ตอนที่ 1 การเริ่มต้นใหม่
หมายเหตุจากผู้แต่ง: เรื่องราวจะเริ่มต้นในตอนที่ 1 อารัมภบทจะเป็นการแนะนำพระเอกและอธิบายความเป็นมาของเขาเท่านั้น ดังนั้นสามารถข้ามอารัมภบทไปได้เลยถ้าคุณไม่สนใจแต่ในฐานะผู้แต่งฉันขอแนะนำให้อ่าน
หมายเหตุจากผู้แปล: เนื่องจากพระเอกมาเกิดใหม่ในต่างโลกในขณะที่ยังมีความจำเดิม เขาจึงไม่สามารถเข้าใจภาษาของโลกนี้ ดังนั้นเครื่องหมาย * (ดอกจัน) จึงหมายถึงประโยคที่พระเอกฟังไม่รู้เรื่อง
*“เขายังมีชีวิตอยู่! ข้าทำมันได้! ข้าพึ่งจะช่วยชีวิตลูกชายของเจ้า”*
หลังจากหมอตำแยพูดอย่างยินดีทั้งห้องก็ระเบิดด้วยเสียงเชียร์และน้ำตาแห่งความสุข และผู้คนในห้องกอดกัน
ในขณะเดียวกันดีเร็กก็กำลังนอนปวกเปียกอยู่ในอ้อมแขนของหมอตำแย เขามองซ้ายมองขวาพยายามที่จะพิจารณาว่าสถานการณ์ปัจจุบันของเขาแย่แค่ไหน
‘เยี่ยม เยี่ยม เยี่ยม มาดูซิ้ตอนนี้เรามีอะไรบ้าง? ผู้หญิงที่นอนป่วยอยู่ตรงนั้นต้องเป็นแม่ของร่างนี้แน่นอน ดูเหมือนเธอควรจะไปอาบน้ำหน่อยนะ’ หลังคลอดผ้าปูที่นอนก็ถูกย้อมด้วยไปด้วยเลือด ปัสสาวะ และสิ่งสกปรก
‘คนที่ร้องไห้และดูป่าเถื่อนน่าจะเป็นพ่อ ฉันสงสัยว่าเขาร้องไห้เพราะฉันหรือเพียงเพราะเขากลัวที่จะสูญเสียภรรยาของเขา ฉันเดิมว่ามันต้องเป็นอันที่สอง และดูเหมือนว่าฉันจะมีพี่ นี่เป็นลางไม่ดีเลยแหะ’
ทันใดนั้นผู้หญิงอีกคนก็เข้ามาในห้องนอนเธอพาเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงเข้าห้องมา จากนั้นเด็กผู้หญิงก็วิ่งไปหาผู้หญิงที่นอนป่วยอยู่
‘ให้ตายเถอะ! นี่มันแย่ยิ่งกว่าที่ฉันคิดไว้ซะอีก จนถึงตอนนี้ฉันมีสองตัวเลือกที่เป็นไปได้ ตัวเลือกที่หนึ่งเติบโตในครอบครัวที่ใหญ่โตนี้ และต้องต่อสู้ในทุกวันเพื่ออาหาร การขาดสารอาหารเป็นสิ่งที่กำหนดไว้แล้วอย่างแน่นอน’
