ตอนที่ 11
เจสันเพื่อนร่วมหอพักของผมตะโกนขณะที่เดินมาหาผม
“หลีกทางให้ท่านอัครจอมเวทย์หน่อย!”
ทำไมต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้กัน?
“โอ้โห! รูนเองนี่นา!”
“เฮ้ รูน! ไปกินข้าวกลางวันด้วยกันไหม?”
“นายไปออกกำลังกายตอนเช้าใช่ไหม? ทำแบบนั้นทุกวันเลยเหรอ?”
ทุกอย่างเปลี่ยนในข้ามคืน
จนกระทั่งเมื่อวาน ผมยังเป็นคนที่เดียวดายที่สุดในโรงเรียนอยู่เลย
“รูน รู้สึกยังไงกับการสอบวันนี้บ้าง?”
“นายจะใช้หมัดนายอีกใช่ไหม? ฟึ่บ ฟึ่บ แบบนี้น่ะ?”
“เขาก็ต้องใช้น่ะสิ!”
หรือผมจะบอกว่าจำนวนคนที่อยากจะเป็นเพื่อนของผมนั้นเพิ่มขึ้นดี?
กับเพื่อนร่วมห้องเหล่านี้ ผมได้แต่ส่ายหัว
“...สนใจแต่เรื่องตัวเองไม่ได้รึไง”
แต่ยิ่งผมทำแบบนี้ไปเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งเข้าหากันมากขึ้น
“รูน รู้จักชื่อชั้นไหม? เราเรียนห้องเดียวกันมา 6 ปีแล้วนะ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้คุยกันแบบนี้ ชั้นชื่อฮัลเบิร์ท อย่าลื…”
“ออกไปได้แล้ว! ตาชั้นแล้ว รูนรู้จักชื่อชั้นไหม? ชั้นเป็นลูกบารอนมุงจ์ลินด…”
โทษทีนะ ชั้นไม่สนใจชื่อของพวกแกหรอก
“เฮ่อ…”
พอผมถอนหายใจเบา ๆ ออกมา เจสันเองก็พูดกับผมด้วยความสนุกสนานกว่าเดิม
“ท่านอัครจอมเวทย์! ท่านรู้สึกไม่สบายตรงไหนรึเปล่า?”
“พูดดังไปแล้วนะ พอทีเถอะ”
“ฮ่าฮ่า”
มันทำให้เหนื่อยยิ่งกว่าเดิมในตอนที่ไม่มีใครสนใจผม
แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่เป็นมิตรเช่นกัน
บางกลุ่มที่ชอบพูดในทางร้าย ๆ กับผมก็ยังคงมีอยู่
“ไม่เข้าใจผู้คุมสอบจริง ๆ ยอมรับ ‘ไอ้นั่น’ เป็นเวทมนตร์ได้ยังไง?”
“เขาจะต้องใช้กลลวงแปลก ๆ แน่ ไม่คิดแบบนั้นเหรอไมเคิล?”
กลุ่มหลักก็คือขุนนางที่ยึดโยงกับไมเคิล เกลฮิล เพื่อที่วันหนึ่งพวกเขาจะได้กินเศษก้อนขนมปังบ้าง
พวกเขามองผมเหมือนการมีอยู่ของผมเป็นขวากหนามของพวกเขาอยู่เสมอ
แต่บอกตามตรง คนประเภทนี้นั้นรับมือง่าย
ผมฉีกยิ้ม
“เอ๋?”
“ไอ้เวรนั่น…มันยิ้มเหรอ?”
ถ้าผมยิ้มเบา ๆ ให้ พวกมันก็จะระเบิดกันไปเอง
“นี่แก หัวเราะเยาะพวกชั้นเรอะ?”
“คิดว่าแกหยุดไม่ได้แค่เพราะสอบครั้งเดียวได้คะแนนดีเรอะ?”
