ตอนที่แล้วตอนที่ 3
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 5

ตอนที่ 4


ภารกิจทำซ้ำได้

ฝึกฝนร่างกาย

เมื่อคุณเป็นผู้เล่นที่เชื่อมโยงกับดราก้าผู้ทำลายล้างโลก คุณจำเป็นต้องฝึกร่างกายเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเพิ่มพลัง

ต่อย : 0/100

เตะ : 0/100

หมุนเตะ : 0/100

* รางวัล : Strength +10

* รางวัล : ปลดล็อคสกิล

.

.

“ต่อย? เตะ?”

สำหรับจอมเวทย์อย่างผม นี่มันภารกิจไร้สาระ

“นี่มันทำไปเพื่ออะไรกัน?”

แต่นี่ก็ไม่ใช่เวลาจะมาตั้งคำถาม

ผมต้องทำอะไรก็ได้และต้องทำทุกสิ่งทุกอย่าง

ผมเล็งไปที่ความว่างเปล่าและปล่อยหมัดออกไป

จากั้น

.

.

จำนวนในหน้าต่างภารกิจก็เพิ่มขึ้น

.

.

‘โอเค ตอนนี้ไม่ต้องสงสัยแล้วทำไปก็แล้วกัน’

ผมเริ่มหายใจเป็นจังหวะ ตั้งท่าที่เหมาะสมและเริ่มชกเข้าไป

ฉึบ - ฉึบ -

เสียงลมกับเสียงลมหายใจหนักอึ้งดังทั่วห้องในไม่นาน

.

.

.

100 ครั้ง

ด้วยการใช้เวทย์ที่ทำให้วิงเวียนจากภาวะของร่างกาย แม้ว่าจะแค่ยื้อร่างกายเอาไว้ก็ทำให้มีเม็ดเหงื่อผุดออกมาจากหน้าผาก และไม่นานพลังในร่างก็หมดไป

นั่นก็เพราะถ้าหากการตั้งท่าของผมเปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อย จำนวนก็ไม่ยอมเพิ่มขึ้น

ในตอนที่ผมเพ่งสมาธิกับการทำภารกิจให้จบ ผมไม่รู้ตัวเลยว่าเฮเลนกำลังเดินเข้ามา

“โอ้โห เธอชกไปทั่วแบบนี้เลยเหรอ”

“อั่ก…เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอครับ?”

“อืม ชั้นนับว่าเธอชกได้เกิน 10 ครั้งแล้วล่ะมั้ง?”

“ขอโทษด้วยครับ ไม่รู้ว่าคุณเฮเลนมาตรงนี้”

“ชั้นบอกให้เธอพัก แล้วจู่ ๆ ถึงทำอะไรแทนที่จะนอนพักกันล่ะ?”

“เอ่อคือ…ผมคันน่ะ”

ต่อให้ผมจะรู้ดีว่ามันเป็นข้ออ้างแปลก ๆ

แต่เฮเลนก็ยักไหล่และเชื่อผม

“ผลตรวจของเธอมาแล้ว สุขภาพดีสมบูรณ์ กลับไปที่หอพักได้แล้วล่ะ”

“จริงเหรอครับ?”

“ใช่ ชั้นเองก็ไม่รู้ว่ามันถูกต้องไหม แต่ดูสภาพเธอตอนนี้ เธอคงไม่เป็นไรแล้วล่ะ”

“ฮ่าฮ่า…”

สุขภาพดีสมบูรณ์…

ผมแทบจะไม่เชื่อตัวเอง

ผมเกาหัวและโค้งพร้อมกับกล่าวลาคุณเฮเลน

“ขอบคุณครับ”

“ถ้ามีปัญหาอะไรก็มาที่นี่ได้ทุกเมื่อเลยนะ เข้าใจไหม?”

