ตอนที่แล้วตอนที่ 6
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 8

ตอนที่ 7


“รุยน่าเป็นยังไงบ้างพ่อ?”

“ตอนนี้รุยน่าโตแล้วน่ะ ช่วงนี้กำลังฝึกวิชาดาบอยู่ด้วย”

“ดาบ งั้นเหรอ…”

“หึหึ น้องบอกว่าจะปกป้องพี่ชายอ่อนแอของเธอน่ะ”

“บ้าจริง น่าอายชะมัด”

รุยน่าคือน้องสาวของผม

หลายปีแล้วตั้งแต่ที่ผมไม่ได้พบกับรุยน่า แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังจำเด็กสาวซุกซนแต่น่ารักกับผมได้

แต่ในตอนนี้ น้องสาวของผมกำลังเรียนวิชาดาบ

เพื่อปกป้องผม

เฮ่อ น่าอายจริง ๆ

“ทางนี้พ่อ”

พ่อของผมดูแปลกใจอย่างต่อเนื่องเมื่อมองภายในของโรงเรียนขณะที่เดินไปทางห้องพยาบาล

บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเขาคือขุนนางที่เดินทางมาที่เมืองใหญ่จากชนบท

รอยยิ้มของผมไม่ได้เลือนหายไปด้วยเหตุผลบางอย่าง

แต่ก็เถอะ ดูจากสีหน้าของพ่อแล้ว ผมเลยจงใจเลือกทางอ้อมที่ยาวกว่าในโรงเรียนเพื่ออวดโรงเรียนให้พ่อเห็นก่อนจะเดินมาที่ห้องพยาบาล

“ถึงแล้วพ่อ เอาชาหน่อยไหม?”

“เอาสิ”

หลังจากผมชงชาเองบนโต๊ะชาและวางหน้าพ่อ ความเงียบที่ชวนอึดอัดก็ค่อย ๆ จางหายไป

“ชาอร่อยดีนะ”

แม้ว่ามันจะเป็นชาสมุนไพรธรรมดาก็ตาม

ผมบอกได้ว่าพ่อแค่ใช้ชาเป็นข้ออ้าง เพราะเขาระวังที่จะใช้คำพูดที่ไม่ทำร้ายผมมากกว่า

ผมจึงเปิดฝ่ายพูดก่อน

“ผมสบายดีนะพ่อ”

“ลูกพูดถึงเรื่องอะไร?”

“ทุกอย่างดีหมดเลย ไม่ได้เจ็บตัวหรือเจ็บใจอะไรทั้งนั้น”

ความเงียบจู่โจมพวกเราอีกครั้ง และพ่อก็จิบชาโดยไม่พูดอะไร

มันนาน แต่ก็เป็นเพียงครู่สั้น ๆ

สุดท้ายพ่อก็พูดออกมา

“ถ้าลูกเหนื่อย…ลูกกลับบ้านเราได้เสมอนะ ถ้าลูกกำลังลำบากและอดกลั้นเอาไว้เพราะพูดอะไรออกมาไม่ได้…”

“ผมไม่ได้กำลังลำบากนะพ่อ”

“แต่ลูกเจอกับเรื่องนั้นมาไม่ใช่เหรอ? แล้วมันก็เป็นเรื่องใหญ่ด้วย เป็นความผิดของพ่อเอง ผิดที่ลูกมีปัญหาเพราะพ่อไม่ได้แข็งแกร่งมากพอ”

“ไม่ใช่เพราะพ่อหรอกนะ ที่จริงเป็นความผิดของผมต่างหาก เรื่องมันเกิดก็เพราะผมอดทนต่อความโกรธไม่ได้…”

ก่อนที่จะนาน ถ้วยชาของพ่อก็หมดแล้ว ผมเลยขอรินชาให้ใหม่

“พ่อสงสัยไหม? ชีวิตในโรงเรียนของผมน่ะ?”