อย่างที่คิดเลย ไม่ต่างจากที่เดาไว้
ไมเคิล เกลฮิลที่ดูผมจากระยะไกลค่อย ๆ เดินมาหา
“กับจอมเวทย์ที่ใช้หมัดน่ะ…ก็หยาบช้าสมกับเป็นแก”
“หยาบช้า? ชั้นถือว่านายกำลังเหยียดหยามอัศวินทุกคนในอาณาจักรได้ไหมนะ?”
“...หึ ชั้นไม่สนว่าแกจะพูดอะไร ไม่รู้นะว่าเมื่อวานแกทำอะไร แต่…”
ไมเคิลฉีกยิ้มราวกับวางแผนเอาไว้
“แกรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์กับการสอบวันนี้ใช่ไหม?”
การสอบครั้งที่ 2 คือวันนี้
มันเป็นการสอบที่ตรงไปตรงมาเพื่อวัดพลังทำลายของเวทมนตร์
แต่ก็มีหนึ่งตัวแปรของการสอบครั้งนี้
อาติแฟกต์ที่ใช้ในการสอบ ‘โอเกอร์บรรพกาลคิงแกรม’ นั้น ‘มีชีวิต’
และก็เป็นอย่างที่ชื่อบอกไว้ นักล่าบรรพกาลโอเกอร์ ‘คิงแกรม’ นั้นพ่ายแพ้จากอัครจอมเวทย์คนแรก โฟรเลียน อิกนิท และดังนั้นจึงติดอยู่ในพื้นที่ข้างในอาติแฟกต์ ถูกสาปให้อดอยากอยู่เสมอ
เขากลายเป็นอาติแฟกต์ในสภาพนี้และคิงแกรมก็ยังคงติดอยู่ในอาติแฟกต์และได้รับมานาของจอมเวทย์ที่โจมตีเข้าไปและดูดซับ
ซึ่งโดยทฤษฎีแล้วเขาถูกใช้เป็น ‘กระสอบทรายเวทมตร์’ มานาที่ถูกคิงแกรมดูดซับเข้าไปจะถูกคำนวนออกมาเป็นตัวเลข ซึ่งจำนวนนั้นจะเป็นคะแนนของจอมเวทย์
หมายความว่านี่คือตัวแปรที่แตกต่างจากการสอบอื่นทั้งหมด
‘ถ้าหากโอเกอร์ไม่ยอมรับเวทมนตร์แบบอื่นน่ะ’
เอาเถอะ ผมไม่เคยแตะต้อง ‘คิงแกรม’ ซักครั้งอยู่แล้ว
และเหนือไปกว่านั้น เวทมนตร์ของผมมันประหลาด
เวทมนตร์ที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน
นี่อาจเป็นเหตุผลที่ไมเคิลมาโอ้อวดในวันนี้
แต่แทนที่จะกังวล ผมกลับยิ้มอย่างสดใสออกไป
“ไมเคิล โชคดีในการสอบนะ”
“ว่าไงนะ? พูดบ้าอะไรของแก?”
“เดี๋ยวนายก็จะได้เจอชั้นอีก”
ที่การทดสอบสุดท้าย และเป็นการสอบที่น่าดูที่สุด
การต่อสู้กันเองของนักเรียนในม่านมานาพิเศษที่ความรุนแรงของเวทมนตร์ถูกลดไป 99%
สิ่งสำคัญก็คือคู่ประลอง
และการจัดคู่ประลองจะขึ้นอยู่กับผลของการสอบวันนี้
การจัดกลุ่มจะแบ่งตามผลสอบที่ได้
พวกที่ได้คะแนนต่ำจะต้องสู้กับคนคะแนนต่ำ และคนที่ได้คะแนนสูงจะได้สู้กับคนที่คะแนนสูง
“นายเองก็อยากจะเจอกับชั้นไม่ใช่รึไง?”
