ตอนที่ 5
สกิล
คงง่ายกว่าถ้าจะคิดว่ามันเป็นรูปแบบหนึ่งของเวทมนตร์
แต่ถ้าเทียบกับเวทมตร์ที่ใครก็ใช้ได้ถ้าหากรับรู้ถึงมานาแล้ว สกิลคือพลังพิเศษสำหรับผม
ใช่แล้ว
มันมีไว้สำหรับผมคนเดียวเท่านั้น
ในหน้าต่างสกิลนั้นมีสกิลทั้งหมดสองสกิล
ผมเลือกอันแรก
.
.
.
.
วงแหวนพลัง
ติดตัว
มานาแทนที่ด้วยพละกำลัง
วงแหวนมานาแทนที่ด้วยวงแหวนพลัง
ทุกเวทมนตร์ของผู้เล่นตอนนี้จะได้รับผลจากพละกำลัง
ทุกความเคลื่อนไหวของผู้เล่นตอนนี้จะได้รับผลจากพละกำลัง
.
.
.
นี่คือคำอธิบายทั้งหมดที่ผมได้อ่าน แต่ผมก็อดแปลกใจเล็ก ๆ ไม่ได้
“แทนที่มานา…ด้วยพละกำลังงั้นเหรอ?”
มานา แก่นรากฐานที่จำเป็นสำหรับเวทมนตร์
มันปะปนอยู่ในอากาศ แต่มันเบากว่า แผดเผาง่ายยิ่งกว่า และถ้าหากมีสิ่งอื่นเจือปน มันจะสลายและหายไป
เป็นสสารที่จัดการได้ยากมาก
มันล้ำค่า ไม่ใช่เพราะมันหายาก แต่เพราะไม่ใช่ทุกคนที่ควบคุมมันได้
จำเป็นต้องใช้งานมานาให้ได้เพื่อที่จะใช้มานาในการร่ายเวทย์
มานาเป็นทั้งจุดเริ่มต้นและจุดจบของจอมเวทย์
แต่แทนที่มานาด้วยอย่างอื่นงั้นหรือ?
ไม่ว่าจะเป็นจอมเวทย์ชั้น 1 ที่ต่ำที่สุดหรือยอดจอมเวทย์ชั้น 8 มานาก็เป็นสิ่งที่มิอาจแทนที่ด้วยสิ่งอื่นได้
“บ้าอะไรกันเนี่ย? มันไม่มีเหตุผลเลย…”
ผมพึมพำด้วยความสับสน แต่ผมก็รีบสลัดความคิดและดูวงแหวนมานาของตัวเอง
วงแหวนมานา สำหรับคนที่รู้สึกถึงมานาและค้นคว้าเกี่ยวกับมัน วงแหวนจะอยู่ในจุดที่ใกล้กับหัวใจ
มันเหมือนกับพื้นที่กักเก็บมานา
ไม่าเพียงเท่านั้น มันยังเป็นศูนย์กลางการร่ายเวทย์ที่ใช้เพื่อจุดและเพิ่มผลของมานา
และมันยังเพิ่มปริมาณมานาที่คนเราจะใช้ในแต่ละครั้ง และถ้าหากฝึกเวทมตร์มาแล้ว วงแหวนมานาก็จะเพิ่มขึ้นด้วย
ในเวลาที่ผ่านมา วงแหวนมานาของผมนั้นมีอยู่สี่วง
มันเป็นวงแหวนจำนวนที่เหนือกว่าคนรุ่นเดียวกันอย่างมาก แต่ในเมื่อผมปล่อยมานาออกมาไม่ได้ มันก็ไม่ต่างอะไรจากการไม่มีวงแหวนมานาอยู่เลย
แต่ในตอนนี้
“ไม่มีเลย…มันหายไปหมดแล้ว…”
วงแหวนมานาทั้งหมดของผมหายไป
ในจุดที่เคยมีวงแหวนอัดกันอยู่อย่างแน่นหนา ได้เกิดแถบสีแดงที่เปล่งแสงปรากฏขึ้น
มันเป็นสัญลักษณ์ที่หมายถึงความ ‘ไร้สิ้นสุด’
และที่กลาง ‘วงแหวน’ นี้ พละกำลังก็ตื่นตัวที่จะเข้าไป
“อะไร…นี่มันอะไรกัน?”