“ได้เลยครับ”

ผมออกจากห้องพักฟื้นและเดินกลับหอพัก

แต่ผมก็จำได้ว่าผมยังทำภารกิจไม่เสร็จ

.

.

.

‘ต้องทำภารกิจให้เสร็จก่อนจะไปไหมนะ?’

ในทุกห้องพักจะมีจัดให้มีคนสองคน

แน่นอนว่ามันไม่มีพื้นที่มากพอที่ผมจะภารกิจให้สำเร็จทั้งหมดในห้อง

‘ไปที่พื้นที่ฝึกกลางแจ้งดีกว่า’

ผมมองพระอาทิตย์ที่กำลังตกดินและเดินออกมานอกโรงเรียน

.

.

กลิ่นของฤดูใบไม้ผลินั้นรุนแรงในความอบอุ่นของเดือนที่ 4 ของปี

เหมาะสำหรับการออกแรง

อืม ถ้าหากเมินสายตาประหลาดที่มองมาน่ะนะ

“อะไรกันเนี่ย? รูน ออกมาเดินแบบนี้ได้แล้วเหรอ?”

“ใช่…จริงด้วย ก็เมื่อกี๊น่ะ…”

เพื่อนร่วมชั้นปี 6 ของผมมองราวกับว่าผมเป็นสัตว์ประหลาด

แต่นั่นก็เข้าใจได้

เพราะเป็นแค่เมื่อเช้านี้เองที่ไอ้ปัญญาอ่อนร่ายสายฟ้าใส่ผมและผมล้มลงไปกองกับพื้น

บางคนคงคิดว่าผมตายแล้วโดนชุบชีวิตกลับมา

ไม่ผิดเลยถ้าพวกเขาะตกใจเพราะผมออกมายืดเส้นยืดสายและเดินอย่างสบายใจแล้วยังยิ้มขี้เกียจ ๆ บนใบหน้าได้อีก

“ชั้นไม่เป็นไร”

แต่ผมก็ไม่ได้สนใจกับสายตามากมายที่มองเข้าาและเดินไปที่กลางลานฝึกที่มีหุ่นไล่กาสำหรับต่อสู้ตั้งอยู่

ผมตะโกนสั้น ๆ เพื่อช่วยให้ตั้งสมาธิได้ก่อนจะชกอากาศอีกครั้ง

.

.

.

ต่อย : 98/100

ต่อย : 99/100

ต่อย : 100/100 (สำเร็จ)

.

.

.

ไม่นานผมก็ทำหนึ่งในภารกิจเสร็จและเข้าสู่การเตะ

ต่อย

เตะ

หมุนเตะ

เพราะผมไม่เคยเรียนรู้ศิลปะป้องกันตัวมาก่อน ผมก็เลยไม่รู้ว่าการตั้งท่าหรือท่าที่ถูกต้องนั้นเป็นอย่างไรและเคลื่อนไหวอย่างเงะงะ

หรือเป็นเพราะว่าเรื่องนั้น?

การเคลื่อนไหวที่ไม่เหมาะสมนั้นจะไม่เพิ่มจำนวนในภารกิจ และการเตะที่เพิ่งสมาธิเต็มที่เท่านั้นที่จะนับจำนวนในภารกิจ

.

.

“ดูหมอนั่นสิ”

“หืม? นั่นมันรูนไม่ใช่เหรอ? เจ้านั่นทำอะไรน่ะ?”

“ใครจะไปรู้ล่ะ…คิดจะสู้ด้วยมือด้วยเท้าแล้วทิ้งเวทมนตร์ไปแล้วรึ?”

“บ้าน่า ไม่มีทางหรอก แล้วทำไมเขาถึงยังไม่เป็นอะไรอยู่ล่ะ? ถ้าโดนเวทย์สายฟ้าไปแล้วยังไงก็ต้องตายนี่…”

“รู้ไหมว่าชั้นได้ยินน่ะ?”

