ตอนที่ 3
“อาจารย์…”
“อาการเป็นยังไงบ้าง?”
เป็นอาจารย์ไฮเดลนั่นเอง
เขากำลังมองผมด้วยสีหน้าซับซ้อน
การได้เห็นอาจารย์ทำหน้าแบบนี้แล้ว ผมก็พยายามสุดความสามารถที่จะตอบออกไปอย่างใจเย็น
“ไม่เป็นไรครับ”
“...โล่งอกไปที”
เขากระแอมราวกับจะปลดปล่อยความกระอักกระอ่วนและพูดบางอย่างออกมา
“อย่างแรกก็คือ เบน พอลท์ถูกไล่ออกจากโรงเรียนแล้ว”
เบน พอลท์
คนที่ผมซัดจมูกหัก
แล้วก็เป็นคนที่ร่ายเวทย์สายฟ้าใส่ผมอย่างกับคนบ้าด้วย
ลูกชายคนที่สองของบารอนพอลท์ เป็นที่รู้กันดีว่าเขาก้าวร้าวแค่ไหน
แต่เรื่องที่น่าตกใจที่สุดก็คือการถูกไล่ออกของเขา
“ไล่ออก?”
“ใช่แล้ว”
“เขาถูกไล่ออกทั้ง ๆ ที่อีกไม่ถึงปีจะเรียนจบเนี่ยนะ?”
“กฎของโรงเรียนถือเป็นที่สุด”
โรงเรียนเวทมนตร์อิกนิท
หนึ่งในโรงเรียนเวทมนตร์ที่ชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในอาณาจักร
ไม่ว่าจะเป็นขุนนางหรือสามัญชน นักเรียนจะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน
แน่นอนว่าการรังแกหรือการทะเลาะเบาะแว้งกันด้วยเหตุผลใดก็ตามนั้นเป็นสิ่งต้องห้าม
การต่อสู้เล็ก ๆ ที่ไม่ใช้เวทมนตร์ในระดับหนึ่งนั้นมักจะลงเอยด้วยการลงโทษจากคนระดับสูงของโรงเรียน
แต่เรื่องราวนั้นจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงถ้าหากมีเวทมนตร์มาเกี่ยวข้องด้วย
เพราะมันจะแสดงให้เห็นถึงเจตนาฆ่า การไล่ออกถือเป็นบทลงโทษสถานเบาแล้ว
“ถ้าอย่างนั้น…”
แต่เจ้านั่นจะต้องหาทางอะไรสักอย่างแน่
นั่นก็เพราะว่าตระกูลพอลท์นั้นเป็นส่วนหนึ่งของ ‘คณะราชวงศ์’ ที่ถือศูนย์กลางอำนาจในอาณาจักร
ต่อให้ถูกไล่ออกจากโรงเรียนอิกนิท พวกเขาก็ต้องหาทางออกอื่นในโรงเรียนอื่นได้แน่นอน
พวกเขามีอำนาจ
ปัญหาก็คือ…ตัวผมเอง
“เช่นเดียวกัน รูน นายเองก็หนีบทลงโทษไม่พ้นนะ”
อย่างที่คิดเลย
ผมเองก็หนีบทลงโทษไม่พ้นเช่นเดียวกัน
แม้ว่าหลัก ๆ แล้วเรื่องจะเกิดขึ้นเพราะเบน พอลท์ แต่คนที่เริ่มใช้กำลังก่อนก็คือตัวผม
‘ถ้าหากเราโดนไล่ออก…’
จะเกิดอะไรขึ้นกับเรากันนะ?
ความพยายามตลอดหลายปีที่ผ่านมาล่ะ?
ครอบครัวของผมไม่มีอำนาจพอที่จะหาโอกาสอื่นอย่างเบน พอลท์
นี่คงเป็นทางตันแล้ว
ผมข่มความวิตกกังวลที่ทำให้ตัวสั่นและพูดให้ใจเย็นที่สุด
“...ครับ บอกมาเถอะว่าบทลงโทษคืออะไร”
“บทลงโทษของนายคือ…ทำงานอาสาที่โรงเรียนเป็นเวลาหนึ่งเดือน”
“...หา?”