สถานการณ์บ้า ๆ นี่มันอะไร
จู่ ๆ วงแหวนมานาที่ผมใช้ทั้งหัวใจและจิตวิญญาณฟูมฟักมันขึ้นมาได้หายไปแล้ว
จอมเวทย์ที่ไม่มีวงแหวนมานาน่ะเหรอ?
เดี๋ยวสิ ตอนนี้ผมยังเป็นจอมเวทย์อยู่รึเปล่า?
“แล้วเวทมนตร์ของเราล่ะ…”
ผมเริ่มตื่นตระหนก ผมเริ่มรู้สึกมึนหัวเมื่อหัวใจเต้นแรงและความกลัวก็แล่นผ่านความเย็นมาถึงกระดูกสันหลัง
ผมสั่นด้วยความกลัว
กลัวที่ผมจะไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้อีกไปตลอดชีวิต
“โถ่โว้ย…บัดซบ”
มีเวลาไหนในชีวิตบ้างที่ผมรู้สึกอึดอัดขนาดนี้?
ผมหายใจเข้าลึกเพื่อพยายามจะทำใจให้เย็นลง
ถ้าหาก-
ถ้าหากผมใช้เวทมนตร์ไม่ได้อีกเลย…
ถ้าแบบนั้นผมก็…
“เฮ่อ…”
ผมหลับตา หายใจสั้น ๆ และยื่นมือออกไป
ผมพยายามร่ายเวทย์อย่างเคย มีบางอย่างที่น่าสนใจเกิดขึ้น
.
.
.
ขั้นแรกก็คือ เก็บมานาดิบที่กระจัดกระจายอยู่ในอากาศ
ขั้นที่สอง เพิ่มพลังของมานาที่รวบรวมมาผ่านวงแหวนมานา
ขั้นที่สาม ขึ้นรูปมานาที่เพิ่มพลังแล้ว
จากนั้นจึงจะปล่อยเวทย์ออกมาได้
นี่คือพื้นฐานที่เรียกว่า ‘กฎแห่งสาม’ พื้นฐานของเวทย์ทั้งมวล
แต่แล้ว
“นี่มัน…ได้ยังไงกัน?”
ผมได้พลิกรากฐานทั้งหมดบนหัวไป
เวทย์ที่ผมร่ายคือเวทย์สอง 2 วงแหวนพื้นฐาน ‘ลูกไฟ’
ทันทีที่ผมเริ่มร่าย วงแหวนมานาของผมก็…
ไม่สิ
วงแหวนใหม่ของผมเริ่มที่จะสะบัดไปมาอย่างควบคุมไม่ได้ และลูกไฟที่ลุกโชนก็โผล่ขึ้นมาเหนือฝ่ามือ
“นี่มัน…เร็วมาก”
รวบรวม เพิ่มพลัง ขึ้นรูป
ด้วยพละกำลังเพียงอย่างเดียว ผมได้ทะลวงผ่านขั้นตอนเหล่านี้ซึ่งตามปกติจะต้องใช้เวลา 10 วินาที
มันง่ายดาย
มันทั้งเร็วและง่าย
การลดเวลาร่ายเวทย์นั้นจะเพิ่มประสิทธิภาพของจอมเวทย์ได้อย่างไร้ขีดจำกัด
“ทำไมมันถึงได้…”
ฟึ่บ!
แค่เหลือบมองทีเดียวก็บอกได้เลยว่าลูกไฟที่เกิดจากพละกำลังนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าลูกไฟที่เกิดจากมานา
‘แล้วเวทย์ประเภทอื่นล่ะ…?’
