ตอนที่ 7
“รุยน่าเป็นยังไงบ้างพ่อ?”
“ตอนนี้รุยน่าโตแล้วน่ะ ช่วงนี้กำลังฝึกวิชาดาบอยู่ด้วย”
“ดาบ งั้นเหรอ…”
“หึหึ น้องบอกว่าจะปกป้องพี่ชายอ่อนแอของเธอน่ะ”
“บ้าจริง น่าอายชะมัด”
รุยน่าคือน้องสาวของผม
หลายปีแล้วตั้งแต่ที่ผมไม่ได้พบกับรุยน่า แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังจำเด็กสาวซุกซนแต่น่ารักกับผมได้
แต่ในตอนนี้ น้องสาวของผมกำลังเรียนวิชาดาบ
เพื่อปกป้องผม
เฮ่อ น่าอายจริง ๆ
“ทางนี้พ่อ”
พ่อของผมดูแปลกใจอย่างต่อเนื่องเมื่อมองภายในของโรงเรียนขณะที่เดินไปทางห้องพยาบาล
บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเขาคือขุนนางที่เดินทางมาที่เมืองใหญ่จากชนบท
รอยยิ้มของผมไม่ได้เลือนหายไปด้วยเหตุผลบางอย่าง
แต่ก็เถอะ ดูจากสีหน้าของพ่อแล้ว ผมเลยจงใจเลือกทางอ้อมที่ยาวกว่าในโรงเรียนเพื่ออวดโรงเรียนให้พ่อเห็นก่อนจะเดินมาที่ห้องพยาบาล
“ถึงแล้วพ่อ เอาชาหน่อยไหม?”
“เอาสิ”
หลังจากผมชงชาเองบนโต๊ะชาและวางหน้าพ่อ ความเงียบที่ชวนอึดอัดก็ค่อย ๆ จางหายไป
“ชาอร่อยดีนะ”
แม้ว่ามันจะเป็นชาสมุนไพรธรรมดาก็ตาม
ผมบอกได้ว่าพ่อแค่ใช้ชาเป็นข้ออ้าง เพราะเขาระวังที่จะใช้คำพูดที่ไม่ทำร้ายผมมากกว่า
ผมจึงเปิดฝ่ายพูดก่อน
“ผมสบายดีนะพ่อ”
“ลูกพูดถึงเรื่องอะไร?”
“ทุกอย่างดีหมดเลย ไม่ได้เจ็บตัวหรือเจ็บใจอะไรทั้งนั้น”
ความเงียบจู่โจมพวกเราอีกครั้ง และพ่อก็จิบชาโดยไม่พูดอะไร
มันนาน แต่ก็เป็นเพียงครู่สั้น ๆ
สุดท้ายพ่อก็พูดออกมา
“ถ้าลูกเหนื่อย…ลูกกลับบ้านเราได้เสมอนะ ถ้าลูกกำลังลำบากและอดกลั้นเอาไว้เพราะพูดอะไรออกมาไม่ได้…”
“ผมไม่ได้กำลังลำบากนะพ่อ”
“แต่ลูกเจอกับเรื่องนั้นมาไม่ใช่เหรอ? แล้วมันก็เป็นเรื่องใหญ่ด้วย เป็นความผิดของพ่อเอง ผิดที่ลูกมีปัญหาเพราะพ่อไม่ได้แข็งแกร่งมากพอ”
“ไม่ใช่เพราะพ่อหรอกนะ ที่จริงเป็นความผิดของผมต่างหาก เรื่องมันเกิดก็เพราะผมอดทนต่อความโกรธไม่ได้…”
ก่อนที่จะนาน ถ้วยชาของพ่อก็หมดแล้ว ผมเลยขอรินชาให้ใหม่
“พ่อสงสัยไหม? ชีวิตในโรงเรียนของผมน่ะ?”