งานอาสา
ผมประหลาดใจที่บทลงโทษนั้นเบาจนไม่คาดคิด
“พวกเราได้ยินเรื่องการเลือกปฏิบัติและการดูถูกเหยียดหยามในตัวนายมาก่อน แล้วเราก็ได้ยินเรื่องที่เบน พอลท์กล้าดูถูกหัวหน้าตระกูลอาเดลด้วย”
“พอคิดดูในฐานะนายแล้ว นี่จึงเป็นบทลงโทษของนาย”
ราวกับว่าพายุได้พัดผ่านไป
บางทีผมก็รู้สึกว่าโรงเรียนเข้าใจผม
“บทลงโทษจะเริ่มในทันทีที่นายฟื้นฟูตัวเต็มที่แล้ว จนถึงตอนนั้นก็รีบรักษาตัวซะล่ะ”
“......ครับ”
บทสนทนาของเราจบลงแต่เพียงเท่านี้ แต่อาจารย์ไฮเดลก็ยังคงไม่ไปไหน
แม้ว่าเขาจะบอกเรื่องที่ผมจำเป็นต้องรู้จนหมดแล้ว แทนที่จะกลับไป เขาก็เดินไปที่เก้าอี้ถัดจากเตียงและนั่งใกล้ผม
จากนั้นเขาก็ถามอย่างจริงจัง
“ชั้นถามอะไรนายหน่อยได้ไหม?”
ผมพยักหน้าตอบรับ อาจารย์ไฮเดลลังเลอยู่หนึ่งวินาที จากนั้นจึงถาม
“หรือว่านายจะมี…‘อาติแฟกต์’ ?”
“อะไรนะครับ?”
อาติแฟกต์
อาวุธที่เหลือทิ้งไว้โดยจอมเวทย์เก่าแก่ อาวุธที่ควรจะมีมานาไร้ขีดจำกัดอยู่ภายใน
อุปกรณ์อันน่าสะพรึงกลัวที่ทำให้โลกสั่นคลอดและเปลี่ยนรากฐานของโลกได้
แต่มันก็แค่เรื่องเล่าอันว่างเปล่าที่เจอในหนังสือประวัติศาสตร์เท่านั้น
อาติแฟกต์ที่มีอยู่ในชีวิตจริงนั้นไม่ได้ใกล้เคียงกับพลังที่เขียนไว้ในประวัติศาสตร์และถูกนับว่าเป็นของวิเศษเท่านั้น
มันเป็นของวิเศษที่จะคงสภาพมานาของผู้ใช้ในระยะเวลาหนึ่งหรือไม่ก็ฝังเวทย์ถาวรพิเศษบางอย่างลงไป
จะนับว่ามันเป็นของเลียนแบบอาติแฟกต์ในตำนานก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็หาได้ยากมากและแพงอีกด้วย แพงจนถึงขั้นที่ขุนนางทั่วไปไม่มีทางได้ฝันว่าจะเป็นเจ้าของมัน
นั่นยังหมายถึงตระกูลของผมด้วย
“เห ไม่มีทางที่ผมจะมีอาติแฟกต์ได้หรอก…”
ตระกูลและพ่อของผมนั้นห่วงใยเรื่องของดินแดนเสียยิ่งกว่าอำนาจและเงินตรา
ของแพง ๆ อย่างอาติแฟกต์นั้นไม่คู่ควรกับพวกเราจริง ๆ
อาจารย์ไฮเดลเองก็รู้เรื่องนี้ดี
“จริงของนาย คงยากที่ตระกูลอาเดลจะมีอาติแฟกต์ได้”
“ทำไมถึงถามผมล่ะครับ?”
อาจารย์ไฮเดลตอบคำถามของผม
และเป็นคำตอบที่น่าตกใจด้วย
“ก่อนหน้านี้ ตอนที่นายล้มลงหลังจากโดนเวทย์สายฟ้า มีแสงประหลาดเปล่งประกายออกมาจากตัวนาย”
“ว่าไงนะ?”