ผมทดลองกับเวทธาตุอื่น
น้ำ, ไฟ, ดิน, ลม
เวทมนตร์พื้นฐานทั้งสี่ตอบสนองแบบเดียวกัน
เวทย์ทั้งหมดก้าวข้ามสามขั้นตอนของการรวบรวม เพิ่มพลัง ขึ้นรูป และก่อตัวขึ้นมาเลยโดยตรง
ในความเร็วที่บ้าคลั่ง
‘เวทย์แบบอื่นก็ใช้ได้ด้วยวิธีเดียวกัน…’
เมื่อมานาแทนที่ด้วยพลังเท่านั้น ผมถึงทำเรื่องแบบนี้ได้ และวงแหวนมานาก็เปลี่ยนเป็นวงแหวนพลัง
ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปมากนัก
ใช่แล้ว
ผมยังใช้เวทมนตร์ได้
ปลดปล่อยตัวเองจากสิ่งเหนี่ยวรั้งที่ชื่อว่ามานาและวงแหวนมานา เวทมนตร์แบบใหม่ได้เกิดขึ้นจากแหล่งพลังใหม่
กลายเป็นเวทมนตร์ที่มีแต่ผมเท่านั้นที่ใช้ได้
“นี่น่ะเหรอ…พลังของอาติแฟกต์”
ผมตื่นเต้นอย่างประหลาด
ผมหันไปมองหน้าต่างสกิล
จากนั้น
ผมก็ได้เห็น
.
.
.
จอมเวทย์คลั่ง
ติดตัว
วิธีใช้เวทมนตร์ที่ออกแบบโดยดราก้า ผู้มีปัญหาในการปล่อยมานา
คุณสามารถโจมตีศัตรูโดยการร่ายเวทย์จากภายในร่างกาย
.
.
.
โลกใบใหม่ได้เปิดให้ผมแล้ว
.
.
.
คุณสามารถโจมตีศัตรูได้โดยการอัดเวทมนตร์ใส่ตัวเอง
คุณไม่ได้รับผลจากเวทมนตร์ที่ตัวเองร่าย
พละกำลังจะเพิ่มพลังให้กับเวทมนตร์ของคุณ
เวทมนตร์ของคุณจะเพิ่มพลังทำลายตามความเสียหายกายภาพ
.
.
.
“อัดเวทมนตร์ในร่ายกายเพื่อโจมตีงั้นเหรอ?”
นี่คือเหตุผลที่ต้องใช้ ‘พละกำลัง’ แทนมานาสินะ
เหตุผลที่ภารกิจแรกคือการเตะและต่อย
ดราก้า ผู้ที่ปลดปล่อยเวทมนตร์ออกมาไม่ได้
เขาได้ต่อสู้โดยการอัดพลังเวทย์ใส่แขนและขาของตัวเอง
“ใครจะไปคิดเรื่องแบบนี้ได้กัน?”
ในตอนนั้นเองหน้าต่างภารกิจก็เริ่มสะท้อนแสง
.
.
“ภารกิจใหม่งั้นเหรอ?”
ผมอ่านมัน
.
.
.
ภารกิจ
ทดสอบวิธีการ
โดยใช้วงแหวนพลังและ ‘พละกำลัง’ ในการโจมตีเป้าหมายกายภาพ
โจมตีเป้าหมายกายภาพ : 0/1
* รางวัล : Strength +10
.
.
.
ภารกิจให้ใช้สกิลทำอะไรซักอย่าง
ลมหายใจอันตื่นเต้นของผมกลับคืนมาเป็นปกติ
หัวใจที่ลุกโชนด้วยไฟเองก็เย็นลงแล้ว
อนาคตที่ดูมืดมิดราวกับความว่างเปล่าได้เริ่มส่องประกายมาทีละน้อย
ทันทีที่ผมใจเย็นลง ผมก็เริ่มเห็นสิ่งใหม่
‘วิธีการนี้…เป็นเรื่องที่เราไม่เคยคิดมาก่อนเลย’
ถือเวทมนตร์ไว้ในมือและปล่อยกำปั้นมันออกไป
‘เราจะทำได้ไหมนะ?’