คำยั่วยุเล็ก ๆ ของผมทำให้ไมเคิลคิ้วกระตุกและถอนหายใจแรงใส่ผม
“แกคิดรึว่าแกมีโอกาสจะได้สู้กับชั้นน่ะ? แกมันก็แค่คนต้อยต่ำที่สอบตกมาตลอด 6 ปี…”
นักเรียนต้อยต่ำ
สอบตก
นั่นคือตราที่ประทับตัวผมมาจนถึงท้ายสุด
ผมตอบไมเคิลด้วยเสียงที่เย็นชากว่า
“ไมเคิล นายไม่ได้กำลังขวัญอ่อนเกินไปหรอกเหรอ?”
“ว่าไงนะ?”
เป็นตอนนั้นเอง
วี๊ดดดดด-!
เสียงไซเรนสัญญาณเริ่มสอบดังไปทั้งโรงเรียน
ครืน!
ประตูพื้นที่สอบเปิดออก อาจารย์ผู้ช่วยที่ดูการสอบปรากฏตัวออกมาทีละคน
“การสอบเริ่มแล้ว! ทุกคนนั่งที่ได้!”
ใบหน้าไมเคิลพูดหลายสิ่งหลายอย่างกับผม แต่การมาของผู้คุมสอบก็ทำให้เขาไม่ได้พูดอะไรและกลับไปนั่งที่
และมันก็ดูเหมือนว่าเขากำลังพูดกับผมด้วยสายตาที่จ้องราวกับจะฆ่าฟัน
เห็นไมเคิลเป็นแบบนี้ ผมก็ยักไหล่กลับไปให้
ใจเย็นเพื่อนยาก
เป็นแบบนี้จะมีเลเซอร์ออกมาจากตาเอานะ
ใในตอนนี้ เจสันที่นั่งติดกับผมชี้ไปที่ทางเข้าพื้นที่สอบ
“เฮ้รูน ดูนั่นสิ!”
“หืม?”
“ถึงชั้นจะเห็นมาหลายรอบแล้วก็เถอะ แต่มันก็เท่ทุกครั้งที่ได้เห็นเลย”
ตรงที่เจสันกำลังชี้นั้น เหล่าผู้คุมสอบของโรงเรียนกำลังเดินวนรอบรูปปั้นใหญ่
มันเป็นรูปปั้นยักษ์สีเงิน
แม้ว่าด้านนอกจะสร้างจากแพลตตินัมแข็งแรง ด้านในนั้นคือสิ่งมีชีวิตที่กำลังหายใจอยู่
นั่นจะต้องเป็น
“...คิงแกรม”
โอเกอร์บรรพกาลคิงแกรม
มันคือสมบัติที่เป็นตัวแทนของโรงเรียน เป็นอาติแฟกท์เกรดหายาก สิ่งที่ยากจะหาได้แม้จะค้นจนทั่วทวีป
‘โอเกอร์บรรพกาลคิงแกรม’
มันมีชีวิตมาหลายพันปีแล้ว
และมันก็ติดอยู่ในรูปปั้นมาหลายร้อยปีก่อนที่จะกลายเป็นอาติแฟกต์
โอเกอร์โบราณ
โอเกอร์ที่ใช้เวลาเกิน 500 ปีในฐานะอาติแฟกต์ของโรงเรียนเวทมนตร์อิกนิท
ส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่ยังมีชีวิต
และวันนี้ มันคือผู้คุมสอบที่จะวัดคะแนนของนักเรียนทุกคนที่นี่
ทันทีที่มาถึง คิงแกรมก็พูดด้วยคำที่เต็มไปด้วยการเหยียดหยาม
[กลิ่นเหม็นเน่าของพวกอ่อนแอแปดเปื้อนอากาศตรงนี้ กลิ่นเหม็นเสียจนคิดว่าหัวจะระเบิด]
การสอบครั้งที่สองเริ่มแล้ว
การสอบนั้นเรียบง่าย
นั่นก็คืออัดเวทมนตร์ที่แข็งแกร่งที่สุดที่ร่ายได้ใส่คิงแกรม
“โซ่สายฟ้า!”
