!’ ลิธชื่นชมอย่างยินดี ‘ฉันมีความรู้สึกแปลก ๆ เหมือนที่ฉันเคยรู้สึกเมื่อฉันได้พบเวทมนตร์รูปแบบใหม่อีกครั้ง นี่เป็นการพิสูจน์ว่าฉันไม่ได้คิดไปเอง!’
เอลิน่าให้เรน่าไปเปิดหน้าต่างเพื่อให้แสงยามเช้าส่องเข้ามาในขณะที่เธอเตรียมอาหารเช้า
เอลิน่านำผักหลายชนิดออกจากชั้นและหั่นมันด้วยมีด ผักบางอย่างมีลักษณะที่คุ้นเคยเช่น มีอันที่คล้ายกับมันฝรั่งแล้วก็มีแครอทที่มีสีแปลก ๆ ส่วนอันอื่นนั้นเขาไม่เคยรู้จักมาก่อน
ความจริงที่ว่าอาหารเช้าทำจากผักทั้งหมดทำให้ลิธอยากจะร้องไห้ ในชีวิตที่ผ่านมาของเขาเขาไม่เคยชอบผักเลยเพราะว่าพวกมันทุกอย่างมีรสชาติอ่อน ไม่ว่าเขาจะกินพวกมันมากเท่าไหร่ภายในครึ่งชั่วโมงเขาก็จะกลับมาหิวอีกครั้ง
เอลิน่าเททุกอย่างลงในหม้อทองแดงขนาดเล็ก โดยมีห่วงบนหม้อที่ถูกแขวนไว้ด้วยแท่งโลหะเหนือกองไฟ
หลังจากนั้นเธอก็เสกน้ำออกมาจากความว่างเปล่าด้วยนิ้วมือของเธอและเติมลงไปในหม้อ
ทั้งลิธและเรน่าต่างก็มีความสุขแม้ว่าด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันก็ตาม
สำหรับลิธมันหมายถึงความหวัง คาถาสามารถถูกใช้ได้โดยไม่ต้องมีคำพูดหรือการเคลื่อนไหวของมือที่ละเอียดอ่อน นั่นพิสูจน์ให้เขาเห็นว่ามีโอกาสที่จะฝึกใช้เวทมนตร์ในขณะที่ยังเป็นเด็กอยู่
สำหรับเรน่ามันเป็นเหตุผลสำหรับความภาคภูมิใจ เวทมนตร์เป็นเรื่องธรรมดา แต่ทุกครั้งที่เอลิน่าใช้คาถาโดยไม่ออกเสียงมันก็เหมือนกับการได้เห็นจอมเวทย์ตัวจริง
*“ท่านแม่ยอดเยี่ยมจริงๆ!”* ดวงตาของเรน่าเต็มไปด้วยความชื่นชม *"ถ้าโตขึ้นหนูจะสามารถยอดเยี่ยมเหมือนท่านแม่ได้ไหม?"*
*“แน่นอนเจ้าทำได้อยู่แล้ว”* เอลิน่าตอบด้วยรอยยิ้มที่ใจดีขณะที่พูดต่อในใจว่า ‘หลังจากที่เจ้าทำงานบ้านทุกวันเป็นเวลาสิบปีล่ะนะ’
หลังจากนั้นไม่นานทุกคนก็ตื่นขึ้นมาทานอาหารเช้าด้วยกัน ครอบครัวของพวกเขาประกอบด้วย ราซ (พ่อ), เอลิน่า, ลูกสาวสองคน (เรน่าและทิสต้า) และลูกชายสองคน (ออพัลและไทรออน)
ลิธสามารถยืนยันได้ด้วยความมั่นใจว่าไม่มีสิ่งที่เรียกว่าห้องน้ำอยู่ในบ้าน
จากสิ่งที่เขาเห็นบ้านนี้ประกอบไปด้วยห้องขนาดใหญ่ที่ใช้เป็นห้องรับประทานอาหารและห้องครัวโดยมีสามประตูที่นำไปสู่ห้องนอนต่าง ๆ และไม่มีอย่างอื่นอีก
มื้ออาหารเช้าค่อนข้างเงียบดังนั้นเขาจึงไม่มีปัญหาในการเรียนรู้คำศัพท์ของเวทมนตร์ธาตุน้ำเมื่อพ่อของเขาเติมน้ำในเหยือก
“Jorun!”
