ตอนที่ 4
ภารกิจทำซ้ำได้
ฝึกฝนร่างกาย
เมื่อคุณเป็นผู้เล่นที่เชื่อมโยงกับดราก้าผู้ทำลายล้างโลก คุณจำเป็นต้องฝึกร่างกายเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเพิ่มพลัง
ต่อย : 0/100
เตะ : 0/100
หมุนเตะ : 0/100
* รางวัล : Strength +10
* รางวัล : ปลดล็อคสกิล
.
.
“ต่อย? เตะ?”
สำหรับจอมเวทย์อย่างผม นี่มันภารกิจไร้สาระ
“นี่มันทำไปเพื่ออะไรกัน?”
แต่นี่ก็ไม่ใช่เวลาจะมาตั้งคำถาม
ผมต้องทำอะไรก็ได้และต้องทำทุกสิ่งทุกอย่าง
ผมเล็งไปที่ความว่างเปล่าและปล่อยหมัดออกไป
จากั้น
.
.
จำนวนในหน้าต่างภารกิจก็เพิ่มขึ้น
.
.
‘โอเค ตอนนี้ไม่ต้องสงสัยแล้วทำไปก็แล้วกัน’
ผมเริ่มหายใจเป็นจังหวะ ตั้งท่าที่เหมาะสมและเริ่มชกเข้าไป
ฉึบ - ฉึบ -
เสียงลมกับเสียงลมหายใจหนักอึ้งดังทั่วห้องในไม่นาน
.
.
.
100 ครั้ง
ด้วยการใช้เวทย์ที่ทำให้วิงเวียนจากภาวะของร่างกาย แม้ว่าจะแค่ยื้อร่างกายเอาไว้ก็ทำให้มีเม็ดเหงื่อผุดออกมาจากหน้าผาก และไม่นานพลังในร่างก็หมดไป
นั่นก็เพราะถ้าหากการตั้งท่าของผมเปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อย จำนวนก็ไม่ยอมเพิ่มขึ้น
ในตอนที่ผมเพ่งสมาธิกับการทำภารกิจให้จบ ผมไม่รู้ตัวเลยว่าเฮเลนกำลังเดินเข้ามา
“โอ้โห เธอชกไปทั่วแบบนี้เลยเหรอ”
“อั่ก…เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอครับ?”
“อืม ชั้นนับว่าเธอชกได้เกิน 10 ครั้งแล้วล่ะมั้ง?”
“ขอโทษด้วยครับ ไม่รู้ว่าคุณเฮเลนมาตรงนี้”
“ชั้นบอกให้เธอพัก แล้วจู่ ๆ ถึงทำอะไรแทนที่จะนอนพักกันล่ะ?”
“เอ่อคือ…ผมคันน่ะ”
ต่อให้ผมจะรู้ดีว่ามันเป็นข้ออ้างแปลก ๆ
แต่เฮเลนก็ยักไหล่และเชื่อผม
“ผลตรวจของเธอมาแล้ว สุขภาพดีสมบูรณ์ กลับไปที่หอพักได้แล้วล่ะ”
“จริงเหรอครับ?”
“ใช่ ชั้นเองก็ไม่รู้ว่ามันถูกต้องไหม แต่ดูสภาพเธอตอนนี้ เธอคงไม่เป็นไรแล้วล่ะ”
“ฮ่าฮ่า…”
สุขภาพดีสมบูรณ์…
ผมแทบจะไม่เชื่อตัวเอง
ผมเกาหัวและโค้งพร้อมกับกล่าวลาคุณเฮเลน
“ขอบคุณครับ”
“ถ้ามีปัญหาอะไรก็มาที่นี่ได้ทุกเมื่อเลยนะ เข้าใจไหม?”
“ได้เลยครับ”
ผมออกจากห้องพักฟื้นและเดินกลับหอพัก
แต่ผมก็จำได้ว่าผมยังทำภารกิจไม่เสร็จ
.
.
.
‘ต้องทำภารกิจให้เสร็จก่อนจะไปไหมนะ?’
ในทุกห้องพักจะมีจัดให้มีคนสองคน
แน่นอนว่ามันไม่มีพื้นที่มากพอที่ผมจะภารกิจให้สำเร็จทั้งหมดในห้อง
‘ไปที่พื้นที่ฝึกกลางแจ้งดีกว่า’
ผมมองพระอาทิตย์ที่กำลังตกดินและเดินออกมานอกโรงเรียน
.
.