“มันเป็นแสงสีแดง เหมือนกับมีอาติแฟกต์โบราณกำลังปกป้องนาย แสงสีแดงนั้นสะท้อนเวทย์ของเบน พอลท์ออกไป”
“เรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย…”
คำถามแรกก็คือเรื่องที่เขาพูดเป็นความจริงหรือไม่
แต่ผมรู้ว่าอาจารย์ไฮเดลไม่ใช่พวกที่พูดเล่นในสถานการณ์แบบนี้
‘เดี๋ยวก่อน’
สมองของผมเริ่มใช้ความคิดขึ้นเรื่อย ๆ
ผมจำได้ว่าฮีลเลอร์เฮเลนนั้นพูดถึงร่างกายที่ปกติจนผิดปกติของผม
และความฝันประหลาดของผม
ชายที่มีดวงตาสีแดง
และเสียงที่แตกต่างกันที่ได้ยิน
.
.
คุณคือดร้าก้าผู้ทำลายล้างโลกที่กลับมาเกิดใหม่
อาติแฟกต์ “ผู้เล่น” ทำงาน
ขีดจำกัดถูกยกเลิกผ่านหน้าต่างสถานะ
.
.
ผมส่ายหัว
นี่เราคิดอะไรอยู่กันเนี่ย?
มันก็แค่ความฝัน ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น
จู่ ๆ ก็พูดถึงเรื่องอาติแฟกต์…
ผมตอบกับอาจารย์ไฮเดลที่กำลังวิเคราะห์ตัวผมด้วยสายตาทิ่มแทง
“ผมไม่คิดว่าผมจะรู้เรื่องนะ”
“...ช่างเถอะ”
เขาพยักหน้าให้กับคำตอบก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้
จากนั้นเขาก็พูดเรื่องสุดท้าย
“ดีแล้วที่นายไม่ได้บาดเจ็บอะไร”
“ก็ไม่ได้เป็นอะไรนั่นแหละครับ”
ผมไม่ได้เป็นอะไรเลยหลังจากเจอกับเวทย์สายฟ้าเข้าจัง ๆ
อาจารย์ไฮเดลบอกว่าสถานการณ์ของผมแปลกมาก แต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรมากไปกว่านี้
“พักผ่อนเถอะ”
“ครับอาจารย์”
อาจารย์ไฮเดลออกจากห้องฟื้นฟู และผมก็เอนกายลงตามเดิม
ปึ้ก
“เฮ่อ”
ความกังวลเรื่องเหตุที่เกิดขึ้นกับบทลงโทษของผมนั้นลงน้อยลงไปเล็กน้อย แต่คำถามที่ตอบไม่ได้นั้นทำให้ความคิดของผมยุ่งเหยิง
อาติแฟกต์
ดราก้า ผู้ทำลายล้างโลก
แล้วก็ ‘ผู้เล่น’
คำที่ไม่คุ้นเคยกับคำที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับชีวิตของผมเล่นซ้ำอยู่ในหัว
ไม่ใช่แค่นั้น
‘คิดว่ายังมีอย่างอื่นอีกนะ…’
ผมนึกถึงคำพูดนั้นซ้ำ พึมพำอยู่แผ่วเบา
“หน้าต่างสถานะ?”
จากนั้นก็มีบางอย่างปรากฏขึ้นมาต่อหน้าต่อตา
.
.
“โว้ววว! อะไรเนี่ย?”
ผมตกใจจนเตะผ้าห่มตกจากเตียง
เฮเลนรีบเข้ามาถาม
“เธอเป็นอะไรรึเปล่า?”
“...เอ๋?”
“เธอหน้าซีดนะ เจ็บตรงไหนไหม?”
“เอ่อ…เปล่าครับ มันก็แค่…คุณไม่เห็นนี่เหรอ?”
ผมชี้ไปที่จอสีฟ้ากึ่งโปร่งใสตรงหน้า
มันเหมือนกับม่านพลังมานา มีข้อความเขียนไว้ตัวเล็ก ๆ
.
.
.
รูน อาเดล
ดราก้าผู้ทำลายล้างโลกที่กลับมาเกิดใหม่
ด้วยผลจากการตามหาพลังอันไร้สิ้นสุด จอมเวทย์ดราก้าดับสูญไปพร้อมกับโลกของเขา สำหรับดราก้าที่เกิดมาไร้พลังในการปลุกมานานั้น พละกำลังคือต้นกำเนิดพลังของเขา
ผู้เล่น : อาติแฟกต์ของดรากร้าที่สามารถอัญเชิญหน้าต่างสถานะ และเพิ่มพลังได้อย่างไร้ขีดจำกัดผ่านภารกิจ
Strength : 150 +++
Agility: 100
Wisdom: 1550
.