‘จากนั้นเมื่อฉันโตพอฉันก็จะถูกบังคับให้ทำงานกับญาติจากนั้นก็แต่งงานและมีลูก ตัวเลือกที่สองคือรอจนกว่าฉันจะโตพอที่จะใช้วัตถุมีคมได้ แล้วจบความทุกข์ยากของชีวิตนี้แล้วฉันก็จะไปเกิดใหม่อีกครั้งโดยหวังว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า ฉันคิดว่าฉันควรเลือกหมายเลขสอง’
ในขณะที่ดีเร็กกำลังคิดอยู่ในห้องก็เงียบลง หมอตำแยทำความสะอาดทารกแรกเกิดเสร็จแล้วและห่อเขาไว้ในผ้าสะอาด ตลอดเวลานั้นดีเร็กไม่ได้เคลื่อนไหวหรือร้องไห้เลย
*“นานะลูกของข้ามีอะไรผิดปกติรึเปล่า? ทำไมเขาถึงไม่ร้องเลยล่ะ?!”* แม่กังวลมากจนไม่สนใจความเจ็บปวดและพยายามที่จะลุกขึ้น
*“จุ๊ ๆ เจ้านี่นะ! อย่าขยับเชียวล่ะ ข้ายังต้องรักษาเจ้าอีก”* น้ำเสียงของหมอตำแยไม่ที่ว่างให้ปฏิเสธ *“ข้าทำคลอดเด็กมาหลายสิบคนแล้ว เด็กที่เงียบ ๆ แบบนี้อาจจะหายากแต่ก็ไม่ได้เป็นอะไร เจ้าอยากจะเห็นไหมว่าเขาแข็งแรงแค่ไหน?”*
เธอคลายเขาออกจากผ้าและในขณะที่อุ้มเขาไว้อย่างเบา ๆ เธอก็ตีดีเร็กเล็กน้อยเพื่อทำให้เขาร้อง
ดีเร็กทำเสียงฮึดฮัดเล็กน้อยในขณะที่จ้องมองเธอด้วยความตกใจ
‘เธอจะเอาแบบนี้ใช่ไหม ยัยแม่มดแก่?’ เขาคิด ‘หึ! เธอเพิ่งจะไปโดนการ์ดกับดักของฉัน! สายน้ำคู่เปิดใช้งาน!’ ดีเร็กปลดปล่อยทั้งลำไส้และกระเพาะปัสสาวะของเขาไปที่หมอตำแย
การโจมตีจากประตูหลังกระเซ็นไปทั่วเท้าของเธอ ในขณะที่สายน้ำจากประตูหน้าน้ำรดลงบนใบหน้าและหน้าอกของเธอ
ดีเร็กเริ่มหัวเราะคิกคักเสียงดัง
*“เยี่ยม แม้ว่านี่จะไม่ใช่สิ่งที่ข้าคาดเอาไว้ แต่ก็อย่างที่เจ้าได้ยินเจ้าวายร้ายตัวน้อยนี้แข็งแรงดี”* หมอตำแยมอบทารกให้กับผู้หญิงอีกคนมาทำความสะอาดเขา
ดีเร็กหัวเราะคิกคักภูมิใจในผลงานของเขา หลังจากที่ล้างหน้าและเสื้อผ้าของเธอด้วยน้ำอุ่นแม่มดชราก็ขยับนิ้วชี้ข้างซ้ายของเธอวาดวงกลมในอากาศ ลากจากขวาไปซ้าย จากนั้นเธอก็ออกเสียงมาหนึ่งคำ
Ekidu!