พ่อตาเป็นประกาย
แน่นอนว่าเขาต้องสงสัย สงสัยยิ่งกว่าที่ใครจะเป็นได้
เขาเป็นหนึ่งในคนที่รู้ว่าพรสวรรค์อันสุดยอดของผมนั้นก้าวเหนือล้ำกว่าจอมเวทย์ธรรมดา
“มันเหมือนกับติดอยู่ในถ้ำไร้จุดจบ ไม่ว่าจะดิ้นรนเพื่อวิ่งหนีเท่าไหร่ ทางออกก็ไม่เคยเผยให้เห็น ความมืดมิดดำสนิทอยู่รอบตัวผม ตั้งแต่ที่เวทมนตร์ติดขัดในตอนอายุ 10 ปี”
“เพราะแบบนี้ผมถึงพยายามอย่างหนัก ผมคิดถึงความสนอกสนใจจากคนอื่นที่ไม่คู่ควรจะได้รับในตอนอายุ 10 ปี แต่แม้จะเป็นแบบนั้น ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่ มันก็ไร้ค่า บางทีอาจจะเพราะเรื่องนี้ที่ทำให้ดูเหมือนผมมีความโกรธแค้นฝึกลึกอยู่ข้างใน แต่ผมก็ไม่อยากจะเสียหน้า ผมมีเรื่องชกต่อยกับคนอื่นที่ดูถูกผมหรือดูหมิ่นพ่อ เรื่องคราวที่แล้วก็เกิดขึ้นเพราะแบบนี้เหมือนกัน”
พ่อตั้งใจฟังเรื่องที่ผมเล่าโดยไม่พูดอะไร
สีหน้าเศร้าหมองราวกับน้ำตาหนึ่งหยดพร้อมจะไหลออกมาจากตาของพ่อทุกเมื่อ
ผมพยายามจะพลิกอารมณ์โดยการยิ้มอย่างสดใสเมื่อเล่าเรื่องในตอนที่เศร้าหมอง
“แต่พ่อรู้ไหมว่าตอนนี้มันเป็นยังไงบ้าง?”
พ่อมองผมที่กำลังยิ้ม
ราวกับว่าอยากจะให้เล่าต่อ
“หลังจากรอมา 6 ปี ในที่สุดผมก็เจอแสงที่ปลายอุโมงค์”
“เอ๋?”
“ผมคิดว่าผมเจอทางแล้ว”
“...เจอทางเหรอ? ลูกหมายความว่าอะไร?”
พ่อตอบด้วยความประหลาดใจ
แต่ผมจะอธิบายกับพ่อยังไงล่ะ…?
“อืม ตอนนี้ยังเล่าให้พ่อฟังทั้งหมดไม่ได้…”
พ่อถามด้วยความไม่พอใจในขณะที่ผมลังเลที่จะพูด
“หรือว่ามันจะเกี่ยวกับเรื่องแปลก ๆ ที่ลูกกำลังทำช่วงนี้?”
“เรื่องแปลก ๆ?”
“ก็ที่เตะต่อยอากาศไง”
“พ่อรู้ได้ยังไงน่ะ?”
พ่อปิดปากเมื่อผมถาม
เหตุผลที่พ่อมาที่นี่จะต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเรื่องนั้นไม่ผิดแน่
ข้อมูลส่วนใหญ่ที่ไปถึงพ่อควรจะเป็น ‘เอกสารทางการ’ แล้วพ่อรู้เรื่องเล็กน้อยแบบนั้นได้ยังไง?
คำพูดต่อมาของพ่อทำให้ผมแปลกใจเล็ก ๆ
“จากไฮเดล…ไม่สิ พ่อได้ยินมาจากอาจารย์ไฮเดล”
“อะไรนะ?”
ถ้าได้ยินมาจากอาจารย์ไฮเดล
มันหมายความว่ายังไง?
แต่เขาก็รีบย้อนกลับมาที่เราพูดคุยกันราวกับจะบอกว่ามันไม่สำคัญ
“บอกพ่อมาสิ มันเกี่ยวกับเรื่องนี้รึเปล่า?”
ผมพยักหน้า
“ใช่ มันเกี่ยวกัน”
พ่อทำหน้าที่บอกว่าเขามีคำถามเรื่องผมอยู่เต็มไปหมด
ใช่ นั่นก็เข้าใจได้
ลูกของเขาที่เคยพูดว่าจะเป็นจอมเวทย์เริ่มเตะต่อยอากาศหลังจากที่โดนเวทย์สายฟ้า
แน่นอนว่าคนเป็นพ่อต้องเป็นห่วง
บางทีอาจจะดีแล้วที่พ่อไม่คิดว่าผมเป็นบ้าวิกลจริตไป
“มันเป็นวิธีรักษาอาการป่วยของลูกเหรอ?”