.
“ไอนี่น่ะ! ที่อยู่ตรงนี้!”
บอกตามตรง ใบหน้าของเฮเลนนั้นตอบออกมาได้ดีที่สุดแล้ว
“รูน แน่ใจนะว่าเธอไม่เป็นอะไร?”
“เอ๋?”
“มานี่หน่อยสิ ชั้นจะดูสมองของเธอ”
“?? ทำอะไรกับผมน่ะ??”
“อยู่นิ่ง ๆ ค่ะ”
เธอวางมือบนหัวของผมและส่งมานาออกมาเหมือนกับรักษาเด็กเวรที่น่าสงสาร
อา นี่เราบ้าไปแล้วงั้นเหรอ?
แต่ถึงอย่างนั้นเฮเลนก็เอียงคอด้วยความสับสน
“มันไม่ดูเหมือนว่าเธอบ้าไปแล้วเลยนะ”
“แน่ใจนะ? ผมไม่ได้บ้าใช่ไหม?”
“ไม่เลยล่ะ คนบ้าไม่คิดว่าตัวเองบ้าหรอก”
“ถ้างั้น นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย…”
มันไม่ใช่เรื่องของคนวิกลจริตอะไร
ต่อให้ผมขยี้ตา ผมก็ยังเห็นมันอย่างชัดเจน
อาจจะเป็นเพราะผมเห็นมันอยู่คนเดียว
เดี๋ยวสิ เราต้องยอมรับเรื่องนี้ง่าย ๆ งั้นเหรอ?
“เธอบอกว่าเธอมองเห็นอะไรนะ?”
ในตอนที่เฮเลนโบกมือ มือของเธอแล่นผ่าน ‘หน้าต่างสถานะ’ ไปอย่างชัดเจน
แบบนี้ก็ยืนยันได้แล้ว
มีแค่ผมที่มองเห็นหน้าต่างสถานะ
“เอ่อ ไม่มีอะไรครับ ดูเหมือนว่าผมจะคิดไปเอง”
“ก็แน่ล่ะสิ พักอีกซักหน่อยเถอะ เราต้องการให้เธออาการดีกว่านี้”
หลังจากเฮเลนเดินออกไปผมก็ไม่มีทางเลือกนอกจากยอมรับมัน
“นี่มันเรื่องจริง…”
.
.
.
รูน อาเดล
ดราก้าผู้ทำลายล้างโลกที่กลับมาเกิดใหม่
ด้วยผลจากการตามหาพลังอันไร้สิ้นสุด จอมเวทย์ดราก้าดับสูญไปพร้อมกับโลกของเขา สำหรับดราก้าที่เกิดมาไร้พลังในการปลุกมานานั้น พละกำลังคือต้นกำเนิดพลังของเขา
ผู้เล่น : อาติแฟกต์ของดรากร้าที่สามารถอัญเชิญหน้าต่างสถานะ และเพิ่มพลังได้อย่างไร้ขีดจำกัดผ่านภารกิจ
Strength : 150 +++
Agility: 100
Wisdom: 1550
.
.
อย่างแรกเลยนะ ผมไม่รู้ว่านี่คืออะไร
ผมพยายามจะคิดถึงเรื่องที่ผมเข้าใจก่อน
เรื่องแรกก็คือ
นี่อาจจะเป็นหนึ่งในอาติแฟกต์ในตำนานที่หายไปเนิ่นนานมาแล้ว
‘ผู้เล่น’ ควรจะเป็นชื่อของอาติแฟกต์ และทำให้ผมได้ ‘ภารกิจ’ ที่ทำให้ได้พลังไร้ขีดจำกัดมา
ต่อไป
มันเป็นส่วนที่น่าตกใจอยู่หน่อย ๆ
“ผู้ที่ไร้ความสามารถในการปลุกมานา…ดราก้า”
จอมเวทย์ดราก้าคนนี้ พิกลพิการเหมือนกับผม
อีกทั้งยังมีภาวะแบบเดียวกันด้วย
และเขา ด้วยสื่อกลางที่เรียกว่า ‘ภารกิจ’ เขาสามารถเพิ่มพลังและแข็งแกร่งกว่าเดิมได้
พลังอันไร้ขีดจำกัด
แข็งแกร่งจนทำลายทั้งตัวเขาเองและโลกของเขา
และสุดท้าย
.