พลังงานสีดำปรากฏบนขึ้นที่ปลายนิ้วของเธอ เธอชี้ไปที่ชุดเปียกของเธอแล้วก็ชี้ไปยังรองเท้าของเธอ จากนั้นกลิ่นของอุจจาระและปัสสาวะก็หายไป
เขาอ้าปากค้างด้วยความตกใจ ดีเร็กเห็นว่าอึของเขาค่อย ๆ แห้งลงแล้วสลายกลายเป็นฝุ่น มันคล้ายกับการดูวิดีโอไทม์แลปส์ที่คุณจะสามารถเห็นเมล็ดกลายเป็นดอกไม้ได้ในหนึ่งนาที
‘เธอไม่ใช่แค่หมอตำแยแก่ ๆ! แต่เธอเป็นผู้ใช้เวทมนตร์จริง ๆ! ฉันไม่เคยมีความสุขเท่านี้มาก่อนเลยในทั้งสามชีวิตที่ผ่านมาของฉัน’
ดีเร็กมีความสุขไม่ใช่เพียงเพราะว่าโลกนี้มีเวทมนตร์ แต่ยังเป็นเพราะว่าทันทีที่เขาได้ยินคำว่า Ekidu เขาก็รู้สึกถึงบางสิ่งที่ถูกกระตุ้นภายในตัวของเขา
ราวกับว่ามีบางสิ่งที่อยู่ลึกเข้าไปในตัวของเขามันได้หยั่งรากและมันก็ฝังแน่นอยู่ในร่างใหม่ของเขา
เขาเริ่มคิดถึงคำร่ายเวทมนตร์ในใจของเขาอีกครั้ง พยายามที่จะจดจำทุกรายละเอียดของการเคลื่อนไหวนิ้วในใจของเขา
*“ข้าทำความสะอาดตัวเองเสร็จแล้ว มาให้ข้าหยุดเลือดเจ้าเถอะ”* หมอตำแยเดินเข้าไปหาแม่และวางมือของเธอไว้เหนือร่างกายส่วนล่างของเธอ
‘จะมีเวทมนตร์อย่างอื่นอีกหรอ? ให้ฉันได้ดูด้วย ขอร้องล่ะ!’ ดีเร็กขอร้องในใจของเขา
นานะกางนิ้วของเธอจากนั้นก็เริ่มขยับแขนทั้งสองข้างเป็นวงกลมก่อนที่จะยกขึ้นไปบนหัวของเธอ จากนั้นเธอก็อ้าแขนให้กว้างมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนที่จะผสานมือของเธอที่ระดับความสูงของสะดือ
Vinire Lakhat!
แม้เขาจะถูกห่อด้วยผ้าอยู่แต่เขาก็พยายามที่จะเลียนแบบการเคลื่อนไหวทั้งหมดของเธอทีละขั้นตอน โดยเขาพยายามจดจำทุกรายละเอียดที่เขาสามารถเข้าใจได้
แสงทรงกลมของห่อหุ้มร่างกายท่อนล่างแม่ของดีเร็กเอาไว้แล้วเธอก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ผิวสีซีดของเธอกลายเป็นสีชมพูที่ดูแข็งแรง ในขณะที่ร่องรอยของความเจ็บปวดและความเหนื่อยล้าก็หายไปจากใบหน้าของเธอ
เป็นอีกครั้งที่มีบางอย่างกระตุ้นเขาจากข้างในหลังจากเวทมนตร์แห่งความมืดครั้งก่อน ในตอนที่เขาได้ยินคำพูดเหล่านั้นเขาก็สามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามีการเชื่อมต่อระหว่างเขากับเวทมนตร์แห่งแสงขึ้นมา ดีเร็กจึงไม่สามารถหยุดยิ้มได้เลย
‘ถ้าฉันมีพรสวรรค์ด้านเวทมนตร์มากพอมันก็จะหมายความว่ามีตัวเลือกสามซ่อนอยู่’ เขาคิด ‘ฉันสามารถเป็นจอมเวทย์และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระเป็นครั้งแรกในชีวิต! ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล และไม่มีข้อผูกมัดใด ๆ! แต่มันจะดีกว่าถ้าฉันไม่รีบดีใจมากเกินไป ด้วยโชคของฉันฉันอาจมีพรสวรรค์ที่ไม่ดีหรือ…’
ความคิดของเขาถูกขัดจังหวะทันทีที่ผู้หญิงคนที่อุ้มเขาเอาไว้จนถึงเมื่อกี้นี้ได้ส่งเขาให้แม่ของเขา
*“นานะท่านแน่ใจนะว่าเขาไม่เป็นไร? ข้ายังไม่เคยเห็นเขาร้องไห้หรือหัวเราะเลย เขาเงียบมาก ข้ากลัวจริง ๆ ว่าจะมีอะไรบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับเขา”*
หลังจากคำพูดเหล่านั้นจบลงบรรยากาศในห้องก็ดูมืดมน และดีเร็กก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป แต่เขายังตื่นเต้นเกี่ยวกับทางเลือกที่สามของเขาอยู่เขาจึงทำอะไรที่เด็กทารกทั่ว ๆ ไปควรทำด้วยการหัวเราะ ยิ้มและปล่อยเสียงเล่นน้ำลายของทารก
ข้อกล่าวหาดังกล่าวส่งผลกระทบต่อความภาคภูมิใจในฐานะมืออาชีพของนานะ แต่มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอต้องเจอกับแม่ที่เป็นคนคิดมาก
เธอรู้จักเอลิน่าตั้งแต่เธอยังเป็นเด็กและทำคลอดลูกของเธอทุกคน นานะไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าการทำคลอดครั้งนี้เป็นหนึ่งในครั้งที่ยากที่สุดเท่าที่เธอเคยทำอาชีพนี้มาเลย
หลังจากใช้แรงไปหลายชั่วโมง เธอก็ถูกบังคับให้ต้องใช้คาถารักษาอีกหลายครั้งเพื่อหยุดเลือด ในที่สุดเมื่อเธอเห็นหัวของทารก เธอรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เอลิน่าสู้สุดแรงเท่าที่เธอจะทำได้แต่ทารกก็ยังแน่นิ่งไม่ขยับตัว ดังนั้นนานะจึงรีบและใช้มือของเธอดึงทารกออกมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และเธอก็พบว่าเด็กทารกถูกรัดคอด้วยสายสะดือของเขาเอง
หลังจากตัดและนำมันออกไป นานะก็ได้ใช้คาถาที่ดีที่สุดทุกคาถาที่เธอสามารถใช้ได้แต่มันก็ไม่มีประโยชน์ หลังจากผ่านไปหลายนาทีนานะก็เชื่อว่าเด็กได้ตายไปแล้ว
แต่หลังจากที่เวทมนตร์แห่งการรักษาธาตุแสงถูกเปิดใช้งานมันได้บังคับให้เด็กทารกอ้วกออกมาทำให้ช่องทางหายใจของเขาไม่มีอะไรไปขัดขวางอีก ดังนั้นนานะจึงสามารถผ่อนคลายได้ในที่สุด
เวทมนตร์รักษาไม่ใช่ปาฏิหาริย์ มันสามารถเพิ่มพลังชีวิตของผู้ป่วยและทำให้พวกเขาฟื้นตัวจากความเจ็บป่วยหรือรักษาจากการบาดเจ็บได้ง่ายขึ้น แต่ไม่สามารถสร้างชีวิตขึ้นมาใหม่ได้
นานะเป็นคนอ่อนไหว ดังนั้นเธอจึงรู้ว่าเอลิน่าไม่อยากรู้เกี่ยวกับเวทมนตร์ เธอก็แค่อยากจะมั่นใจว่าสุขภาพลูกของเธอแข็งแรงดี
*“ไม่ต้องกังวลยัยหนู ข้าจะพิสูจน์ให้เจ้าเห็นเองว่าทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี”*
นานะลูบแก้มของเอลิน่าแล้วยิ้มอย่างอบอุ่น จากนั้นเธอก็เอาดีเร็กมาอุ้มเองและแกะผ้าที่ห่อเขาออกราวกับว่าเธอกำลังแกะห่อสมบัติ
นานะอุ้มดีเร็กอย่างระมัดระวังแล้วอุ้มเขาไว้ด้วยแขนซ้าย จากนั้นเธอก็หมุนมือขวาของเธอรอบตัวเขาแล้วพูดว่า
Vinire Rad Tu!