มันไม่ใช่การถามคำถามเล็กน้อยอย่าง
ผมจะเป็นจอมเวทย์ได้ไหม?
ผมจะแข็งแกร่งขึ้นได้ไหม?
ผมจะเป็นมหาจอมเวทย์ได้ไหม?
มันเป็นคำถามอย่าง ‘ผมจะเป็นจอมเวทย์ที่แข็งแกร่งที่สุดได้ไหม?’ ที่ยากแม้แต่จะจินตนาการต่างหาก
แน่นอนว่าคำตอบมันแน่อยู่แล้ว
‘ผมต้องทำมัน’
.
.
.
ด้วยลูกไฟในมือและก้อนน้ำแข็งในอีกมือ ผมยืนหน้าหุ่นไล่กา
หุ่นไล่กากับจมูกแปลก ๆ กับดวงตาที่ไม่ได้สร้างมาอย่างดีด้วยซ้ำนั้นมองผมกลับมาราวกับจะล้อเลียน
เพราะแบบนี้ ผมถึงไม่ลังเลที่จะปล่อยหมัดใส่เจ้าหุ่นไล่กาตรงหน้า
“มือซ้าย!”
ตู้ม!
ลูกไฟที่ถือในมือซ้ายระเบิดหัวหุ่นไล่กาและเผาหุ่นในทันทีที่สัมผัส
“มือขวา!”
ชิ้ง!
ก้อนน้ำแข็งในมือขวาแช่แข็งหุ่นไล่กาที่ลุกไหม้
และจากนั้น
เพล้ง!
หุ่นไล่กาที่ถูกแช่แข็งนั้นแตกเป็นล้านชิ้นเมื่อผมซัดด้วยหมัดเสริมพลัง
‘ว้าว’
เมื่อได้เห็นพลังอันไม่น่าเชื่อ ผมก็ผงะมาข้างหลัง
.
.
.
ภารกิจสำเร็จแล้ว
ได้รับรางวัล
Strength เพิ่มขึ้น 10
.
.
.
หุ่นไล่กาที่ล้อเลียนผมเมื่อวินาทีก่อนนั้นไม่เหลืออยู่อีกแล้ว
เหลือแค่เพียงกิ่งไม้ที่ติดไฟกับรอยไหม้ที่กระจายกับพื้น
“เราทำลายหุ่นไล่กานั่นได้…”
มันก็เป็นแค่หุ่นไล่กา ทำไมถึงผมถึงอ่อนไหวขนาดนี้กัน?
ผมรู้
เพราะสำหรับคนอื่น มันเป็นเพียงแค่หุ่นไล่กาธรรมดา
แต่สำหรับผม มันคือตัวตนที่แข็งแกร่งเกินกว่าผมจะทำได้แม้กระทั่งการสัมผัส
ตัวตนน่ารำคาญที่อยู่ไกลเกินระยะเวทมนตร์ของผมเสมอมา สิ่งที่ล้อเลียนผมอยู่ตลอดมา
ผมฝันถึงฝันมาตลอด 6 ปีที่อยู่ในโรงเรียน
ฝันว่าวันหนึ่ง ผมจะใช้เวทมนตร์โค่นเจ้าหุ่นไล่กานั่นไปให้ได้
จนถึงตอนนี้ ผมถูกหยุดในขั้น ‘ปลดปล่อย’ เวทย์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แต่ในตอนนี้ ความฝันนั้นเป็นจริงแล้ว
ด้วยกำปั้นของผมเอง
“นี่คือ…เวทมนตร์ของดราก้า”
ผมจ้องมองซากหุ่นไล่กาด้วยดวงตาว่างเปล่า
ผมรีบหยิกตัวเองและขยี้ตา
มันไม่ใช่ฝัน
มันไม่ใช่ภาพหลอนเช่นกัน
ทั้งหมดคือความจริง
ผมล้มลงกับพื้นและตะโกน
“โว้ว”
ผมล้มลงเงยหน้ากับดินแข็ง ๆ
“...สวยจัง”
พระจันทร์สองแสงยามวิกาลในท้องฟ้ายามค่ำคืนช่างดูงดงามยิ่งกว่าที่เคยเห็นมา
แม้แต่พื้นดินแข็ง ๆ ก็รู้สึกเหมือนกับเตียงอันนุ่มนิ่ม
ได้เอนกายนอนแบบนี้ ร่างกายเริ่มรู้สึกถึงความเหนื่อยล้า
ควาามเหนื่อยล้าจากการออกกำลังวันนี้ ประกอบกับความเศร้าโศกในหกปีที่ผ่านมา ทั้งหมดทั้งมวลได้ถาโถมเข้ามาบนตัวผมราวกับน้ำตก
ดวงตาทั้งสองข้างหนักอึ้ง
ผมต้องตื่นขึ้น
ผมต้อง…
…ช่างเถอะ
คร่อกกกกก…
.