“ขะ..ขอโทษทีนะ…”

ผมไม่รู้ว่าทำไม

หรือเป็นเพราะว่าผมออกกำลังแบบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นหลังจากโดนเวทย์สายฟ้า?

หรือเพราะว่าเป็นภาพลักษณ์ใหม่ที่บอกว่าผมจะแว้งกัดถ้าโดนหาเรื่อง?

บรรยากาศประหลาดที่เกิดจากภาพที่เพื่อนร่วมห้องมองผมเปลี่ยนไปได้เกิดขึ้น

“โย่ ไปกันเถอะ”

“อื้อ”

แม้แต่คนที่ตั้งใจมองในสิ่งที่ผมทำก็ทำได้แค่มองจากระยะไกลและไม่กล้าเข้ามายุ่งด้วย

ในความจริงแล้ว มันดูเหมือนกับว่าพวกเขาค่อย ๆ เลี่ยงผมไป

แน่นอน แบบนี้ก็ยิ่งง่ายสำหรับผม

.

.

.

“แฮ่ก…แฮ่ก…”

พอผ่านไปช่วงเวลาหนึ่ง ผมก็เตะครบ 100 ครั้ง

แน่นอนว่าถ้าเทียบกับการต่อยแล้ว การเตะนั้นต้องใช้การตั้งท่าที่ดีกว่า มันก็เลยใช้พลังมากกว่าที่จำเป็น

ผมเกือบจะสำลักจากการหายใจหอบรุนแรง แต่ผมยังต้องหมุนเตะอีก 100 ครั้ง

‘ยากกว่าที่คิดอีกแฮะ’

แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ตั้งใจจะทำให้มันเสร็จในวันนี้

เพื่อที่จะรู้ให้ได้ว่าพลังใหม่ประหลาดนี้ที่จะให้ผมคืออะไร

ผมต้องรู้ให้ได้โดยไม่พลาด

“อีกรอบ”

ผมเค้นตัวและเล็งเป้าไปยังศัตรูในจินตนาการ

จากนั้นผมก็เตะ

.

.

.

อาจารย์ไฮเดล

ไม่มีนามสกุล

หมายความว่าเขาเกิดมาเป็น ‘สามัญชน

อาจารย์หนุ่มคนนี้เพิ่งจะมีอายุ 40 ในปีนี้และทำทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยพลังของตัวเอง

ความหิวกระหายในอาหารนั้นเป็นสิ่งที่เขาเกิดมาแล้วต้องเจอและอดทนแบกรับ แต่ความหิวในความรู้นั้นเป็นสิ่งที่เขาแบกรับไม่ไหว

เขาช่วยงานในไร่ทุกวันและเรียนรู้ตัวอักษรในตอนกลางคืนด้วยการสละเวลานอน

เขาเดินไปรอบ ๆ นักแปรธาตุที่อยู่ในระแวกนั้นและผู้ช่วยจอมเวทย์และเรียนรู้จากคำพูดที่ได้ยินมาจากพวกเขา

ลูกชายของเจ้าของดินแดนได้เห็นความพยายามของไฮเดลจึงเขียนจดหมายแนะนำกับพ่อของเขาให้ไฮเดลเข้าเรียนโรงเรียนเวทมนตร์อิกนิท

ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าเขาจะอายุมากกว่าคนอื่นสักหน่อย แต่เขาก็ได้เข้าเรียนในโรงเรียน

แน่นอนว่าเส้นทางที่เขาเดินนั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบดอกไม้ แต่เป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยขวากหนาม

แม้ว่าสามัญชนจะเข้าเรียนในโรงเรียนนี้ได้ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้รอดชีวิต

แต่เขาก็อดทนและเอาชีวิตรอดมาได้ในท้ายที่สุด

เขาเรียนจบด้วยเกรดที่น่าประทับใจอีกทั้งยังถูกเชิญไปที่หอคอยเวทมนตร์และถูกเรียกว่าเป็นความภูมิใจของจอมเวทย์