พ่อตาเป็นประกาย

แน่นอนว่าเขาต้องสงสัย สงสัยยิ่งกว่าที่ใครจะเป็นได้

เขาเป็นหนึ่งในคนที่รู้ว่าพรสวรรค์อันสุดยอดของผมนั้นก้าวเหนือล้ำกว่าจอมเวทย์ธรรมดา

“มันเหมือนกับติดอยู่ในถ้ำไร้จุดจบ ไม่ว่าจะดิ้นรนเพื่อวิ่งหนีเท่าไหร่ ทางออกก็ไม่เคยเผยให้เห็น ความมืดมิดดำสนิทอยู่รอบตัวผม ตั้งแต่ที่เวทมนตร์ติดขัดในตอนอายุ 10 ปี”

“เพราะแบบนี้ผมถึงพยายามอย่างหนัก ผมคิดถึงความสนอกสนใจจากคนอื่นที่ไม่คู่ควรจะได้รับในตอนอายุ 10 ปี แต่แม้จะเป็นแบบนั้น ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่ มันก็ไร้ค่า บางทีอาจจะเพราะเรื่องนี้ที่ทำให้ดูเหมือนผมมีความโกรธแค้นฝึกลึกอยู่ข้างใน แต่ผมก็ไม่อยากจะเสียหน้า ผมมีเรื่องชกต่อยกับคนอื่นที่ดูถูกผมหรือดูหมิ่นพ่อ  เรื่องคราวที่แล้วก็เกิดขึ้นเพราะแบบนี้เหมือนกัน”

พ่อตั้งใจฟังเรื่องที่ผมเล่าโดยไม่พูดอะไร

สีหน้าเศร้าหมองราวกับน้ำตาหนึ่งหยดพร้อมจะไหลออกมาจากตาของพ่อทุกเมื่อ

ผมพยายามจะพลิกอารมณ์โดยการยิ้มอย่างสดใสเมื่อเล่าเรื่องในตอนที่เศร้าหมอง

“แต่พ่อรู้ไหมว่าตอนนี้มันเป็นยังไงบ้าง?”

พ่อมองผมที่กำลังยิ้ม

ราวกับว่าอยากจะให้เล่าต่อ

“หลังจากรอมา 6 ปี ในที่สุดผมก็เจอแสงที่ปลายอุโมงค์”

“เอ๋?”

“ผมคิดว่าผมเจอทางแล้ว”

“...เจอทางเหรอ? ลูกหมายความว่าอะไร?”

พ่อตอบด้วยความประหลาดใจ

แต่ผมจะอธิบายกับพ่อยังไงล่ะ…?

“อืม ตอนนี้ยังเล่าให้พ่อฟังทั้งหมดไม่ได้…”

พ่อถามด้วยความไม่พอใจในขณะที่ผมลังเลที่จะพูด

“หรือว่ามันจะเกี่ยวกับเรื่องแปลก ๆ ที่ลูกกำลังทำช่วงนี้?”

“เรื่องแปลก ๆ?”

“ก็ที่เตะต่อยอากาศไง”

“พ่อรู้ได้ยังไงน่ะ?”

พ่อปิดปากเมื่อผมถาม

เหตุผลที่พ่อมาที่นี่จะต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเรื่องนั้นไม่ผิดแน่

ข้อมูลส่วนใหญ่ที่ไปถึงพ่อควรจะเป็น ‘เอกสารทางการ’ แล้วพ่อรู้เรื่องเล็กน้อยแบบนั้นได้ยังไง?

คำพูดต่อมาของพ่อทำให้ผมแปลกใจเล็ก ๆ

“จากไฮเดล…ไม่สิ พ่อได้ยินมาจากอาจารย์ไฮเดล”

“อะไรนะ?”

ถ้าได้ยินมาจากอาจารย์ไฮเดล

มันหมายความว่ายังไง?

แต่เขาก็รีบย้อนกลับมาที่เราพูดคุยกันราวกับจะบอกว่ามันไม่สำคัญ

“บอกพ่อมาสิ มันเกี่ยวกับเรื่องนี้รึเปล่า?”

ผมพยักหน้า

“ใช่ มันเกี่ยวกัน”

พ่อทำหน้าที่บอกว่าเขามีคำถามเรื่องผมอยู่เต็มไปหมด

ใช่ นั่นก็เข้าใจได้

ลูกของเขาที่เคยพูดว่าจะเป็นจอมเวทย์เริ่มเตะต่อยอากาศหลังจากที่โดนเวทย์สายฟ้า

แน่นอนว่าคนเป็นพ่อต้องเป็นห่วง

บางทีอาจจะดีแล้วที่พ่อไม่คิดว่าผมเป็นบ้าวิกลจริตไป

“มันเป็นวิธีรักษาอาการป่วยของลูกเหรอ?”