เหล่านักเรียนต่างปล่อยเวทย์ของตัวเองใส่คิงแกรม
[ได้แค่นี้เหรอ?]
“เอ๋?”
[ก็แค่จั๊กจี้นิดหน่อย คิดจะทำให้ร่างนี้บุบด้วยการโจมตีแบบนั้นรึไง?]
และคิงแกรมก็ประเมินความสามารถของพวกเขา
นี่คือการสอบ
แต่มาตรฐานของคิงแกรมนั้นสูงเกินไป
[อ่อนแอเกินไปแล้ว ให้ 10 คะแนนยังไม่ได้เลย]
[ไปให้พ้น เจ้าจอมเวทย์ 1 คะแนน ไม่สิ ให้ 1 คะแนนยังเป็นการดูถูก 1 คะแนนเลย ยอมแพ้เรื่องเวทมนตร์ไปดีกว่าไหม?]
เขาไม่สะทกสะท้านกับเวทมนตร์ทั่วไป
[ติดอยู่ในก้อนหินในโรงเรียนนี้มา 500 ปี คิดว่าจะจำนักเรียนทุกคนที่มาได้รึไง? แต่ข้าจำเจ้าได้แน่นอน เจ้ามันน่าประทับใจอยู่]
“จะ…จริงเหรอ?”
[ใช่ เจ้ามันขยะไร้ค่าที่สุดเลย]
แม้ว่าเวทมนตร์ของเขาจะค่อนข้างดี แต่ทุกอย่างที่ออกมาจากปากคิงแกรมนั้นก็มีแต่คำดูถูก
มันไม่ได้มีข้อผิดพลาดแม้แต่น้อย
แต่เป็นแค่มาตรฐานของคิงแกรมที่สูงเกินไป
500 ปี
ในเวลาอันยาวนานของประวัติศาสตร์ 500 ปีของโรงเรียน ว่ากันว่านักเรียนเกือบทุกคนในโรงเรียนนั้นเป็นเครื่องรองรับคำถากถางของคิงแกรม
เพราะจอมเวทย์ที่เลี่ยงคำดูถูกได้นั้นมีแค่หนึ่งในพัน
แต่ที่น่าสนุกก็คือ คนที่คิงแกรมยอมรับนั้นจะได้เป็นมหาจอมเววทย์ที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่นักเรียนทุกคนที่เข้าสอบนั้นจะกังวลและมีความหวัง
“ครั้งนี้คิงแกรมจะต้องยอมรับชั้นแน่!”
“ไปกันเลย!”
การได้ยินเพียแค่คำชมเล็กน้อยจากคิงแกรมก็หมายความว่าถูกลิขิตให้เป็นจอมเวทย์ที่เหนือกว่าที่ตัวเองคิดไว้แล้ว
ในตอนนี้ เจสันที่นั่งถัดจากผมและกำลังดูการสอบได้หันมาพูด
“รูน นี่เป็นการสอบครั้งแรกของนายใช่ไหม?”
“หา? ก็ใช่น่ะสิ”
“ไม่ต้องกังวลไปนะ แค่ใช้เวทย์ที่มั่นใจที่สุดออกไปก็พอ ฮู้ววว…ทำไมชั้นตัวสั่นขนาดนี้เนี่ย”
แม้ว่าเขาจะพูดแบบนั้น เจสันก็พยายามอย่างหนักเพื่อที่จะหยุดขาที่กำลังสั่น
ดูเหมือนว่านายจะกังวลยิ่งกว่าชั้นอีกนะ
“ไอ้โอเกอร์เวรนั่น มันขึ้นชื่อเรื่องขี้เหนียวคะแนน ไม่ต้องสนใจเรื่องคะแนนมากหรอก แค่ 20 คะแนนก็นับว่ายอดเยี่ยมแล้ว”
เจสันที่พูดว่า 20 คะแนนคือคะแนนที่ยอดเยี่ยม
[เวทมนตร์เจ้ามันช่างจืดชืดเสียนี่กระไร เอาไปผสมน้ำมาเรอะ?]