“ใช่ ถึงผมจะพูดอะไรมากไม่ได้…แต่มันก็ใกล้เคียงนะพ่อ”
พ่อตาเป็นประกายเล็กน้อย
ถึงแม้ว่าคำถามจะไม่ได้รับคำตอบจนถึงที่สุด แต่อย่างน้อยมันก็เป็นคำตอบที่มีหวัง
แต่เขาก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกออกมาอย่างเปิดเผย
ดูเหมือนว่าเขาจะอึดอัดเล็ก ๆ
“เชื่อใจผมนะพ่อ”
“พ่อมาที่นี่เพื่อถามลูกว่าอยากจะออกจากโรงเรียนไหม”
“ผมรู้ ผมถึงบอกพ่อแบบนี้”
“ผมขอให้สัญญา สัญญาระหว่างพ่อกับลูก”
“สัญญาเหรอ?”
“ใช่ สัญญา”
ผมยิ้มให้พ่อที่กระวนกระวาย
“ในการสอบครั้งถัดไป ผมจะสอบภาคปฏิบัติให้ได้คะแนนดี”
เกรดของผม ไม่ว่าจะดูอย่างไรมันก็เลวร้ายพอที่จะเรียกได้ว่าน่าอับอาย
เพราะแม้ว่าการสอบภาคทฤษฎีจะได้คะแนนเต็มทุกครั้ง แต่การสอบภาคปฏิบัตินั้นจะได้ 0 คะแนนในทุกวิชา
สำหรับผมที่พูดว่าผมจะได้คะแนนดีในการสอบปฏิบัตินั้นเหมือนกับการหลอกลวงด้วยมุกเก่าว่าจะทำอะไรได้จากที่ไม่เคยได้อะไร
“พ่อไม่รู้”
พ่อยังคงมีสีหน้าลำบากใจ
สำหรับเขา ไม่มีอะไรชัดเจนเลยในตอนนี้
พ่อจะวิตกต่อไปถ้าผมยังอยู่ในโรงเรียน
ผมรู้
ว่าผม ‘ขาดคุณสมบัติ’ ทั้งการเป็นจอมเวทย์และนักเรียน
แม้ว่าผมจะรู้ทั้งหมดนี้ ผมก็ยังมองตรงไปที่หน้าพ่อ
“ถ้าครั้งหน้าสอบตก ผมจะทำทุกอย่างตามที่พ่อพูด”
เทอมถัดไป
ยังเหลืออีก 2 เทอมจนกว่าจะจบการศึกษา
เวลาสั้นเกินไปที่จะเตรียมทำอะไรใหม่
พ่อจะคิดยังไงกับผมที่มีแต่ความมั่นใจในตอนนี้ล่ะ?
หรือคิดว่าผมโง่เกินเยียวยาแล้ว?
หรือคิดว่าผมไม่มีอะไรนอกจากความปรารถนา?
ผมไม่รู้
ผมตบหน้าอกตรงหัวใจอย่างจงใจและหัวเราะเชิงตลกขบขัน
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ผมไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น โดนเวทย์สายฟ้าแล้วผมยังรอดมาได้เลยนะ”
“...รูน…”
“ผมไม่ได้ล้อเล่นนะ”
ผมพูดจริงจังแฝงในความติดตลกออกไป
ผมหยุดหัวเราะและมองตาของพ่ออย่างตั้งใจ
“พ่อ”
“หืม”
“พ่อรอผมมา 6 ปีแล้ว ผมจะพยายามไม่ให้พ่อรอไปมากกว่านี้”
ผมแสดงความมั่นใจให้พ่อไปพอรึยังนะ?
ไม่รู้หรอก
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจ
“ขอบคุณที่รอมาตลอดนะพ่อ”
พ่อยกถ้วยชาอีกครั้งด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
“...ชาอร่อยจริง ๆ”
“นั่นมันชาสมุนไพรธรรมดา”
“ไม่เกี่ยวกับว่าพ่อดื่มอะไร แต่ดื่มกับใครต่างหาก รินให้พ่ออีกได้ไหม?”
เป็นตอนนี้เองที่พ่อยอมรับคำขอของผม
พ่ออยู่ในโรงเรียนอีกไม่นานและเดินทางกลับบ้าน
การที่ขุนนางอยู่ในสถาบันการศึกษาเช่นนี้เป็นเวลานานเกินไปนั้นไม่ใช่ภาพที่ดี และมักจะบิดเบือนเรื่องราวได้ง่าย
ก่อนที่จะเดินทางกลับ พ่อบอกกับผมว่า
“ดูแลร่างกายลูกดี ๆ นะ”
ดูเหมือนว่าเขาไม่อยากจะกดดันผมแม้จะจนถึงที่สุด
เพราะเรื่องนี้ ผมเลยไม่ได้พูดจาชวนอ้วกอย่าง ‘ผมจะเป็นจอมเวทย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก’ ออกมา
ซึ่งก็ดีกว่าที่จะไม่พูด
ในตอนนี้ ให้ความมั่นใจกับพ่อไปเท่านั้นก็มากพอแล้ว
“เจอพ่อสนุกไหมล่ะ?”