หลังจากนั้นทุกคนก็ไปทำกิจวัตรประจำวันของพวกเขา เอลิน่ากับลิธไปที่เก้าอี้โยก ในช่วงเช้าเขามีความสุขที่ได้ค้นพบว่าในโลกใหม่นี้งานบ้านประจำวันเช่นการล้างจานหรือทำความสะอาดพื้นทั้งหมดถูกจัดการด้วยเวทมนตร์
ขณะที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้โยกเอลิน่าแค่หมุนนิ้วชี้และนิ้วกลางของเธอในขณะที่ท่อง “Brezza!” เพื่อสร้างลมหมุนขนาดเล็กสามอันและเธอจะขยับมันไปรอบ ๆ บ้านเพื่อรวบรวมและกำจัดฝุ่น
เมื่อมีใครบางคนทำพื้นสกปรกด้วยดินหรือโคลนที่ติดกับพื้นรองเท้ามา เพียงเเค่เธอสะบัดมือและพูดว่า “Magna!” เศษก็ดินลอยกลับไปที่เดิม
ลิธมีความสุขที่พบว่าการใช้เวทมนตร์ถือเป็นเรื่องธรรมดา ทุกคนในครอบครัวแม้แต่เด็ก ๆ ก็สามารถใช้เวทมนตร์เพื่อทำให้ชีวิตของพวกเขาสะดวกสบายมากขึ้น
เมื่อถึงเวลานอน ลิธแทบจะทนรอที่จะได้ลองใช้เวทมนตร์แทบไม่ไหว เขารอมานานมากแล้วเพราะในที่สุดมือและเท้าของเขาก็เป็นอิสระ
เอลิน่าหลับไปเกือบจะในทันที แต่ลิธก็ยังรอบคอบพอที่จะรอต่อไปอีกหนึ่งชั่วโมง
หลังจากคิดมาทั้งวันเขาก็ตัดสินใจที่จะลองใช้เวทมนตร์ธาตุลมก่อน อย่างน้อยก็จนกว่าเขาจะมั่นใจในความสามารถในการควบคุมเวทมนตร์ของเขา
ไฟนั้นอันตรายเกินไปสำหรับมือใหม่ ในขณะที่น้ำและแสงจะปลุกแม่ของเขาได้ ลิธมองไม่เห็นสิ่งสกปรกใด ๆ ที่จะให้กำจัดในห้องที่มืดสลัว และเขาก็กลัวเกินกว่าที่จะยุ่งกับเวทมนตร์แห่งความมืดจนกว่าเขาจะเข้าใจมัน
ดังนั้นเขาจึงหมุนแขนเล็ก ๆ ของเขาแล้วพูดว่า “แอ๊” แน่นอนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ลิธพยายามและล้มเหลวนับครั้งไม่ถ้วนก่อนที่เขาจะยอมแพ้ เขาไม่รู้ว่าร่างกายที่เป็นทารกของเขาจะอยู่ได้นานแค่ไหนก่อนที่จะหลับไป ดังนั้นเขาจึงหยุดพยายามอย่างสิ้นหวังและเริ่มคิด
เมื่อใดก็ตามที่เขาได้ยินคำร่ายเวทมนตร์ธาตุเป็นครั้งแรก เขาก็จะรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างในตัวของเขาถูกกระตุ้น ราวกับว่ามันมีการสร้างการเชื่อมต่อระหว่างเขากับพลังงานธาตุ
เขาคิดว่ามันเป็นเรื่องดีแต่เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงล้มเหลวเสมอ เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะประสบความสําเร็จตั้งแต่ครั้งแรกอยู่แล้ว แต่เขาก็คิดว่าเขาควรจะรู้สึกอะไรบ้างสิ
อาจจะลมพัดเบา ๆ ประกายแสงเล็ก ๆ น้ำสักหยด หรืออะไรก็ได้ที่บ่งบอกว่าเขามาถูกทาง
เขาเริ่มคิดย้อนกลับไปตอนที่หญิงชราคนนั้นได้เติมพลังให้เขา ความรู้สึกนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับเขา แต่เขาไม่เคยสัมผัสมันรุนแรงขนาดนั้นมาก่อน