.
“นี่…แทนสถานะตอนนี้ของเราหลังจากกลายเป็น ‘ผู้เล่น’ สินะ”
.
.
.
Strength : 150 +++
Agility: 100
Wisdom: 1550
.
.
.
พละกำลัง ความคล่องแคล่ว และปัญญา
ปัญญาที่สูงจนผิดปกตินั่นก็เพราะผมทุ่มเทตัวเองจากการศึกษาเวทมนตร์มาตลอดชีวิต
เครื่องสร้างแบบนี้เริ่มจะสมเหตุสมผลแล้ว
“อืม เราเข้าใจถึงตรงนี้แล้ว…”
แต่ในใจผมก็ไม่เข้าใจมันอยู่ดี
ผมได้แต่วิเคราะห์มันโดยใช้สมอง
ใช่แล้ว
เหตุการณ์ประหลาดที่แม้แต่ตัวผมเองก็ยากที่จะเชื่อว่ามันเกิดขึ้นกับตัวผม
พลังนี้ช่วยชีวิตผมเอาไว้
และอาติแฟกต์ของ ‘ดราก้า’ คนนี้ที่มีภาวะไร้ความสามารถในการปลุกมานาเช่นเดียวกับผม ได้ถ่ายทอดมาที่ตัวผม
ความฝันที่ผมฝันก่อนหน้านี้อาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย
บางดีชายที่มีดวงตาสีแดงคนนั้นอาจจะเป็นดราก้าก็ได้
แต่มันก็มีอีกคำถามทีสำคัญ
“ทำไมถึงเป็นเราล่ะ?”
.
.
โดยเฉพาะในตอนที่มีโอกาสตาย
‘เพราะเราเองก็ใช้เวทมนตร์ไม่ได้งั้นเหรอ?’
นี่เป็นเรื่องที่ผมหาคำตอบไม่ได้จนกว่าจะได้เจอกับ ‘ดราก้า’ โดยตรงและถามเขา
‘เดี๋ยวลองแล้วเราก็จะได้รู้เอง’
ผมปัดความคิดทิ้งไปและลุกขึ้นมา
ผมสังเกตเห็นและเพ่งมองตรงมุมเล็ก ๆ ของหน้าต่างสถานะที่เขียนว่า ‘ภารกิจ’
‘ไม่รู้เลยว่านั่นคืออะไรแฮะ…’
ผมรู้ว่ามันเป็นสื่อกลางที่จะเพิ่มพละกำลังของผม
ต่อให้ผมไม่รู้ว่ารายละเอียดมันคืออะไรก็เถอะ…
‘เราไม่มีอะไรจะเสียนี่นา’
ผมกลายเป็นจอมเวทย์ที่ล้มเหลวไปแล้ว
อนาคตของชีวิตในโรงเรียนเองก็เห็นอยู่ตรงหน้า
ผมจะสอบจบการศึกษาตกและต้องซ้ำชั้นต่อไปเรื่อย ๆ
ถ้าผมเรียนจบไม่ได้ ผมก็จะกลายเป็นผู้ช่วยจอมเวทย์ที่เก่งที่สุด หรือไม่ก็บรรณารักษ์ในหอคอยที่ผมจะต้องแก่ตายไปที่นั่น
บางทีผมอาจจะใช้ชีวิตโดยที่ไม่ได้ใกล้เคียงกับเวทมนตร์และตายอย่างเงียบ ๆ ในที่ไหนสักแห่ง
ผมไม่อยากจะเป็นแบบนั้นเลย
นี่จึงเป็นเหตุผล ที่แม้ว่ามันจะไร้ประโยชน์สักแค่ไหน ผมก็ไม่เคยยอมแพ้และยังอยู่ในโรงเรียน
‘พลังไร้ขีดจำกัด…’
ผมหลับตา ค่อย ๆ ลืมตาช้า ๆ และพูดเบา ๆ
“ภารกิจ!”
หน้าต่างประหลาดอีกหน้าต่างปรากฏตรงหน้า