กลิ่นของฤดูใบไม้ผลินั้นรุนแรงในความอบอุ่นของเดือนที่ 4 ของปี
เหมาะสำหรับการออกแรง
อืม ถ้าหากเมินสายตาประหลาดที่มองมาน่ะนะ
“อะไรกันเนี่ย? รูน ออกมาเดินแบบนี้ได้แล้วเหรอ?”
“ใช่…จริงด้วย ก็เมื่อกี๊น่ะ…”
เพื่อนร่วมชั้นปี 6 ของผมมองราวกับว่าผมเป็นสัตว์ประหลาด
แต่นั่นก็เข้าใจได้
เพราะเป็นแค่เมื่อเช้านี้เองที่ไอ้ปัญญาอ่อนร่ายสายฟ้าใส่ผมและผมล้มลงไปกองกับพื้น
บางคนคงคิดว่าผมตายแล้วโดนชุบชีวิตกลับมา
ไม่ผิดเลยถ้าพวกเขาะตกใจเพราะผมออกมายืดเส้นยืดสายและเดินอย่างสบายใจแล้วยังยิ้มขี้เกียจ ๆ บนใบหน้าได้อีก
“ชั้นไม่เป็นไร”
แต่ผมก็ไม่ได้สนใจกับสายตามากมายที่มองเข้าาและเดินไปที่กลางลานฝึกที่มีหุ่นไล่กาสำหรับต่อสู้ตั้งอยู่
ผมตะโกนสั้น ๆ เพื่อช่วยให้ตั้งสมาธิได้ก่อนจะชกอากาศอีกครั้ง
.
.
.
ต่อย : 98/100
ต่อย : 99/100
ต่อย : 100/100 (สำเร็จ)
.
.
.
ไม่นานผมก็ทำหนึ่งในภารกิจเสร็จและเข้าสู่การเตะ
ต่อย
เตะ
หมุนเตะ
เพราะผมไม่เคยเรียนรู้ศิลปะป้องกันตัวมาก่อน ผมก็เลยไม่รู้ว่าการตั้งท่าหรือท่าที่ถูกต้องนั้นเป็นอย่างไรและเคลื่อนไหวอย่างเงะงะ
หรือเป็นเพราะว่าเรื่องนั้น?
การเคลื่อนไหวที่ไม่เหมาะสมนั้นจะไม่เพิ่มจำนวนในภารกิจ และการเตะที่เพิ่งสมาธิเต็มที่เท่านั้นที่จะนับจำนวนในภารกิจ
.
.
“ดูหมอนั่นสิ”
“หืม? นั่นมันรูนไม่ใช่เหรอ? เจ้านั่นทำอะไรน่ะ?”
“ใครจะไปรู้ล่ะ…คิดจะสู้ด้วยมือด้วยเท้าแล้วทิ้งเวทมนตร์ไปแล้วรึ?”
“บ้าน่า ไม่มีทางหรอก แล้วทำไมเขาถึงยังไม่เป็นอะไรอยู่ล่ะ? ถ้าโดนเวทย์สายฟ้าไปแล้วยังไงก็ต้องตายนี่…”
“รู้ไหมว่าชั้นได้ยินน่ะ?”
“ขะ..ขอโทษทีนะ…”
ผมไม่รู้ว่าทำไม
หรือเป็นเพราะว่าผมออกกำลังแบบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นหลังจากโดนเวทย์สายฟ้า?
หรือเพราะว่าเป็นภาพลักษณ์ใหม่ที่บอกว่าผมจะแว้งกัดถ้าโดนหาเรื่อง?
บรรยากาศประหลาดที่เกิดจากภาพที่เพื่อนร่วมห้องมองผมเปลี่ยนไปได้เกิดขึ้น
“โย่ ไปกันเถอะ”
“อื้อ”
แม้แต่คนที่ตั้งใจมองในสิ่งที่ผมทำก็ทำได้แค่มองจากระยะไกลและไม่กล้าเข้ามายุ่งด้วย
ในความจริงแล้ว มันดูเหมือนกับว่าพวกเขาค่อย ๆ เลี่ยงผมไป
แน่นอน แบบนี้ก็ยิ่งง่ายสำหรับผม
.
.
.
“แฮ่ก…แฮ่ก…”
พอผ่านไปช่วงเวลาหนึ่ง ผมก็เตะครบ 100 ครั้ง
แน่นอนว่าถ้าเทียบกับการต่อยแล้ว การเตะนั้นต้องใช้การตั้งท่าที่ดีกว่า มันก็เลยใช้พลังมากกว่าที่จำเป็น
ผมเกือบจะสำลักจากการหายใจหอบรุนแรง แต่ผมยังต้องหมุนเตะอีก 100 ครั้ง
‘ยากกว่าที่คิดอีกแฮะ’
แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ตั้งใจจะทำให้มันเสร็จในวันนี้
เพื่อที่จะรู้ให้ได้ว่าพลังใหม่ประหลาดนี้ที่จะให้ผมคืออะไร
ผมต้องรู้ให้ได้โดยไม่พลาด
“อีกรอบ”
ผมเค้นตัวและเล็งเป้าไปยังศัตรูในจินตนาการ
จากนั้นผมก็เตะ
.