ลิธพยายามนึกถึงความรู้สึกนั้นจากความทรงจำของเขาจนกระทั่งเขาพบคำตอบ มันเป็นความรู้สึกเดียวกับตอนที่เขารู้สึกเมื่อเขาเริ่มฝึกศิลปะการต่อสู้จูจุสึในขณะที่เรียนรู้เทคนิคการหายใจขั้นพื้นฐาน
ก็ดี ฉันไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว ลองดูก็ไม่เสียหาย'
ลิธสูดลมหายใจผ่านกะบังลมของเขาในขณะที่ผ่อนคลายทวารหนักเพื่อดึงพลังงานโลกเข้ามา
จากนั้นเขาก็ขมิบทวารหนักและการกลั้นลมหายใจสักสองสามวินาทีเพื่อให้พลังงานสงบ ก่อนที่จะหายใจออกในขณะที่เขาผ่อนคลายร่างกายทั้งหมดของเขา
ย้อนกลับไปตอนที่ยังอยู่ที่โลก เขาเคยคิดว่าความรู้สึกแบบนี้ที่เขาสัมผัสได้ตอนฝึกครั้งแรกเป็นผลมาจากยาหลอนประสาทบางอย่าง
ด้วยความคิดที่ไร้เดียงสาของเขาตอนนั้นเขาจึงได้หลอกตัวเขาเองว่าคนที่อ่อนแอจะแข็งแกร่งขึ้นได้ด้วยความศรัทธาอันแรงกล้าและฝึกฝนพลังชี่หรือกำลังภายในอย่างหนัก
แต่ถ้าเขาไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเพียงเพราะว่าพลังงานบนโลกนั้นเบาบางเกินไปล่ะ?
หลังจากนั้นไม่นานลิธก็เริ่มรู้สึกเสียวซ่าไปทั่วทั้งร่างกายของเขาและจากนั้นพลังงานก็ดูเหมือนจะเคลื่อนที่และไปควบแน่นภายในช่องท้องของเขา
ยิ่งเขาแสดงเทคนิคการหายใจมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าพลังงานมีเสถียรภาพมากขึ้นเท่านั้น
ในวิดีโอเกมที่เขารู้จักมานามักจะเป็นสีฟ้าเสมอ ดังนี้เขาจึงนึกภาพว่าพลังงานทรงกลมในช่องท้องของเขาเป็นสีฟ้า
หลังจากนั้นไม่นานลิธก็รู้สึกเปี่ยมไปด้วยพลัง หลังจากกลั้นหายใจครั้งสุดท้ายเขาก็ขยับแขนเล็ก ๆ ของเขาก่อนที่จะสั่งว่า “แอ๊!”
ลมที่ถูกสร้างขึ้นมาทำให้ผมของเอลิน่าขยับเล็กน้อยทั้ง ๆ ที่เขาเล็งไปที่ผ้าห่ม แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่สามารถหยุดยิ้มได้เลย
‘นี่เป็นการเริ่มต้นที่ดีจริงๆ!’
---
Rena เรน่า ชื่อนี้มีความหมายอะไรนะ ใครรู้ไหม
ที่แปลว่ามันคลายและขมิบก้นนั่นไม่ได้แปลผิดนะ คอมเมนต์จากต้นฉบับก็มีคนล้อตรงนี้เต็มเลยว่าพระเอกมันทำอะไรวะนั่น มันพึ่งจะตดหรอ 555 หรือว่ามันรับพลังงานเข้ามาจากไหนกันแน่ xD
สรุปเทคนิคการหายใจจูจุสึ
วิธีการ
1. สูดลมหายใจเข้าผ่านกะบังลม ในขณะที่ผ่อนคลายร่างกายและทวารหนัก เพื่อดึงพลังงานโลกเข้าไป
2. ขมิบทวารหนัก และกั้นลมหายใจสองสามวินาที เพื่อให้หลังงานสงบลง
3. หายใจออกและผ่อนคลายร่างกาย
ผลลัพธ์
หลังงานโลกจะเข้าไปควบแน่นในช่องท้อง