“ใช่ ถึงผมจะพูดอะไรมากไม่ได้…แต่มันก็ใกล้เคียงนะพ่อ”

พ่อตาเป็นประกายเล็กน้อย

ถึงแม้ว่าคำถามจะไม่ได้รับคำตอบจนถึงที่สุด แต่อย่างน้อยมันก็เป็นคำตอบที่มีหวัง

แต่เขาก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกออกมาอย่างเปิดเผย

ดูเหมือนว่าเขาจะอึดอัดเล็ก ๆ

“เชื่อใจผมนะพ่อ”

“พ่อมาที่นี่เพื่อถามลูกว่าอยากจะออกจากโรงเรียนไหม”

“ผมรู้ ผมถึงบอกพ่อแบบนี้”

“ผมขอให้สัญญา สัญญาระหว่างพ่อกับลูก”

“สัญญาเหรอ?”

“ใช่ สัญญา”

ผมยิ้มให้พ่อที่กระวนกระวาย

“ในการสอบครั้งถัดไป ผมจะสอบภาคปฏิบัติให้ได้คะแนนดี”

เกรดของผม ไม่ว่าจะดูอย่างไรมันก็เลวร้ายพอที่จะเรียกได้ว่าน่าอับอาย

เพราะแม้ว่าการสอบภาคทฤษฎีจะได้คะแนนเต็มทุกครั้ง แต่การสอบภาคปฏิบัตินั้นจะได้ 0 คะแนนในทุกวิชา

สำหรับผมที่พูดว่าผมจะได้คะแนนดีในการสอบปฏิบัตินั้นเหมือนกับการหลอกลวงด้วยมุกเก่าว่าจะทำอะไรได้จากที่ไม่เคยได้อะไร

“พ่อไม่รู้”

พ่อยังคงมีสีหน้าลำบากใจ

สำหรับเขา ไม่มีอะไรชัดเจนเลยในตอนนี้

พ่อจะวิตกต่อไปถ้าผมยังอยู่ในโรงเรียน

ผมรู้

ว่าผม ‘ขาดคุณสมบัติ’ ทั้งการเป็นจอมเวทย์และนักเรียน

แม้ว่าผมจะรู้ทั้งหมดนี้ ผมก็ยังมองตรงไปที่หน้าพ่อ

“ถ้าครั้งหน้าสอบตก ผมจะทำทุกอย่างตามที่พ่อพูด”

เทอมถัดไป

ยังเหลืออีก 2 เทอมจนกว่าจะจบการศึกษา

เวลาสั้นเกินไปที่จะเตรียมทำอะไรใหม่

พ่อจะคิดยังไงกับผมที่มีแต่ความมั่นใจในตอนนี้ล่ะ?

หรือคิดว่าผมโง่เกินเยียวยาแล้ว?

หรือคิดว่าผมไม่มีอะไรนอกจากความปรารถนา?

ผมไม่รู้

ผมตบหน้าอกตรงหัวใจอย่างจงใจและหัวเราะเชิงตลกขบขัน

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ผมไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น โดนเวทย์สายฟ้าแล้วผมยังรอดมาได้เลยนะ”

“...รูน…”

“ผมไม่ได้ล้อเล่นนะ”

ผมพูดจริงจังแฝงในความติดตลกออกไป

ผมหยุดหัวเราะและมองตาของพ่ออย่างตั้งใจ

“พ่อ”

“หืม”

“พ่อรอผมมา 6 ปีแล้ว ผมจะพยายามไม่ให้พ่อรอไปมากกว่านี้”

ผมแสดงความมั่นใจให้พ่อไปพอรึยังนะ?

ไม่รู้หรอก

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจ

“ขอบคุณที่รอมาตลอดนะพ่อ”

พ่อยกถ้วยชาอีกครั้งด้วยสีหน้าผ่อนคลาย

“...ชาอร่อยจริง ๆ”

“นั่นมันชาสมุนไพรธรรมดา”

“ไม่เกี่ยวกับว่าพ่อดื่มอะไร แต่ดื่มกับใครต่างหาก รินให้พ่ออีกได้ไหม?”

เป็นตอนนี้เองที่พ่อยอมรับคำขอของผม

พ่ออยู่ในโรงเรียนอีกไม่นานและเดินทางกลับบ้าน

การที่ขุนนางอยู่ในสถาบันการศึกษาเช่นนี้เป็นเวลานานเกินไปนั้นไม่ใช่ภาพที่ดี และมักจะบิดเบือนเรื่องราวได้ง่าย

ก่อนที่จะเดินทางกลับ พ่อบอกกับผมว่า

“ดูแลร่างกายลูกดี ๆ นะ”

ดูเหมือนว่าเขาไม่อยากจะกดดันผมแม้จะจนถึงที่สุด

เพราะเรื่องนี้ ผมเลยไม่ได้พูดจาชวนอ้วกอย่าง ‘ผมจะเป็นจอมเวทย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก’ ออกมา

ซึ่งก็ดีกว่าที่จะไม่พูด

ในตอนนี้ ให้ความมั่นใจกับพ่อไปเท่านั้นก็มากพอแล้ว

“เจอพ่อสนุกไหมล่ะ?”