.
.
อาจารย์ไฮเดล
ไม่มีนามสกุล
หมายความว่าเขาเกิดมาเป็น ‘สามัญชน
อาจารย์หนุ่มคนนี้เพิ่งจะมีอายุ 40 ในปีนี้และทำทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยพลังของตัวเอง
ความหิวกระหายในอาหารนั้นเป็นสิ่งที่เขาเกิดมาแล้วต้องเจอและอดทนแบกรับ แต่ความหิวในความรู้นั้นเป็นสิ่งที่เขาแบกรับไม่ไหว
เขาช่วยงานในไร่ทุกวันและเรียนรู้ตัวอักษรในตอนกลางคืนด้วยการสละเวลานอน
เขาเดินไปรอบ ๆ นักแปรธาตุที่อยู่ในระแวกนั้นและผู้ช่วยจอมเวทย์และเรียนรู้จากคำพูดที่ได้ยินมาจากพวกเขา
ลูกชายของเจ้าของดินแดนได้เห็นความพยายามของไฮเดลจึงเขียนจดหมายแนะนำกับพ่อของเขาให้ไฮเดลเข้าเรียนโรงเรียนเวทมนตร์อิกนิท
ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าเขาจะอายุมากกว่าคนอื่นสักหน่อย แต่เขาก็ได้เข้าเรียนในโรงเรียน
แน่นอนว่าเส้นทางที่เขาเดินนั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบดอกไม้ แต่เป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยขวากหนาม
แม้ว่าสามัญชนจะเข้าเรียนในโรงเรียนนี้ได้ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้รอดชีวิต
แต่เขาก็อดทนและเอาชีวิตรอดมาได้ในท้ายที่สุด
เขาเรียนจบด้วยเกรดที่น่าประทับใจอีกทั้งยังถูกเชิญไปที่หอคอยเวทมนตร์และถูกเรียกว่าเป็นความภูมิใจของจอมเวทย์
แต่ถึงอย่างนั้นไฮเดลก็ทนการอยู่ในหอคอยได้ไม่นานนัก
‘เกิดมาเป็นคนธรรมดา’
มันคือป้ายราคาที่ติดตามเขาไปตลอดชีวิต
หอคอยนั้นไม่ยกเว้นจากข้อขัดแย้งทางการเมืองและการต่อสู้ชิงอำนาจ และสามัญชนอย่างเขาก็ไม่มีที่ยืนเช่นเดียวกัน
ในที่สุดไฮเดลก็ออกจากหอคอยราวกับจะหนีไป
และสถานที่ที่เขามาถึงก็คือที่นี่
โรงเรียน
เขากลายเป็นอาจารย์และเริ่มสอนให้กับศิษย์รุ่นหลัง
แต่เขาก็มิอาจที่จะยึดติดกับโรงเรียนได้เช่นกัน
เพราะเขารู้ว่าในท้ายที่สุดแล้ว จอมเวทย์ก็ไม่ต่างอะไรกับเครื่องมือที่ขุนนางใช้เพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองจะมีพลังและอำนาจ
นักเรียนจากตระกูลขุนนางที่รักและศึกษาค้นคว้าเวทมนตร์อย่างจริงจังนั้นไม่มีอยู่เลย
ขุนนางส่วนใหญ่ที่ไฮเดลเจอเป็นเช่นนี้
พวกเขาจะพยายามเล็กน้อย และเมื่อมันไม่ได้ผล พวกเขาก็จะยอมแพ้ในทันที
พวกเขามักจะเริ่มเพราะความสนุก แต่ไม่นานก็หยุดเมื่อเริ่มเบื่อ
พวกเขามักจะดูถูกเขาที่เกิดมาเป็นสามัญชน
มันทำให้เขารู้สึกอคติต่อขุนนางอย่างลึกล้ำ
แต่วันหนึ่งเขาก็ได้เจอกับนักเรียนคนหนึ่ง
‘รูน อาเดล’
เขาเรียนรู้และเข้าใจเรื่องมานาได้ด้วยตัวเองและถึงกับร่ายเวทย์ชั้นหนึ่งขึ้นมาได้
จอมเวทย์อัจฉริยะ
เด็กชายที่เป็นที่พูดถึงในอาณาจักรตั้งแต่ก่อนที่จะได้เข้าโรงเรียน
บางคนก็พูดว่าเขาจะได้เป็นมหาจอมเวทย์ในอนาคต ส่วนคนอื่นก็ยิ่งไปกว่านั้น เขาบอกว่ารูน อาเดลจะได้เห็นเจ้าของหอคอยเวทมนตร์
จากมุมมองของไฮเดลนั้น รูนคือเด็กที่มีทุกสิ่งทุกอย่าง
มากพอที่จะอิจฉาเขา
ตรงกันข้ามกับเขาที่เป็นสามัญชนและไต่เต้าตัวเองด้วยความพยายามเพียงอย่างเดียว รูนนั้นเกิดมาเป็นขุนนางและมีพรสวรรค์ด้านเวทมนตร์อย่างน่ากลัว
มังกรที่เกิดมาด้วยช้อนเพชรวิเศษในปาก
แต่หลังจากที่ได้เห็นเนื้อแท้ในมังกรตัวนั้นแล้ว เขาก็ตระหนักว่ามันเป็นเพียงแค่เปลือกนอกที่น่าดูเท่านั้น
.