“หา? ว่าไงนะ? ผสมน้ำงั้นเหรอ? ไอ้เวรนี่! นี่มันมานา 100% เลยนะโว้ย! ไอ้บ้า!”
[เจ้าเอาไป 3 คะแนนก็พอ ออกไปให้พ้น]
“อ๊ากก!”
เขาได้ 3 คะแนน ส่วนเวทย์ของเขาก็ถูกเหยียดว่าผสมน้ำมา
“ไอ้โอเกอร์นั่นเป็นกระสอบทรายมาตลอดชีวิต เป็นใครกันถึงมาพูดแบบนี้กับเวทมนตร์ของชั้น!”
“นายเป็นคนที่บอกว่าเขาขี้เหนียวคะแนนเองนะ ไม่ต้องคิดมากซี่”
“ไอ้เวรนั่นบอกว่าเวทย์ชั้นมันผสม…! เฮ้ย! ไอ้โอเกอร์! ถ้าเวทมนตร์ผสมน้ำมันจะไม่ทำงานนะ!”
เจสันบ่นคิงแกรมต่อไป แต่เขาก็ถูกผู้ช่วยคุมการสอบให้หยุด
ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน นี่ก็คือระดับของเจสันในตอนนี้
3 คะแนน
นี่แสดงให้เห็นว่าความแม่นยำและความซื่อตรงของการประเมินจากคิงแกรมนั้นเป็นอย่างไร
นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมถึงมีแต่ผู้ช่วยคุมสอบที่ใช้งานคิงแกรม ส่วนอาจารย์ที่เหลือนั้นก็ไม่ต้องเข้ามายุ่งกับเรื่องเล็กน้อย
เขามีสติปัญญาที่จะมองทะลุผ่านพรสวรรค์ของจอมเวทย์ได้ดีกว่าใคร
คิงแกรมพูดด้วยเสียงดูถูกและบ่งบอกถึงความผิดหวังของเขา
[หึหึ พวกเจ้าไม่มีใครดีเลยซักคน โฟรเลียน อิกนิทที่จับข้ามาอยู่ที่นี่แข็งแกร่งอย่างมากแม้จะเป็นแค่มนุษย์ต้อยต่ำ พวกเจ้ามันก็แค่แมลงวันถ้าเทียบกับเจ้านั่น แค่นิ้วก้อยของข้าก็ฆ่าพวกเจ้าทุกคนได้แล้ว]
ไม่มีใครโต้แย้งคำพูดนี้
เพราะว่ามันคือความจริง
มาตรฐานของคิงแกรมนั้นคือมาตรฐานของจริงของจอมเวทย์
“อ๊า…ชั้นทำได้ไม่ดีอีกแล้วเหรอ?”
“คะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 10 คะแนนใช่ไหม?”
“ต่อให้เราตก เราก็ตกด้วยกัน…หรือแบบนี้มันดีกว่า?”
“คงแบบนั้นล่ะ ถ้าไม่มีใครที่เพิ่มค่าเฉลี่ยออกไปมาก ๆ เราจะไม่เป็นไร”
และคะแนนเฉลี่ยในตอนนี้คือ 9 คะแนนจาก 100 คะแนนเต็ม
นักเรียนแต่ละคนได้แต่ภาวนาว่าไม่ใช่แค่พวกเขา แต่ทุกคนจะต้องได้คะแนนแย่ด้วย
ความจริงอันโหดร้ายนี้ไม่ได้ต่างกันกับไมเคิล เกลฮิลนี่นับว่าเป็นนักเรียนที่เด่นที่สุดในชั้นปีที่กำลังจะจบการศึกษา
[จบแล้วใช่ไหม?]