แต่ถึงอย่างนั้นไฮเดลก็ทนการอยู่ในหอคอยได้ไม่นานนัก

‘เกิดมาเป็นคนธรรมดา’

มันคือป้ายราคาที่ติดตามเขาไปตลอดชีวิต

หอคอยนั้นไม่ยกเว้นจากข้อขัดแย้งทางการเมืองและการต่อสู้ชิงอำนาจ และสามัญชนอย่างเขาก็ไม่มีที่ยืนเช่นเดียวกัน

ในที่สุดไฮเดลก็ออกจากหอคอยราวกับจะหนีไป

และสถานที่ที่เขามาถึงก็คือที่นี่

โรงเรียน

เขากลายเป็นอาจารย์และเริ่มสอนให้กับศิษย์รุ่นหลัง

แต่เขาก็มิอาจที่จะยึดติดกับโรงเรียนได้เช่นกัน

เพราะเขารู้ว่าในท้ายที่สุดแล้ว จอมเวทย์ก็ไม่ต่างอะไรกับเครื่องมือที่ขุนนางใช้เพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองจะมีพลังและอำนาจ

นักเรียนจากตระกูลขุนนางที่รักและศึกษาค้นคว้าเวทมนตร์อย่างจริงจังนั้นไม่มีอยู่เลย

ขุนนางส่วนใหญ่ที่ไฮเดลเจอเป็นเช่นนี้

พวกเขาจะพยายามเล็กน้อย และเมื่อมันไม่ได้ผล พวกเขาก็จะยอมแพ้ในทันที

พวกเขามักจะเริ่มเพราะความสนุก แต่ไม่นานก็หยุดเมื่อเริ่มเบื่อ

พวกเขามักจะดูถูกเขาที่เกิดมาเป็นสามัญชน

มันทำให้เขารู้สึกอคติต่อขุนนางอย่างลึกล้ำ

แต่วันหนึ่งเขาก็ได้เจอกับนักเรียนคนหนึ่ง

‘รูน อาเดล’

เขาเรียนรู้และเข้าใจเรื่องมานาได้ด้วยตัวเองและถึงกับร่ายเวทย์ชั้นหนึ่งขึ้นมาได้

จอมเวทย์อัจฉริยะ

เด็กชายที่เป็นที่พูดถึงในอาณาจักรตั้งแต่ก่อนที่จะได้เข้าโรงเรียน

บางคนก็พูดว่าเขาจะได้เป็นมหาจอมเวทย์ในอนาคต ส่วนคนอื่นก็ยิ่งไปกว่านั้น เขาบอกว่ารูน อาเดลจะได้เห็นเจ้าของหอคอยเวทมนตร์

จากมุมมองของไฮเดลนั้น รูนคือเด็กที่มีทุกสิ่งทุกอย่าง

มากพอที่จะอิจฉาเขา

ตรงกันข้ามกับเขาที่เป็นสามัญชนและไต่เต้าตัวเองด้วยความพยายามเพียงอย่างเดียว รูนนั้นเกิดมาเป็นขุนนางและมีพรสวรรค์ด้านเวทมนตร์อย่างน่ากลัว

มังกรที่เกิดมาด้วยช้อนเพชรวิเศษในปาก

แต่หลังจากที่ได้เห็นเนื้อแท้ในมังกรตัวนั้นแล้ว เขาก็ตระหนักว่ามันเป็นเพียงแค่เปลือกนอกที่น่าดูเท่านั้น

.

.

.

‘ภาวะไร้การปลุกมานา’

โทษประหารสำหรับจอมเวทย์ทุกคน

หลังจากรู้เรื่องนี้ ไฮเดลก็สงสัยว่ารูนจะยอมแพ้ในเวทมนตร์ในอีกไม่นาน

‘พวกขุนนาง’ ที่ไฮเดลรู้จักนั้นเป็นเช่นนี้

กลุ่มคนที่ไม่แน่วแน่จนถึงที่สุดและทิ้งอะไรไปง่าย ๆ หลังจากที่พยายามจนเบื่อแล้ว

แต่ถึงอย่างนั้น

‘หืมม?’