.
.
‘ภาวะไร้การปลุกมานา’
โทษประหารสำหรับจอมเวทย์ทุกคน
หลังจากรู้เรื่องนี้ ไฮเดลก็สงสัยว่ารูนจะยอมแพ้ในเวทมนตร์ในอีกไม่นาน
‘พวกขุนนาง’ ที่ไฮเดลรู้จักนั้นเป็นเช่นนี้
กลุ่มคนที่ไม่แน่วแน่จนถึงที่สุดและทิ้งอะไรไปง่าย ๆ หลังจากที่พยายามจนเบื่อแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้น
‘หืมม?’
รูนนั้นต่างออกไป
ใครก็ตามที่ตกลงอยู่ความสิ้นหวังและยอมแพ้ถ้าหากจู่ ๆ ก็กลายเป็น ‘จอมเวทย์พิการ’ จากที่เคยเป็น ‘จอมเวทย์อัจฉริยะ’
แต่เขาก็รอดมาได้ เหมือนกับที่วัชพืชยังคงอยู่แม้จะในสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย
แม้แต่รูนจะทำเรื่องทั้งหมดนี้แล้ว แต่เขาก็ยังคงไม่มีหวัง
ในฐานะผู้สอน ไฮเดลรู้ว่าชีวิตของรูนในฐานะจอมเวทย์นั้นจบตั้งแต่ที่จะเริ่มเสียด้วยซ้ำ
ยิ่งคาดหวังและหวังไปเท่าใด มันก็ยิ่งโหดร้ายและผิดหวังมากเท่านั้น
แต่ถึงอย่างนั้นรูนก็ไม่เคยยอมแพ้
‘เพราะอะไรน่ะเหรอ?’
เขาเกิดมาเป็นขุนนางแต่ก็ไม่เหมือนขุนนาง
ไฮเดลคิดว่ารูนนั้นจะยอมแพ้เมื่อขาดพรสวรรค์ของเขาไป แต่เขากลับกลายเป็นคนที่พยายามอย่างหนักที่สุด
เหมือนกับตัวไฮเดลเอง
แค่สิ่งที่เขาเห็นในตัวรูนนั้นก็มากพอแล้วที่จะท้าทายความผิดหวังและอคติที่มีต่อเหล่าขุนนาง
.
.
จากนั้น 6 ปีก็ได้ผ่านพ้นไป
ไฮเดลแอบสังเกตความก้าวหน้าในการเติบโตของรูนจากห่าง ๆ เสมอ
บางครั้งก็เหมือนกับพ่อ บางครั้งก็เหมือนกับคนดูอยู่ห่าง ๆ
การได้มองดูชีวิตในโรงเรียนของรูนนั้นเป็นหนึ่งในความพอใจที่เรียบง่ายในชีวิตไฮเดล
แต่ในวันนี้
.
.
“ดูเขาสิ”
“หืม? นั่นมันรูนไม่ใช่เหรอ? เขาทำอะไรอยู่น่ะ?”
“ใครจะไปรู้ล่ะ…? เขาคิดจะมาต่อยตีแทนหลังจากทิ้งเวทมนตร์งั้นเหรอ?”