แม้แต่ไมเคิลจะใช้เวทย์ประจำตัวที่แข็งแกร่งและผสานกับธาตุที่ตรงข้ามกันสองธาตุนั่นคือไฟกับน้ำให้เป็นหนึ่งเดียวอัดใส่คิงแกรม แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาก็คือความเย็นชาของโอเกอร์
[นี่น่ะหรือเกลฮิล…น่าผิดหวังจริง ๆ]
“ผะ…ผิดหวัง?”
[ข้าโดนเวทย์นับไม่ถ้วนจากตระกูลเกลฮิลมาแล้ว คิดถึงจอช เกลฮิลเลยนะ]
จอช เกลฮิล
หัวหน้าตระกูลเกลฮิลในตอนนี้ และเป็นสมาชิกหลักของหอคอยเวทมนตร์
ผู้เป็นพ่อของไมเคิล เกลฮิล
ทันทีที่ได้ยินชื่อพ่อ เขาก็ตบอกด้วยความภูมิใจ
“เอ๋ ก็จำได้ดีนี่ พ่อของชั้นคือเคาท์จอช เกลฮิล”
[เจ้าเป็นลูกจอช เกลฮิลรึ?]
“ใช่แล้ว! ชั้นเป็นลูกของจอช เกลฮิลผู้น่าภาคภูมิใจ! ลูกคนที่สาม ไมเคิล เกลฮิล…”
[น่าภูมิใจ? จอช เกลฮิลน่ะนะ? มันก็แค่เด็กที่ขอร้องข้าให้ได้คะแนนเยอะ ๆ]
“...ว่าไงนะ?”
[“คะแนนผมต่ำเกินไป” แง แง “แบบนี้ก็เป็นที่หนึ่งไม่ได้” แง แง “ผมต้องได้คะแนนดีเพื่อที่จะเป็นหัวหน้าตระกูล” แง แง ไอ้โง่เอ้ย]
เมื่อเจอเรื่องจริงที่คิงแกรมพูดออกมา ผู้คนก็กลั้นเสียงหัวเราะไว้ไม่อยู่ และความมั่นใจของไมเคิลเองก็แตกสลายเหมือนกับกระดาษ
นี่อาจจะเป็นความลับน่าตกใจของพ่อที่ไม่กล้าบอกใคร แม้ว่าจะตายไปแล้วก็คงไม่บอก
“นี่แก…แกโกหก…”
ไมเคิลพยายามปฏิเสธความจริง แต่ก็น่าเศร้าที่มันอาจจะเป็นเรื่องจริง
เพราะอาติแฟกต์นั้นไม่โกหก
[ไมเคิล เกลฮิล พรสวรรค์ของเจ้าไม่ได้ใกล้เคียงแม้แต่เจ้าโง่จอช เกลฮิลด้วยซ้ำ เจ้าได้ 27 คะแนน นี่ข้าเห็นแก่พ่อเจ้าเลยนะ]
27 คะแนน
แม้จะดูเหมือนไม่มีอะไร แต่มันก็ยังเป็นคะแนนสูงสุดอยู่ดี
แต่ไมเคิลไม่ได้ดีใจ
“มะ…ไม่! ไม่จริง! ทั้งหมดมันเรื่องโกหก! พ่อชั้นเป็นมหาจอมเวทย์ที่เก่งกว่าใคร!”
เขาตะโกนออกมาจากใจว่าเรื่องทั้งหมดมันโกหกและเดินออกมาจากสถานที่สอบด้วยหน้าแดงก่ำราวกับจะวิ่งหนีไป
อนิจจา ดูเหมือนว่าตระกูลจะเป็นจุดอ่อนของเขา
ส่วนผมเองนั้นก็หัวเราะโดยไม่สนใจอะไร
“ต่อไป! รูน อาเดล!”
ผู้คุมสอบเรียกผม
ในที่สุดก็ถึงเวลาของผมแล้ว
ผมสะบัดมือและพูดกับเจสัน
“เดี๋ยวชั้นกลับมา”