.
.
.
หลังจากตื่นนอนแล้วผมก็กลายเป็นคนดังขึ้นมาด้วยเหตุผลอื่น
“อะไรน่ะ? เจ้านั่นหลับอยู่นี่เหรอ?”
“ดูเหมือนว่าเขาจะฝึกตรงนี้จนถึงเช้าตรู่เลยนะ ชู่ว เขาหลับอยู่แน่ะ”
“เราปลุกเขาไม่ดีกว่าเหรอ?”
ผมคงต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ
ไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหน ให้นอนกลางดินแบบนี้…
“ไม่นะ…เขาตายแล้วเหรอ?”
“ไม่มีทาง โดนเวทย์สายฟ้าไปเขายังไม่เป็นอะไรเลย…โว้วว! รูน! ตกใจเป็นบ้า”
แต่ผมก็ลืมตาขึ้นมาราวกับไม่มีอะไรผิดปกติ
จากนั้นผมก็ลุกขึ้นเหยียดตัวและหักคอส่งเสียงกร๊อบแกร๊บ
“ทำไมทุกคนถึงมาอยู่ตรงนี้ล่ะ? ไม่เคยเห็นคนนอนข้างนอกกันรึไง?”
“ใช่ ชั้นเพิ่งเคยเห็นขุนนางนอนกลางดินทั้ง ๆ ที่มีหอพักดี ๆ ห่างออกไปอีก 100 เมตรก็วันนี้นี่แหละ”
บัดซบ
เถียงออกไปไม่ได้ด้วยสิ
“รูน นายเมารึไง?”
“หมายความว่าไงที่ว่าเมาน่ะ? ชั้นเหนื่อยก็เลยหลับไปแค่นั้นเอง”
มันดูเหมือนกับว่ามีคน 10 คนกำลังเค้นคอเอาอะไรบางอย่างจากผม
จากการที่ถูกมองเหมือนกับสัตว์หายาก สุดท้ายความอับอายก็เกิดขึ้นกับผมจนได้
ผมอยากจะขุดหลุมแล้วเข้าไปอยู่ในนั้น
แต่ผมก็เหนื่อยที่จะทำเป็นไม่ใส่ใจขณะที่เก็บข้าวของและเริ่มเดินไปทางหอพัก
“ยอดไปเลยนะ…ไม่ว่าจะมองทางไหนก็เถอะ”
“ว่าแต่ว่า หุ่นไล่กาที่พังนั่น…ฝีมือรูนเหรอ?”
“ไม่มีทางอยู่แล้วไม่ใช่รึไง”
คำพูดของพวกเขาแล่นเข้ามาถึงหูผม แต่ใครจะสนถ้าพูดถึงผมกันเล่า?
ถึงจะน่าแปลกที่รอยยิ้มบนริมฝีปากของผมไม่คิดจะหุบก็เถอะ
นานแค่ไหนกันนะที่ไม่ได้ตื่นมาแล้วสดชื่นแบบนี้?
ถ้าให้ตอบ นี่คงเป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่เข้าโรงเรียนมา
ในตอนที่เดินเข้าห้องพัก เจสันเพื่อนร่วมห้องพักของผมก็ถามขณะที่กำลังแปรงฟัน
“โย่ รูน เมื่อวานนายไปนอนข้างนอกมาเหรอ?”