เขาบังเอิญได้เห็นรูนกำลังฝีก
เขาต่อยและเตะราวกับคนบ้าที่ไม่รู้จักพักผ่อน
เขาทำอย่างเป็นระบบและซ้ำไปซ้ำมา
นี่มันแตกต่างจากการฝึกกล้ามเนื้อทั่วไป
มันเหมือนกับว่าเขากำลังตั้งท่าเพื่อหาท่าที่สมบูรณ์ที่สุดในแต่ละครั้ง
ขณะที่สังเกตรูน ไฮเดลก็หรี่ตามอง
ในฐานะคนที่คอยดูรูนมาเป็นเวลานาน เขาบอกได้โดยสัญชาตญาณว่า
‘รูนเปลี่ยนไปแล้ว’
ไม่ว่าจะด้วยอะไร หรือที่ไหน แต่เขาก็เปลี่ยนไปแล้ว
ไฮเดลหันหลังกลับและเดินออกไปทันที
‘ชั้นควรจะบอกเขา’
มันเป็นเวลาที่หาเขียนจดหมายไปหาสหายเก่า
.
.
.
.
.
.
ทันทีที่การเตะ 100 ครั้งจบลง ผมก็ล้มและนั่งลงกับพื้น
“แฮ่ก…แฮ่ก…”
การหมุนเตะนั้นยากอย่างมาก
“ให้พยายามหมุนเตะทั้ง ๆ ที่เราไม่เคยคิดเรื่องเตะมาก่อนเนี่ยนะ”
ในตอนที่เตะ ขาซ้ายของผมนั้นเหมือนกับจุดหมุนที่ต้องอยู่อย่างมั่นคงขณะที่ขาขวาต้องรักษาความเร็วและพลัง
ต้องเตะออกไปแบบนี้เท่านั้นจำนวนในภารกิจถึงจะเพิ่มขึ้น
เขาใช้ความรู้สึกนี้เท่านั้นในการเตะ 100 ครั้งอย่างสมบูรณ์แบบและใช้เวลาหลายชั่วโมง
ด้วยเหตุนี้ เวลาจึงเลยผ่านเที่ยงคืนมาแล้วและไฟหอพักทั้งหมดเองก็ดับแล้ว
สายลมเยือกเย็นในเวลาเที่ยงคืนพัดเข้ามา แต่เสื้อผ้าของผมยังคงชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ
แม้จะเป็นอย่างนั้น ผมก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
“เสร็จแล้ว”
ต้นกำเนิดแห่งพลังไร้ขีดจำกัด…ภารกิจ
ภารกิจแรกสำเร็จแล้ว
.
.
.
.
ภารกิจทำซ้ำได้
เมื่อคุณกลายเป็นผู้เล่นที่เชื่อมโยงกับดราก้าผู้ทำลายล้างโลก คุณต้องฝึกฝนร่างกายเพื่อเตรียมตัวสำหรับการเพิ่มพลัง
ต่อย : 100/100 (สำเร็จ)
เตะ : 100/100 (สำเร็จ)
หมุนเตะ : 100/100 (สำเร็จ)
ภารกิจสำเร็จ
ได้รับรางวัล
พละกำลังเพิ่มขึ้น 10
‘สกิล’ ถูกปลดล็อค
.
.
.
.
รางวัลนั้นคือการเพิ่มพละกำลังและ ‘สกิล’
“เดี๋ยวก่อน…นี่มันอะไรเนี่ย?”
คำถามใหม่เช่นเคย
“เอ๋?”
ผมรู้สึกว่ามีสิ่งของเล็ก ๆ ที่ไร้รูปร่างเข้ามาสู่กระแสเลือด
มันเหมือนกับมานาที่ไหลเวียนรอบวงแหวนมานาของผมอย่างมาก
แต่มันเป็นสิ่งที่ดั้งเดิมกว่านั้น
มันคือพละกำลัง
‘เราแข็งแรงขึ้นจริง ๆ’
ผมบอกไม่ได้อย่างแน่ชัดว่ามันต่างจากเดิมมากแค่ไหน แต่ผมก็รู้ว่าร่างกายตัวเองนั้นเบาขึ้น และผมก็มีพละกำลังเพิ่มขึ้น
ผมลุกขึ้นและลองต่อยและเตะอย่างเดิม และพบว่าผมทำมันได้ง่ายขึ้นและแม่นยำขึ้น
‘แรงที่ออกไปมันไม่เหมือนเดิม’
ความเร็ว แรงต้านอากาศ พลังทำลาย
ทุกปัจจัยให้ความรู้สึกที่ต่างจากเดิม
ใช่แล้ว
พลังกายของเขาเพิ่มขึ้นจริง ๆ
ถ้าเป็นแบบนั้นแล้ว แล้ว ‘สกิล’ ล่ะ?
ผมกลืนน้ำลายเบา ๆ และพูดออกมาเบา ๆ
“สกิล”