รูนนั้นต่างออกไป

ใครก็ตามที่ตกลงอยู่ความสิ้นหวังและยอมแพ้ถ้าหากจู่ ๆ ก็กลายเป็น ‘จอมเวทย์พิการ’ จากที่เคยเป็น ‘จอมเวทย์อัจฉริยะ’

แต่เขาก็รอดมาได้ เหมือนกับที่วัชพืชยังคงอยู่แม้จะในสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย

แม้แต่รูนจะทำเรื่องทั้งหมดนี้แล้ว แต่เขาก็ยังคงไม่มีหวัง

ในฐานะผู้สอน ไฮเดลรู้ว่าชีวิตของรูนในฐานะจอมเวทย์นั้นจบตั้งแต่ที่จะเริ่มเสียด้วยซ้ำ

ยิ่งคาดหวังและหวังไปเท่าใด มันก็ยิ่งโหดร้ายและผิดหวังมากเท่านั้น

แต่ถึงอย่างนั้นรูนก็ไม่เคยยอมแพ้

‘เพราะอะไรน่ะเหรอ?’

เขาเกิดมาเป็นขุนนางแต่ก็ไม่เหมือนขุนนาง

ไฮเดลคิดว่ารูนนั้นจะยอมแพ้เมื่อขาดพรสวรรค์ของเขาไป แต่เขากลับกลายเป็นคนที่พยายามอย่างหนักที่สุด

เหมือนกับตัวไฮเดลเอง

แค่สิ่งที่เขาเห็นในตัวรูนนั้นก็มากพอแล้วที่จะท้าทายความผิดหวังและอคติที่มีต่อเหล่าขุนนาง

.

.

จากนั้น 6 ปีก็ได้ผ่านพ้นไป

ไฮเดลแอบสังเกตความก้าวหน้าในการเติบโตของรูนจากห่าง ๆ เสมอ

บางครั้งก็เหมือนกับพ่อ บางครั้งก็เหมือนกับคนดูอยู่ห่าง ๆ

การได้มองดูชีวิตในโรงเรียนของรูนนั้นเป็นหนึ่งในความพอใจที่เรียบง่ายในชีวิตไฮเดล

แต่ในวันนี้

.

.

“ดูเขาสิ”

“หืม? นั่นมันรูนไม่ใช่เหรอ? เขาทำอะไรอยู่น่ะ?”

“ใครจะไปรู้ล่ะ…? เขาคิดจะมาต่อยตีแทนหลังจากทิ้งเวทมนตร์งั้นเหรอ?”

เขาบังเอิญได้เห็นรูนกำลังฝีก

เขาต่อยและเตะราวกับคนบ้าที่ไม่รู้จักพักผ่อน

เขาทำอย่างเป็นระบบและซ้ำไปซ้ำมา

นี่มันแตกต่างจากการฝึกกล้ามเนื้อทั่วไป

มันเหมือนกับว่าเขากำลังตั้งท่าเพื่อหาท่าที่สมบูรณ์ที่สุดในแต่ละครั้ง

ขณะที่สังเกตรูน ไฮเดลก็หรี่ตามอง

ในฐานะคนที่คอยดูรูนมาเป็นเวลานาน เขาบอกได้โดยสัญชาตญาณว่า

‘รูนเปลี่ยนไปแล้ว’

ไม่ว่าจะด้วยอะไร หรือที่ไหน แต่เขาก็เปลี่ยนไปแล้ว

ไฮเดลหันหลังกลับและเดินออกไปทันที

‘ชั้นควรจะบอกเขา’

มันเป็นเวลาที่หาเขียนจดหมายไปหาสหายเก่า

.