อาจารย์ไฮเดลที่มาส่งพ่อกับผมถาม

ผมได้แต่มองกลับไปและถามกลับ

“รู้จักพ่อผมได้ยังไง?”

อาจารย์ไฮเดลยักไหล่ เขาดูไม่พอใจเล็กน้อย

“เขาพูดงั้นเหรอ? ว่ารู้จักชั้นน่ะ?”

“อืม…เขาไม่ได้เล่าอะไรนะ”

อาจารย์ไฮเดลมองรอบ ๆ ราวกับจะปิดบังอะไรบางอย่าง เมื่อยืนยันได้ว่าไม่มีใครเขาก็กระซิบบอกผม

“พ่อของนาย ลอร์ดเดลลิน อาเดล เป็นเพื่อนกับชั้นมาตั้งนานแล้ว”

“ว่าไงนะ?”

“แล้วเขาก็เป็นผู้มีพระคุณที่ชั้นไม่อาจจะตอบแทนได้ ต่อให้ต้องทำงานไปตลอดชีวิตก็เถอะ”

มันเป็นคำพูดที่น่าตกใจ

สำหรับพ่อที่เป็นทั้งเพื่อนและผู้มีพระคุณ

สำหรับพ่อที่จะมีความสัมพันธ์กับจอมเวทย์แบบนั้น

อาจารย์ไฮเดลพูดกับผมสักระยะขณะที่มองกลุ่มเดินทางของพ่อที่ค่อย ๆ หดเล็กลงไปตามสายตา

“รูน นายควรจะรู้จากข่าวลือแล้วว่าชั้นเกิดมาเป็นสามัญชน”

“ครับ”

“บ้านของชั้นอยู่ในอาเดล”

“เอ๋ ดินแดนของเราเป็นบ้านของอาจารย์เหรอ?”

“เกิดมาเป็นคนยากจน คนที่ส่งคนที่ไม่มีอะไรอย่างชั้นมาที่นี่ก็คือปู่ของนายที่เป็นอดีตหัวหน้าตระกูลอาเดล ลอร์ดฮวีเดล ส่วนลูกชายที่ขอร้องให้ลอร์ดฮวีเดลให้โอกาสชั้นก็คือพ่อของนาย นายน้อยเดลลิน อาเดลในตอนนั้น”

มันเป็นเรื่องที่น่าตกใจมาก

อาจารย์ไฮเดล

มันไม่ใช่ข้อมูลที่ละเอียด แต่ก็มีข่าวลือออกมาบ้างเรื่องการเกิดมาเป็นสามัญชนของเขา

นั่นคือเหตุผลที่เรื่องทั้งหมดมันน่าประทับใจ

แม้ว่าเขาจะเป็นสามัญชน การได้เป็นอารจารย์สอน ‘เวทมตร์ต่อสู้’ ที่ต้องใช้คุณสมบัติสูงสุดก็คือเป้าหมายของคนที่เกิดมาสูงส่ง

การได้เห็นคนที่มีพรสวรรค์เช่นนี้ได้กลายมาเป็นจอมเวทย์ระดับสูงนั้น

“พ่อกับคุณปู่…”

นี่เองที่เขาพูดว่า ‘ผู้มีพระคุณชั่วชีวิต’ คืออะไร

“เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับจากพ่อของนายนะ เขาไม่อยากจะให้ชั้นบอกใบ้อะไรกับเรื่องนี้เลย เหตุผลก็เพราะ…นายรู้จักลอร์ดเดลลินดีกว่าชั้นใช่ไหม?”

เดลลิน อาเดล

พ่อของผม

เขาไม่ใช่คนที่จะขอให้คนอื่นช่วยเหลือผมเพื่อตอบแทนบุญคุณ

เขาจะปิดบัง พูดออกไปก็เหมือนกับเป็นภาระ และถ้าเขาปิดบังไม่ได้ เขาก็จะมอบของขวัญและความหวังดีให้

ผมพยักหน้าเบา ๆ แสดงความเข้าใจ อาจารย์ไฮเดลยิ้มให้อย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน

“นี่เป็นความลับของเราสองคน ถ้าเรื่องนี้มีคนรู้เข้าคงไม่ดีแน่”

“ครับ? อ๊ะ โอเค”

“และถ้าหากบังเอิญว่านายคิดว่าชั้นทำดีกับนายมากกว่าล่ะก็…ลืมไปได้เลย มันจะไม่เกิดขึ้น”

เขาคิดว่าผมเป็นใครกัน?