แสงสีขาวเล็ก ๆ ก่อตัวขึ้นบนฝ่ามือของเธอ มันลอยไปล้อมรอบเด็กทารกและทะลุผ่านร่างกายของเขาไป
แสงแพร่กระจายไปทั่วตั้งแต่หัวจรดเท้า ทำให้ร่างกายของดีเร็กเปล่งแสงสลัว ๆ
*"เห็นมั้ย? ถ้ามีรอยขีดข่วนแม้แต่นิดเดียวบนร่างกายของเขาคาถาก็ตรวจเจออาการบาดเจ็บของเขาแล้วแสงบริเวณนั้นก็จะมืดลง เพราะฉะนั้นเจ้าหนูนี่่สบายดีแน่นอน"*
พลังงานที่ไหลผ่านร่างกายของเขาทำให้เขารู้สึกเปี่ยมไปด้วยพลัง ในช่วงชีวิตเก่าของเขาเขาเคยรู้สึกเช่นนี้เพียงไม่กี่ครั้ง
นั่นก็คือตอนที่เขาได้รับปริญญา ตอนที่ออกจากบ้านพ่อแม่ และก็ตอนที่เขาเอาชนะพวกอันธพาล แต่ทุกครั้งที่มันเป็นอารมณ์ที่หายวับไปไม่กี่วินาที
แต่ตอนนี้มันต่างออกไป มันไม่ใช่แค่อะดรีนาลีนแต่มันคือเวทมนตร์ พลังบางอย่างกำลังไหลผ่านเส้นใยกล้ามเนื้อทุกเส้นบนร่างกายของเขาทำให้เขารู้สึกราวกับอยู่ยงคงกระพัน
เมื่อผลของคาถาเริ่มจางหายไปเขาจึงรู้สึกไม่ค่อยเต็มใจนัก
‘ไม่! กลับมาหาฉัน! เอาพลังของฉันคืนมา!’ ดีเร็กคิด
เขาโฟกัสไปที่พลังงานก้อนสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ในตัวเขาและคาดหวังให้มันไม่หายไป แม้ในตอนนี้เขาจะยังไม่สามารถร่ายคาถาได้ แต่เขาก็สามารถรู้สึกถึงพลังที่ยังคงอยู่ในร่างของเขาได้จากนั้นเขาก็เริ่มให้พลังมันด้วยตัวเขาเอง
แสงบนร่างของดีเร็กหยุดการหรี่แสงลง แต่มันกลับสว่างขึ้นและสว่างขึ้นแทน
นานะตกตะลึง เธอไม่เคยเห็นอะไรแบบนั้นมาก่อน นั่นไม่ใช่วิธีการคาถาที่ควรจะทำงาน
ดีเร็กต้องการให้มันคงอยู่ตลอดไปแต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ผล็อยหลับไปเนื่องจากภาวะมานาอ่อนล้าและแสงก็หายไปอย่างรวดเร็ว
นานะนำผ้ามาห่อทารกอีกครั้งและส่งเขากลับไปที่อ้อมกอดของแม่
*“นานะ เมื่อกี้นี้มันคืออะไร”* เอลิน่าถามด้วยความประหลาดใจ
หมอตำแยแก่ไม่รู้ว่าจะตอบว่าอย่างไร มีความเป็นไปได้มากมายที่โผล่ขึ้นมาในหัวของเธอและพวกเขาทั้งหมดจะต้องอธิบายนาน ซึ่งจะทำให้เอลิน่ากังวลโดยไม่จำเป็นและนั่นอาจต้องให้นานะใช้คาถาซ้ำอีกรอบ
มันเป็นวันที่ยาวนานและเธอก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะยืดเวลามันไปอีกแม้แต่วินาทีเดียว ดังนั้นเธอจึงยืมประโยคจากเทพนิยายที่เธอชื่นชอบในวัยเด็กของเธอมา
*“ข้าคิดว่าทารกที่เกิดมาอาจได้รับพรจากแสงสว่าง ไม่จำเป็นต้องกังวลไปเพียงแค่ยินดีไปกับมัน”*
---
nana นานะ ใช้เรียกยายแบบสนิท ๆ อะไรทำนองนี้ เหมือนเรียกพ่อว่า ปะป๊า