อาจารย์ไฮเดลที่มาส่งพ่อกับผมถาม
ผมได้แต่มองกลับไปและถามกลับ
“รู้จักพ่อผมได้ยังไง?”
อาจารย์ไฮเดลยักไหล่ เขาดูไม่พอใจเล็กน้อย
“เขาพูดงั้นเหรอ? ว่ารู้จักชั้นน่ะ?”
“อืม…เขาไม่ได้เล่าอะไรนะ”
อาจารย์ไฮเดลมองรอบ ๆ ราวกับจะปิดบังอะไรบางอย่าง เมื่อยืนยันได้ว่าไม่มีใครเขาก็กระซิบบอกผม
“พ่อของนาย ลอร์ดเดลลิน อาเดล เป็นเพื่อนกับชั้นมาตั้งนานแล้ว”
“ว่าไงนะ?”
“แล้วเขาก็เป็นผู้มีพระคุณที่ชั้นไม่อาจจะตอบแทนได้ ต่อให้ต้องทำงานไปตลอดชีวิตก็เถอะ”
มันเป็นคำพูดที่น่าตกใจ
สำหรับพ่อที่เป็นทั้งเพื่อนและผู้มีพระคุณ
สำหรับพ่อที่จะมีความสัมพันธ์กับจอมเวทย์แบบนั้น
อาจารย์ไฮเดลพูดกับผมสักระยะขณะที่มองกลุ่มเดินทางของพ่อที่ค่อย ๆ หดเล็กลงไปตามสายตา
“รูน นายควรจะรู้จากข่าวลือแล้วว่าชั้นเกิดมาเป็นสามัญชน”
“ครับ”
“บ้านของชั้นอยู่ในอาเดล”
“เอ๋ ดินแดนของเราเป็นบ้านของอาจารย์เหรอ?”
“เกิดมาเป็นคนยากจน คนที่ส่งคนที่ไม่มีอะไรอย่างชั้นมาที่นี่ก็คือปู่ของนายที่เป็นอดีตหัวหน้าตระกูลอาเดล ลอร์ดฮวีเดล ส่วนลูกชายที่ขอร้องให้ลอร์ดฮวีเดลให้โอกาสชั้นก็คือพ่อของนาย นายน้อยเดลลิน อาเดลในตอนนั้น”
มันเป็นเรื่องที่น่าตกใจมาก
อาจารย์ไฮเดล
มันไม่ใช่ข้อมูลที่ละเอียด แต่ก็มีข่าวลือออกมาบ้างเรื่องการเกิดมาเป็นสามัญชนของเขา
นั่นคือเหตุผลที่เรื่องทั้งหมดมันน่าประทับใจ
แม้ว่าเขาจะเป็นสามัญชน การได้เป็นอารจารย์สอน ‘เวทมตร์ต่อสู้’ ที่ต้องใช้คุณสมบัติสูงสุดก็คือเป้าหมายของคนที่เกิดมาสูงส่ง
การได้เห็นคนที่มีพรสวรรค์เช่นนี้ได้กลายมาเป็นจอมเวทย์ระดับสูงนั้น
“พ่อกับคุณปู่…”
นี่เองที่เขาพูดว่า ‘ผู้มีพระคุณชั่วชีวิต’ คืออะไร
“เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับจากพ่อของนายนะ เขาไม่อยากจะให้ชั้นบอกใบ้อะไรกับเรื่องนี้เลย เหตุผลก็เพราะ…นายรู้จักลอร์ดเดลลินดีกว่าชั้นใช่ไหม?”
เดลลิน อาเดล
พ่อของผม
เขาไม่ใช่คนที่จะขอให้คนอื่นช่วยเหลือผมเพื่อตอบแทนบุญคุณ
เขาจะปิดบัง พูดออกไปก็เหมือนกับเป็นภาระ และถ้าเขาปิดบังไม่ได้ เขาก็จะมอบของขวัญและความหวังดีให้
ผมพยักหน้าเบา ๆ แสดงความเข้าใจ อาจารย์ไฮเดลยิ้มให้อย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน
“นี่เป็นความลับของเราสองคน ถ้าเรื่องนี้มีคนรู้เข้าคงไม่ดีแน่”
“ครับ? อ๊ะ โอเค”
“และถ้าหากบังเอิญว่านายคิดว่าชั้นทำดีกับนายมากกว่าล่ะก็…ลืมไปได้เลย มันจะไม่เกิดขึ้น”
เขาคิดว่าผมเป็นใครกัน?