.

.

.

.

.

ทันทีที่การเตะ 100 ครั้งจบลง ผมก็ล้มและนั่งลงกับพื้น

“แฮ่ก…แฮ่ก…”

การหมุนเตะนั้นยากอย่างมาก

“ให้พยายามหมุนเตะทั้ง ๆ ที่เราไม่เคยคิดเรื่องเตะมาก่อนเนี่ยนะ”

ในตอนที่เตะ ขาซ้ายของผมนั้นเหมือนกับจุดหมุนที่ต้องอยู่อย่างมั่นคงขณะที่ขาขวาต้องรักษาความเร็วและพลัง

ต้องเตะออกไปแบบนี้เท่านั้นจำนวนในภารกิจถึงจะเพิ่มขึ้น

เขาใช้ความรู้สึกนี้เท่านั้นในการเตะ 100 ครั้งอย่างสมบูรณ์แบบและใช้เวลาหลายชั่วโมง

ด้วยเหตุนี้ เวลาจึงเลยผ่านเที่ยงคืนมาแล้วและไฟหอพักทั้งหมดเองก็ดับแล้ว

สายลมเยือกเย็นในเวลาเที่ยงคืนพัดเข้ามา แต่เสื้อผ้าของผมยังคงชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ

แม้จะเป็นอย่างนั้น ผมก็อดยิ้มออกมาไม่ได้

“เสร็จแล้ว”

ต้นกำเนิดแห่งพลังไร้ขีดจำกัด…ภารกิจ

ภารกิจแรกสำเร็จแล้ว

.

.

.

.

ภารกิจทำซ้ำได้

เมื่อคุณกลายเป็นผู้เล่นที่เชื่อมโยงกับดราก้าผู้ทำลายล้างโลก คุณต้องฝึกฝนร่างกายเพื่อเตรียมตัวสำหรับการเพิ่มพลัง

ต่อย : 100/100 (สำเร็จ)

เตะ : 100/100 (สำเร็จ)

หมุนเตะ : 100/100 (สำเร็จ)

ภารกิจสำเร็จ

ได้รับรางวัล

พละกำลังเพิ่มขึ้น 10

‘สกิล’ ถูกปลดล็อค

.

.

.

.

รางวัลนั้นคือการเพิ่มพละกำลังและ ‘สกิล’

“เดี๋ยวก่อน…นี่มันอะไรเนี่ย?”

คำถามใหม่เช่นเคย

“เอ๋?”

ผมรู้สึกว่ามีสิ่งของเล็ก ๆ ที่ไร้รูปร่างเข้ามาสู่กระแสเลือด

มันเหมือนกับมานาที่ไหลเวียนรอบวงแหวนมานาของผมอย่างมาก

แต่มันเป็นสิ่งที่ดั้งเดิมกว่านั้น

มันคือพละกำลัง

‘เราแข็งแรงขึ้นจริง ๆ’

ผมบอกไม่ได้อย่างแน่ชัดว่ามันต่างจากเดิมมากแค่ไหน แต่ผมก็รู้ว่าร่างกายตัวเองนั้นเบาขึ้น และผมก็มีพละกำลังเพิ่มขึ้น

ผมลุกขึ้นและลองต่อยและเตะอย่างเดิม และพบว่าผมทำมันได้ง่ายขึ้นและแม่นยำขึ้น

‘แรงที่ออกไปมันไม่เหมือนเดิม’

ความเร็ว แรงต้านอากาศ พลังทำลาย

ทุกปัจจัยให้ความรู้สึกที่ต่างจากเดิม

ใช่แล้ว

พลังกายของเขาเพิ่มขึ้นจริง ๆ

ถ้าเป็นแบบนั้นแล้ว แล้ว ‘สกิล’ ล่ะ?

ผมกลืนน้ำลายเบา ๆ และพูดออกมาเบา ๆ

“สกิล”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด