ตอนที่ 8
โรงเรียนเวทมนตร์อิกนิท
โรงเรียนชื่อดังของฟรอเลียน อิกนิท อัครจอมเวทย์ชั้น 8 ผู้ก่อตั้งโรงเรียนมาเมื่อสร้างคนรุ่นหลังที่จะเป็นผู้สืบทอดจอมเวทย์
แม้ว่าจะเป็นโรงเรียนชื่อดังที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานในทวีปมากว่า 500 ปี แต่ถ้าเทียบกับประวัติศาสตร์โบราณแล้ว มันยังขาดอะไรบางอย่างอยู่
เหตุผลนั้นก็ไม่ยาก
.
.
.
แม้ว่าอาณาจักรเรเดียนจะเป็นชาติเล็ก ๆ แต่มันก็ไม่ได้มั่นคงจากภายใน กลุ่มราชวงศ์ที่นำโดยเจ้าชายพระองค์แรกและกลุ่มใหม่ที่นำโดยเจ้าชายพระองค์ที่สองก็เกิดความขัดแย้งกัน
จอมเวทย์ส่วนมากในอาณาจักรจึงถูกนำตัวไปโดยคนเหล่านี้เพื่อต่อสู้ชิงอำนาจ
สถานการณ์นั้นเลวร้ายในหลายด้าน
แม้กระนั้น เหตุผลที่โรงเรียนอิกนิทยังคงอยู่ได้ก็เพราะคนคนเดียว
นั่นคือทายาทโดยตรงของอัครจอมเวทย์ชั้น 8 โฟรเลียนและเป็นผู้อำนวยการคนปัจจุบันของโรงเรียน
‘ไทเรียน อิกนิท’
อัครจอมเวทย์ชั้น 7 สิ่งที่หาได้ยากในทวีป และเป็นความภูมิใจสุดท้ายของอาณาจักรเรเดียน
เป็นเพราะเรื่องนี้ เขาจึงได้ข้อเสนอจำนวนมากจากทั้งสองฝ่ายที่มีความขัดแย้งกัน
ไทเรียนนั้นมีพลังมากพอที่จะเลือกข้าง และถ้าเขาเลือกข้างใดแล้ว ข้างนั้นก็จะกลายเป็นราชาคนถัดไปอย่างแน่นอน
เขาเป็นจอมเวทย์ที่แข็งแกร่ง
แต่ถึงอย่างนั้นไทเรียนก็ปฏิเสธทุกข้อเสนอ
ไม่สิ
เขาทำถึงขั้นตำหนิเจ้าชายทั้งสองคน
“ฝ่าบาท ถ้าจะก่อเรื่องก็ไปหาเรื่องกันเองเถอะ”
“ทะ…ไทเรียน…”
“จอมเวทย์ไม่ใช่สุนัขรับใช้อำนาจ เข้าใจไหม?”
“กล้าดียังไงถึงพูดแบบนั้น…”
เขานั้นมีคุณธรรม
มากพอที่จะถูกเรียกว่าความภูมิใจสุดท้ายของอาณาจักร
เขาค้นคว้าและเรียนรู้เรื่องมานามากกว่าใคร
เขาโศกเศร้ากับสถานะปัจจุบันของเหล่าจอมเวทย์ที่ควรจะค้นคว้าเพื่อการเติบโตและความรุ่งเรื่องของเวทมนตร์แต่กลับตามืดบอดเพราะรสชาติของความมั่งคั่งและอำนาจ
“ไม่มีคนดี ๆ เหลืออยู่เลยรึ”
เช่นเดียวกับกรณีของโรงเรียน
บางทีอาจเป็นเพราะนักเรียนทุกคนก็ล้วนเป็นลูกหลานของขุนนางสกปรก มันจึงไม่มีแบบอย่าง ‘ที่ดี’ ในระหว่างนักเรียนด้วยกันเลย
จากมุมมองของเขา เด็กทุกคนจะกลายเป็นขยะที่จะกลายเป็นทาสของผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า
‘ถ้าหากเด็กคนนั้นไม่ต้องสาปล่ะก็…’
คนที่ไทเรียนกำลังคิดถึง นั่นคือรูน
รูน อาเดล
ผู้ที่เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ที่มากกว่าตัวเขาที่มีสายเลือดอัครจอมเวทย์
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ต้องสาปที่อันตรายพอ ๆ กับพรสวรรค์ของเขา
‘พระเจ้าช่างไร้ปรานี…’
เขาหยุดครุ่นคิดและส่ายหน้า
แม้ว่าเขาจะมีนิสัยดีและพยายามมากกว่าใครอื่น ชีวิตของรูนในฐานะของจอมเวทย์ก็จบลงแล้ว
สำหรับไทเรียน อนาคตของโรงเรียนนั้นสำคัญยิ่งกว่าลูกศิษย์คนเดียวที่มีเรื่องน่าเศร้า
‘ต้องหานักเรียนที่ดีให้เจอให้ได้’
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ต้องทำการ ‘สอบ’ เพื่อที่จะแบ่งแยกนักเรียนออกจากกัน
การ ‘สอบ’ นั้นจะเป็นการค้นหาจอมเวทย์ที่มีคุณสมบัติพอที่จะดูแลให้กลายเป็นจอมเวทย์ที่ยอดเยี่ยมได้
การทดสอบ
เครื่องมือพิเศษที่นักเรียนแต่ละคนจะได้ใช้เพื่อวัดคุณค่าของตัวเอง
ดังนั้นผลของการสอบจึงเปลี่ยนแปลงได้หลายอย่าง
บางคนก็ยิ้มได้อย่างสดใสและฝันถึงอนาคตที่ดีกว่าเดิมได้
บางคนก็จะได้ลิ้มรสของความพ่ายแพ้และจินตนาการถึงโลกที่สิ้นหวัง
ผมคือคนที่มักจะได้เห็นทั้งสวรรค์และนรกตลอดมา
ทุกการสอบข้อเขียนที่ผมสอบ ผมจะได้คะแนนเต็มทุกครั้ง
แต่ทุกการสอบภาคปฏิบัติ ผมได้คะแนนมากพอที่จะไม่สอบตกออกจากโรงเรียนเท่านั้น
เช่นเดียวกับการสอบครั้งนี้
ผมได้คะแนนเต็มในการสอบข้อเขียนสำหรับวันแรก
“รูน นายทำข้อเขียนพังยับเยินอีกแล้วนะ”
เจสันเพื่อนร่วมหอพักของผมบ่นพึมพำด้วยเสียงเบื่อหน่าย
เป็นน้ำเสียงที่บอกว่า ‘นายได้เต็มอย่างที่คิดเลย’
สำหรับพวกเขา การที่ผมสอบข้อเขียนได้เต็มนั้นถือเป็นเรื่องปกติ
“6 ปีสำหรับคะแนนเต็มข้อเขียนทุกครั้ง ครั้งนี้ก็ยังไม่เปลี่ยน…”
ใช่แล้ว
ไม่มีอะไรเปลี่ยน
ตัวผมเองก็ไม่แปลกใจอีกแล้วเพราะผมก็รักษาคะแนนข้อเขียนเต็มมาได้ตลอด 6 ปี
มันเป็นเช่นนั้นเอง
“อืม ผลสอบภาคปฏิบัติก็คงจะไม่เปลี่ยนเหมือนกันนะ”
ตลอด 6 ปีที่ผ่านมา ผมนั้นจะสอบภาคปฏิบัติตกเสมอ
“โทษทีนะ ล้อเล่นน่ะ”
เจสัน ไอ้เวรเอ้ย
ผมหัวเราะเมื่อถูกมีดเสียบมาที่หัวใจ
แต่เขาก็ไม่ได้พูดผิดล่ะนะ
ชื่อของผมนั้นมีชื่อเสียงโด่งดังที่แม้กระทั่งนักเรียนใหม่ที่เพิ่งเข้าโรงเรียนก็รู้จัก
ไม่ใช่ในฐานะจอมเวทย์อัจฉริยะที่เป็นที่หวั่นเกรง แต่เป็นฐานะไอ้งั่งที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์
ผมยิ้มให้เจสัน
“ใครจะไปรู้ บางนี้ครั้งนี้ชั้นอาจจะได้คะแนนไม่เหมือนเดิมก็ได้”
“หืม? นายหมายความว่าไงน่ะ?”
ตอนที่เจสันถาม ผมมองผ่านวิชาการสอบภาคปฏิบัติเงียบ ๆ
ใช่แล้ว
ครั้งนี้มันจะต้องไม่เหมือนเดิม
หลังจากที่จบช่วงการสอบข้อเขียน พวกเราก็เร่าร้อนในการเตรียมตัวสอบภาคปฏิบัติ
การสอบภาคปฏิบัตินั้นจะเกิดขึ้นเป็นเวลาสองสัปดาห์ จากรายการสอบแล้ว มีการสอบที่ค่อนข้างอันตรายอยู่ด้วย
ถ้าไม่นับการสอบที่วัดเกรดเป็นส่วนน้อย การสอบหลักนั้นจะมี 4 ครั้ง…
อย่างแรกก็คือ
ดิน น้ำ ลม ไฟ
ใช้เวทย์ที่มั่นใจที่สุดในระหว่าง 4 ธาตุหลัก จะต้องร่ายเวทย์ประเภททรงกลม 10 ครั้งพร้อมกันและโจมตีเป้าหมายที่ต่างกันพร้อมกัน
มันคือการทดสอบที่ต้องใช้สมาธิสูงมากและต้องมีความสามารถในการปลุกมานาที่สมบูรณ์แบบ
แน่นอนว่าในกรณีของผม ผมจะตกตั้งแต่ที่ยังไม่ได้ลองสอบ
ส่วนการสอบที่สองก็คือ
ใช้อาติแฟกต์ที่ชื่อว่า ‘โอเกอร์บรรพกาลคิงแกรม’ นักเรียนจะต้องร่ายเวทย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเองใส่มัน
มันจะวัดระดับมานาที่ปล่อยออกไป ดังนั้นจึงเป็นการสอบวัดระดับพลังทำลาย
ความยากและคะแนนเต็มของการสอบครั้งถัดไปจะถูกกำหนดไว้ตามผลของการสอบครั้งนี้ ดังนั้นนี่จึงเป็นการสอบที่สำคัญมาก
แน่นอนว่าผมสอบตกอยู่เสมอ
การสอบที่สาม
นักเรียนจะต้องไปที่ดินแดนยินเจนภายใต้การดูแลของคณะอาจารย์และอัศวินที่คอยสนับสนุนเพื่อต่อสู้กับวิญญาณร้ายและสัตว์ประหลาด
ระดับของสัตว์ประหลาดจะขึ้นอยู่กับปีและระดับของนักเรียน คะแนนจะขึ้นอยู่กับสิ่งที่นักเรียนทำได้
แน่นอนว่าผมไม่เคยแม้แต่ย่างเท้าเข้าไปในพื้นที่สอบ
และสุดท้าย
มันจะเกิดขึ้นในม่านมานาพิเศษที่จะลดพลังทำลายของเวทมนตร์จากจอมเวทย์ไป 99%
จะเป็นการประลองระหว่างนักเรียนและคะแนนจะขึ้นอยู่กับผลที่ทำได้
แน่นอนว่าคะแนนของผม…คือคะแนนบ๊วยสุด
นี่คือการสอบ 4 วิชาหลัก
ถ้าไม่นับนักเรียนส่วนน้อยที่อยากจะเป็นฮีลเลอร์ จอมเวทย์ส่วนมากนั้นมักจะต้องการคะแนนที่ยอดเยี่ยมในการสอบเหล่านี้
แน่นอนว่ามันเป็นแบบนี้ทุกปี แต่ปีนี้คือปีที่สำคัญที่สุด
ถ้าไม่นับการสอบจบการศึกษา นี่คือการสอบครั้งสุดท้ายของพวกเราในโรงเรียน
บางทีอาจจะเพราะเหตุผลนี้ มันจึงมีบรรยากาศที่ตื่นเต้นในบรรดาเหล่านักเรียนปี 6
“คิดว่าใครจะได้ที่ 1 รอบนี้เหรอ?”
“นี่เป็นการสอบครั้งสุดท้ายของโรงเรียน มันสำคัญมาก! การสอบนี้จะตัดสินว่าชั้นจะถูกเชิญไปที่หอคอยเวทมนตร์ไหม…”
“ไม่มีทางที่นายจะได้ไปอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วงหรอกน่า”
“หุบปาก! แกก็เหมือนชั้นนั่นแหละ!”
แม้แต่ในภาวะที่น่าตื่นเต้นแบบนี้ ที่มุมหนึ่งของหัวใจทุกคน พวกเขาก็ปรารถนาที่จะได้เป็นตัวละครหลักของการสอบเหล่านี้
ทุกคนเป็นแบบนั้น
รวมถึงตัวผมด้วย
เพราะผมเองนั้นสอบตกภาคปฏิบัติมาตลอด 6 ปี ดังนั้นครั้งนี้มันต้องต่างออกไป
ไม่มีใครที่ต้องการคะแนนสอบครั้งนี้มากไปกว่าผมอีกแล้ว
แต่ผมก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการคาดเดาว่าจะได้เป็นที่ 1
ชื่อของผมไม่ได้อยู่ในสมองของใครเลยด้วยซ้ำ
“รอบนี้ใครจะได้ที่ 1 กันนะ?”
“อาจจะเป็นไมเคิลก็ได้”
“ก็จริง ผลสอบภาคปฏิบัติของไมเคิลมันบ้าไปแล้ว”
“เขาอาจจะเก่งที่สุดในรุ่นเราก็ได้”
ไมเคิล เกลฮิล
บุตรชายคนที่สามของตระกูลเกลฮิล ตระกูลจอมเวทย์ที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนานในอาณาจักร และนับว่าเป็นตระกูลจอมเวทย์ตระกูลหลักด้วย
จอมเวทย์ในสภาส่วนใหญ่นั้นไม่มาจากตระกูลเกลฮิลก็จะมาจากตระกูลที่เกี่ยวข้องกับพวกเขา
ด้วยตัวเขาเป็นลูกจากตระกูลที่มีเกียรติยศ ดังนั้นความอวดดีหัวรั้นของเขาจึงเป็นที่แน่นอน
“ใครมันพูดถึงชั้นกัน?”
“อ๊ะ…ไมเคิล…”
“แกพูดชื่อชั้นเรอะ? ทำไมต้องให้ชั้นมาใช้เวลากับ ‘เพื่อน’ ที่ชั้นจะไม่ได้เจออีกหลังจากเรียนจบกัน โรงเรียนต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างแล้ว”
“ขะ…ขอโทษนะ…”
“ชั้นอดทนได้ดีมาตั้ง 6 ปีใช่ไหม?”
ความอวดดีของเขาได้ทำลายความคิดของทุกคนที่เป็นนักเรียน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอำนาจตระกูลหรือการเป็นรุ่นเดียวกับเขา
แต่ก็โชคร้ายสำหรับเรา เพราะเขามีพรสวรรค์ที่จะมารับรองความอวดดีในตัวด้วย
คงไม่พูดเกินไปหากจะบอกว่าเขาเป็นตัวแทนของโรงเรียนเรา
“เฮ่อ…การสอบมันน่าเบื่อชะมัด ให้ชั้นเรียนจบ ๆ ไปได้แล้ว”
บุตรชายคนที่สามแห่งตระกูลเคาท์ที่ทรงอำนาจ
คะแนนอันโดดเด่น
พรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม
แค่ปราดตามองก็ดูเหมือนเขาจะมีทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เขาก็มีจุดอ่อนอยู่ด้วย
จุดอ่อนนั้นก็คือ…
“...รูน?”
ผม
“โย่ มาทำอะไรตรงนี้น่ะ?”
เพราะผมรักษาตำแหน่งผู้ที่สอบข้อเขียนอันดับหนึ่งได้อย่างเหนียวแน่น ไมเคิลจึงถูกผลักลงไปเป็นที่สองอยู่เสมอ
เขาจึงอาฆาตกับผมมาโดยตลอด
ตั้งแต่เข้าเรียนมาจนถึงตอนนี้
ไมเคิลหรี่ตาที่เหมือนกับงูและถามผม
“นี่นาย…ไม่มีทาง! คิดจะสอบปฏิบัติงั้นเหรอ?”
เขายั่วผมขณะที่สะบัดผมบลอนด์สว่างของเขาด้วยน้ำเสียงกวนบาทา
“ด้วยร่างกายกับภาวะแบบนั้นน่ะนะ?”
เจ้าสมุนใกล้ ๆ เริ่มหัวเราะเสียงดัง
“มีคนพิการคิดจะเข้าสอบด้วยว่ะ”
“ชั้นรู้นะ เจ้านั่นอาจจะอยากทำตัวเองขายหน้าก็ได้ ฮ่าฮ่า!”
พวกลูกสมุนของเขาสานต่อทุกสิ่งที่ไมเคิลทำ
มันอาจจะเป็นหน้าที่ของไอ้พวกนั้นก็ได้
หน้าที่ที่ต้องหัวเราะกับการเล่นตลกของไมเคิลน่ะ
เพื่อที่พวกมันจะได้รับความช่วยเหลือจากตระกูลเกลฮิลหลังเรียนจบและเพิ่มสายสัมพันธ์ให้ดีขึ้น
เบน พอลท์ที่ทำร้ายผมก็เป็นคนที่คล้ายกับลูกสมุนของไมเคิล
ผมชินแล้ว
พอผมคุ้นเคยกับรูปแบบที่ต้องเจอ ผมก็แค่ยักไหล่แบบไม่สนใจอะไร
“ชั้นมาสอบน่ะ”
พอพูดจบ ไมเคิลก็ตากระตุกทันที
“ว่าไงนะ?”
“ชั้นมาสอบน่ะ”
“แกจะสอบเรอะ?”
เรื่องที่ผมมาที่นี่เพื่อสอบคงทำให้พวกเขาตกใจสักหน่อย
ไมเคิลเองก็ดูตกใจเล็ก ๆ แต่ก็คืนสีหน้าตามปกติมาได้
“อ๊ะ เพราะเป็นครั้งสุดท้ายที่แกจะได้ดิ้นรนซักหน่อย…อะไรแบบนั้นสินะ?”
“จะว่างั้นก็ได้”
“อืม ก็คงเป็นแบบนั้นล่ะนะ ไม่มีกฎห้ามคนพิการสอบอยู่แล้ว จะทำอะไรก็ทำเไปเถอะ อย่างแกน่ะทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว”
หลังจากหัวเราะเยาะแล้วเขาก็แตะไหล่ผม
“แต่ว่านะรูน ชั้นจะแนะนำอะไรให้”
“คงแย่แน่ถ้าจะเห็นแกได้ดิ้นรนขนาดนั้นเพื่อล้มลงในตอนสุดท้ายน่ะ ถ้าไม่อยากขายหน้าก็เลิ…”
“ชั้นไม่ต้องการ”
“...อะไรนะ?”
“ชั้นไม่อยากได้คะแนะนำของนาย”
เมื่อเห็นผมยิ้ม สีหน้าไมเคิลก็เยือกเย็นขึ้น
เช่นเดียวกับผู้ติดตามของเขา ทั้งห้องเริ่มเย็นยะเยือก
กลับกัน หัวใจของผมกลับร้อนขึ้นมาเล็กน้อย
“โห…”
ไมเคิลหมุนคอทำเสียงกร๊อบแกร๊บก่อนจะมองด้วยหน้าที่คุกคามที่สุดที่เขาจะทำได้
และพูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่ให้ความประทับใจว่าเขาค่อนข้างอดทน
“รูน ชั้นจะเตือนแกนะ อย่าพูดขัดตอนที่ชั้นกำลังพูดอยู่ แค่หุบปากแล้วฟังให้จบ เข้าใจไหม?”
อ๊ะ ไม่อยากจะรั้งมือเลยนะ
ทำไมผมถึงเป็นแบบนี้?
บางทีนี่อาจจะเป็นภาวะผิดปกติเหมือนกัน
“ไมเคิล”
“อะไร?”
ยังไงผมก็ต้องพูดอะไรออกมาอยู่แล้ว
“ห่วงตัวเองเถอะ”
ไมเคิลหน้าแดงด้วยความโกรธ