ใช่ ผมเดาว่ามันคือการนอน ‘ข้างนอก’ นะ
ผมยักไหล่แทนที่จะตอบเจสันไป
เจสันเองก็หรี่ตากับท่าทีของผม
“เอ๋? เดี๋ยวสิ นี่นายออกไปนอกโรงเรียนเหรอ? หรือว่า…ตายแล้ว! นายไปเจอผู้หญิงมาเหรอ? จนถึงเช้าเนี่ยนะ???”
.
.
.
เจสัน เดมอน
ลูกชายคนโตจากตระกูลเดมอนที่มีความมั่งคั่งจากการทำเหมืองเหล็ก
สำหรับผมที่พบเจอกับความยากลำบากในการเรียกคนในโรงเรียนว่า ‘เพื่อน’ แล้วนั้น เขาเป็นคนดี
เป็นไอบ้าเวรตะไลที่จะกระโดดข้ามรั้วโรงเรียนไปดื่มไวน์อย่างสนุกสนานกับผู้หญิงในตอนที่เบื่อ
บางครั้งก็มีคนว่ากันว่าเราจะสบายใจกับคนที่มีนิสัยตรงกันข้ามเสียมากกว่า
เจสันกับผมนั้นเองก็สบายใจกันในเทือกนั้น
“ไม่ใช่แบบนั้นซะหน่อย!”
“ไอ้บ้านี่! สุดท้ายแกก็ตื่นขึ้นมาจากการโดนเวทย์สายฟ้า แล้วก็พูดว่า ‘ไม่นะ~ ชั้นจะตายแบบนี้ไม่ได้! ทุกวันที่ผ่านมาชั้นเอาแต่อ่านหนังสือ! ชั้นต้องกลายเป็นชายเต็มตัว!’”
“นี่แกพูดบ้าอะไรกันอยู่เนี่ย?”
“ยังไงล่ะ ท่านรูน รู้สึกยังไงบ้างหลังจากที่ได้กลายเป็นชายเต็มตัว?”
ผมไม่อยากจะคุยกับเขาอีกแล้ว
“ชั้นจะไปอาบน้ำ”
ผมเข้าห้องอาบน้ำกับผ้าเช็ดตัว
เจสันเองก็พึมพำเรื่อยไป
‘ใช่สิ นายต้องล้างตัวนั่นแหละนะ ลูบ ลูบ’
ไอ้นี่มันบ้าไปแล้วจริง ๆ
.
.
.
ซ่า!
ผมลอยในอ่างอาบน้ำที่เต็มไปด้วยน้ำอุ่น
“อา จริงด้วย”
ขณะที่ลอยตัว ผมนึกได้ว่าลืมดูภารกิจหลังจากที่ตื่นนอน
“ภารกิจ”
ผมยังไม่ชินกับหน้าต่างกึ่งโปร่งใสที่ปรากฏตรงหน้าเลย
ผมจะชินกับมันในซักวันใช่ไหม?
มันไม่ได้ต่างจากภารกิจจากเมื่อวานเท่าไหร่
แต่จะว่าไป มันก็มีจุดที่ต่างอยู่นะ…
.
.
.
ภารกิจทำซ้ำได้
ฝึกฝนร่างกาย I
เมื่อคุณเป็นผู้เล่นที่เชื่อมโยงกับดราก้าผู้ทำลายล้างโลก คุณต้องฝึกฝนร่างกายเพื่อเตรียมพร้อมกับการเพิ่มพลัง
ต่อย : 0/200
เตะ : 0/200
หมุนเตะ : 0/200
* รางวัล Strength +10
.
.
.
รางวัลยังคงเป็น ‘Strength +10’ เหมือนเดิม แต่จำนวนที่ต้องฝึกนั้นเพิ่มขึ้น
“เฮ่อ…ต้องเหนื่อยอีกแล้วสิ”
แต่ถึงอย่างนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าผมก็ไม่ได้หายไปในเร็ว ๆ นี้