ผมตอบกลับเสียงแข็งพอกัน
“ผมปฏิเสธเรื่องนั้นเหมือนกัน อาจารย์”
“ดี”
เขายิ้มราวกับว่าคำตอบของผมมันตลก และก็จ้องมองพ่อของผมที่หายไปไกลแล้ว
ใจเย็นและจริงจังอยู่เสมอ
อาจารย์ที่แสดงรัศมีความเย็นชาและดูราวกับมองคนได้ทะลุปรุโปร่ง
ดวงตาของเขาเปล่งประกายเป็นครั้งแรก
ด้วยความไร้เดียงสาอันบริสุทธิ์
เหมือนกับเด็กน้อย
ไฮเดลคิดย้อนกลับระหว่างที่ทำงานและบ้านของเขา
หัวใจเขายังคงยินดีและรู้สึกขอบคุณที่ได้พบกับเพื่อนเก่า
‘เดลลิน อาเดล…’
เด็กตระกูลขุนนางที่ยื่นชิ้นขนมปังให้กับสามัญชนที่พยายามจะเรียนรู้ให้นานอีกสักหน่อยขณะที่อดทนต่อความหิว
มิตรภาพของพวกเขาก้าวข้ามเส้นแบ่งระหว่างสามัญชนและขุนนาง และเพราะมิตรภาพนั้น เขาจึงได้เป็นเขาในทุกวันนี้
ไฮเดลนั้นห่วงใยอยู่เสมอ
‘ชั้นจะตอบแทนน้ำใจนี้ยังไง?’
แต่มันก็เป็นไปไม่ได้
เดลลิน อาเดล
ผู้ที่มีนิสัยดื้อด้านจนน่าหงุดหงิด
เขาไม่เคยปรารถนาความช่วยเหลือใดเลยจากไฮเดล
แต่ถึงอย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นเดลลินหรือรูน ก็ไม่มีใครในบ้านอาเดลที่รู้ว่าไฮเดลนั้นช่วยเหลือพวกเขาไปแล้ว
.
.
.
จากการประเมินภายใน การล้มเหลวของรูนนั้นเป็นที่ตัดสินแล้ว แต่รูนไม่รู้เลยว่าไฮเดลนั้นพูดกับบุคคลระดับสูงโดยตรงเพื่อรั้งรูนเอาไว้ในโรงเรียน
‘ทำงานอาสาในโรงเรียนเป็นเวลา 1 เดือน’
นี่คือบทลงโทษจากเหตุครั้งนั้น รูนควรจะถูกไล่ออกไปกับเบน พอลท์หรือไม่ก็ได้รับบทลงโทษที่รุนแรงแบบเดียวกัน แต่ไฮเดลเองก็เป็นคนที่ขอให้บทลงโทษสถานเบากว่านี้
เพราะว่านี่คืออย่างน้อยของสิ่งที่เขาจะทำให้ตระกูล ‘อาเดล’ เพื่อตอบแทนน้ำใจที่เขาได้รับมา
ไฮเดลนึกถึงรูน ที่เป็นจุดสนใจของทั้งสองฝ่าย
‘เด็กคนนั้น...ตอนนี้ทำอะไรอยู่นะ?’
จากที่ได้ยินจากเดลลิน อาเดล รูนนั้นสัญญาว่าเขาจะต้องได้คะแนนดีในการสอบครั้งถัดไป
แล้วจอมเวทย์ที่ปล่อยเวทย์ออกมาไม่ได้จะได้คะแนนดีได้อย่างไร?
แม้แต่อาจารย์อย่างเขาก็ทำได้แค่หยุดไม่ให้อาเดลตกจากชั้นเรียนได้เท่านั้น
เขาไไม่มีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลงคะแนนสอบ
หมายความว่าคะแนนทั้งหมดนั้นจะต้องมาจากตัวรูนเอง
‘เหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่วันเท่านั้น…’
ไฮเดลพูดขณะที่มองปฏิทิน
วงกลมสีแดงบ่งบอกเวลาสอบที่กำลังจะมาถึง
‘...ถึงเวลานั้นเราคงรู้เอง’
ในตอนนี้ รูนกลายเป็นนักเรียนที่น่าสนใจมากในการจับตา