ผมตอบกลับเสียงแข็งพอกัน

“ผมปฏิเสธเรื่องนั้นเหมือนกัน อาจารย์”

“ดี”

เขายิ้มราวกับว่าคำตอบของผมมันตลก และก็จ้องมองพ่อของผมที่หายไปไกลแล้ว

ใจเย็นและจริงจังอยู่เสมอ

อาจารย์ที่แสดงรัศมีความเย็นชาและดูราวกับมองคนได้ทะลุปรุโปร่ง

ดวงตาของเขาเปล่งประกายเป็นครั้งแรก

ด้วยความไร้เดียงสาอันบริสุทธิ์

เหมือนกับเด็กน้อย

ไฮเดลคิดย้อนกลับระหว่างที่ทำงานและบ้านของเขา

หัวใจเขายังคงยินดีและรู้สึกขอบคุณที่ได้พบกับเพื่อนเก่า

‘เดลลิน อาเดล…’

เด็กตระกูลขุนนางที่ยื่นชิ้นขนมปังให้กับสามัญชนที่พยายามจะเรียนรู้ให้นานอีกสักหน่อยขณะที่อดทนต่อความหิว

มิตรภาพของพวกเขาก้าวข้ามเส้นแบ่งระหว่างสามัญชนและขุนนาง และเพราะมิตรภาพนั้น เขาจึงได้เป็นเขาในทุกวันนี้

ไฮเดลนั้นห่วงใยอยู่เสมอ

‘ชั้นจะตอบแทนน้ำใจนี้ยังไง?’

แต่มันก็เป็นไปไม่ได้

เดลลิน อาเดล

ผู้ที่มีนิสัยดื้อด้านจนน่าหงุดหงิด

เขาไม่เคยปรารถนาความช่วยเหลือใดเลยจากไฮเดล

แต่ถึงอย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นเดลลินหรือรูน ก็ไม่มีใครในบ้านอาเดลที่รู้ว่าไฮเดลนั้นช่วยเหลือพวกเขาไปแล้ว

.

.

.

จากการประเมินภายใน การล้มเหลวของรูนนั้นเป็นที่ตัดสินแล้ว แต่รูนไม่รู้เลยว่าไฮเดลนั้นพูดกับบุคคลระดับสูงโดยตรงเพื่อรั้งรูนเอาไว้ในโรงเรียน

‘ทำงานอาสาในโรงเรียนเป็นเวลา 1 เดือน’

นี่คือบทลงโทษจากเหตุครั้งนั้น รูนควรจะถูกไล่ออกไปกับเบน พอลท์หรือไม่ก็ได้รับบทลงโทษที่รุนแรงแบบเดียวกัน แต่ไฮเดลเองก็เป็นคนที่ขอให้บทลงโทษสถานเบากว่านี้

เพราะว่านี่คืออย่างน้อยของสิ่งที่เขาจะทำให้ตระกูล ‘อาเดล’ เพื่อตอบแทนน้ำใจที่เขาได้รับมา

ไฮเดลนึกถึงรูน ที่เป็นจุดสนใจของทั้งสองฝ่าย

‘เด็กคนนั้น...ตอนนี้ทำอะไรอยู่นะ?’

จากที่ได้ยินจากเดลลิน อาเดล รูนนั้นสัญญาว่าเขาจะต้องได้คะแนนดีในการสอบครั้งถัดไป

แล้วจอมเวทย์ที่ปล่อยเวทย์ออกมาไม่ได้จะได้คะแนนดีได้อย่างไร?

แม้แต่อาจารย์อย่างเขาก็ทำได้แค่หยุดไม่ให้อาเดลตกจากชั้นเรียนได้เท่านั้น

เขาไไม่มีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลงคะแนนสอบ

หมายความว่าคะแนนทั้งหมดนั้นจะต้องมาจากตัวรูนเอง

‘เหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่วันเท่านั้น…’

ไฮเดลพูดขณะที่มองปฏิทิน

วงกลมสีแดงบ่งบอกเวลาสอบที่กำลังจะมาถึง

‘...ถึงเวลานั้นเราคงรู้เอง’

ในตอนนี้ รูนกลายเป็นนักเรียนที่น่าสนใจมากในการจับตา

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด