บทที่ 23: ปล่อยวางและขัดแย้ง
ถังเจิ้นพลิกดูสมุดบันทึกในมือแล้วขีดเส้นทับรายการของที่ซื้อแล้ว
ครั้งนี้เขาวางแผนที่จะซื้อหลายอย่างมากเกินไป และถ้าเขาจะต้องไปเดินซื้อโดยอาศัยแค่ความจำเพียงอย่างเดียวย่อมต้องมีตกหล่นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นเขาเลยจดบันทึกรายชื่อสิ่งของที่ต้องการซื้อลงสมุดทีละอย่าง ๆ
ความจำดีแต่ไม่ดีเท่าปากกาห่วย ๆ
หลังจากมองดูจำนวนรายการว่าเหลืออีกแค่ไม่กี่อย่างแล้วถังเจิ้นก็ฉีกบันทึกนั้นออกแล้วจุดไฟเผาทิ้งไปเลย
หลังจากเอาเศษขี้เถ้ากดลงชักโครกไปแล้วเขาก็จะออกไปหาซื้อของที่ตลาด
ในความเป็นจริงถังเจิ้นไม่ได้มีกฎเกณฑ์ใด ๆ ในการเลือกซื้อสินค้า แค่ซื้อให้หลากหลายเข้าไว้เพื่อเช็คดูว่าอันไหนขายดีอันไหนลดราคา เผื่อว่าในอนาคตเวลามาซื้ออีกจะได้ซื้อถูก
ทันทีที่ถังเจิ้นเดินออกจากบ้านเขาก็เห็นผู้หญิงที่ตนตกหลุมรักยืนอยู่ข้างถนน
เป็นฟางอวี่เจี๋ยที่ถังเจิ้นแอบรักมานานหลายปี ผู้หญิงน่ารักข้างบ้านคนนั้นนั่นเอง
เธอทำให้เขาต้องอดใจสั่นขึ้นมาหน่อย ๆ ไม่ได้ บางทีอาจเป็นเพราะความรักที่ทำให้เมื่อใดที่เขาเห็นเธอเขาจะรู้สึกว่าเธอนั้นงดงามอยู่เสมอ
ตอนนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง อากาศเย็นเล็กน้อย ใบไม้สีเหลืองร่วงหล่นเป็นระยะ ๆ และถนนที่ทอดยาวออกไปให้บรรยากาศอันอ้างว้าง
ถังเจิ้นมองฟางอวี่เจี๋ยที่สวมเสื้อกันลมสีเบจด้วยสายตาลึกซึ้งและเดินไปอย่างเงียบ ๆ
ฟางอวี่เจี๋ยซึ่งกำลังรอรถบัสอยู่ข้างถนนเห็นถังเจิ้นก็ผงะเล็กน้อยในทันใด จากนั้นเธอก็เอ่ยทักทายเขาด้วยรอยยิ้มที่สดใส
“ไม่เจอกันนานเลยนะฉันถังเจิ้น!”
รอยยิ้มยังคงเหมือนดอกไม้บ่าน แต่ในสายตาของถังเจิ้นกลับมีความรู้สึกแปลกแยกและห่างเหิน
“อืมไม่เจอกันนานเลย เป็นไงบ้าง”
ถังเจิ้นยิ้มตอบด้วยแววตาอันสงบเหมือนน้ำนิ่ง
“ก็ดี แล้วเธอล่ะ?”
ฟางอวี่เจี๋ยรู้สึกว่าท่าทีของถังเจิ้นนั้นแปลกไปเล็กน้อย ดูเหมือนว่าทัศนคติที่เขามีต่อเธอจะแตกต่างจากเมื่อก่อน เธอเองก็ไม่ใช่คนโง่ย่อมมองอะไรบางอย่างออกได้ในทันที เธอจึงถอนหายใจอยู่ในใจโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าเปื้อนยิ้มที่แสดงออกอยู่
“สบายดี”
รอยยิ้มที่มุมปากของถังเจิ้นยกขึ้นบ่งบอกว่าเขาสบายดีสุด ๆ จริง ๆ
เรื่องราวที่ว่างเปล่าไม่ต่างจากน้ำดื่มธรรมดา ความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองนั้นธรรมดาเสียจนไม่อาจธรรมดาไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว
ถ้าได้มาก็ถือว่าโชคดี แต่ก็ไม่ใช่ต้องทิ้งชีวิตเพื่อได้มา บังคับอะไรก็ไม่ได้ แล้วจะให้มันมาพัวพันกับหัวใจไปทำไม!
หลังจากถอนหายใจเบา ๆ ในใจถังเจิ้นก็รู้สึกโล่งใจขึ้น แววตาอันล้ำลึกของเขาจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าเงียบ ๆ จากนั้นก็ยิ้มให้อีกฝ่ายพร้อมพูดกับเธอเบา ๆ ว่า “ลาก่อน!”
“เอ่อ... ลาก่อน...”
ฟางอวี่เจี๋ยตอบพร้อมดูร่างสูงตรงสง่าของเขาเดินหายไปที่สุดปลายถนน และเพราะอะไรไม่รู้กลับมีความวุ่นวายอย่างบอกไม่ถูกปะทุขึ้นในใจเธอ
เหมือนบางสิ่งที่สำคัญได้จากเธอไปแล้วตลอดกาล
ถังเจิ้นไปหาซื้อของที่ตลาดตามแผนทำให้ต้องยุ่งตลอดช่วงบ่าย แถมวันนี้เขามันจะอารมณ์ขุ่นมัวบ่อย ๆ ด้วย
ความเศร้าหมองนั้นมักมีเหตุผลที่มากระตุ้นให้มันเกิดมากกว่าหนึ่งอย่าง และฟางอวี่เจี๋ยก็เป็นหนึ่งในเหตุผลเหล่านั้น ส่วนเหตุผลอื่น ๆ ล้วนเป็นความลับทั้งหลายที่เขาปกปิดไว้ซึ่งมันทำให้จิตใจของเขาไม่ห่างออกจากสภาวะตึงเครียดและแรงกดดันที่ถาโถม ดังนั้นการถอนหายใจเลยไม่อาจทำให้เขาโล่งใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากนัก
เมื่อถังเจิ้นกำลังเดินอยู่บนถนนเขารู้สึกไวต่อสายตาที่จ้องมองมาที่ตนและมันมีความกลัวปะทุอยู่ในใจเสมอเนื่องจากกลัวว่าอีกฝ่ายจะรู้ความลับของตน
ในความเป็นจริงถังเจิ้นเองก็รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี แต่กลับไม่มีอะไรที่เขาทำได้เลย
หลังจากกินข้าวเย็นในร้านอาหารเล็ก ๆ แห่งหนึ่งแล้วถังเจิ้นก็ค่อย ๆ เดินไปตามทางช้า ๆ และไปเห็นย่านสถานบันเทิงที่พึ่งเปิดใหม่
ที่นี่มีการตกแต่งที่หรูหราและเปล่งประกายวิบ ๆ วับ ๆ มีหนุ่มหล่อสาวสวยเข้า ๆ ออก ๆ พร้อมเสียงหัวเราะคิกคักสนุกสนานให้ได้ยินเป็นระยะ ๆ
ความสุขในเสียงหัวเราะทำให้ถังเจิ้นตะลึงไปครู่หนึ่ง ลังเลอยู่พักใหญ่ ๆ เขาก็ตัดสินใจก้าวเข้าไปในร้านร้านหนึ่ง
ในร่มกับกลางแจ้งอย่างกับโลกคนละใบ!
ภายใต้แสงไฟสวย ๆ จังหวะดนตรีที่อึกทึกและก้องกังวาน มีเพียงที่นี่ตอนนี้เท่านั้นที่ผู้คนจะสามารถปลดปล่อยอารมณ์ที่ไม่สามารถปลดปล่อยได้ตามปกติออกมาได้เต็มที่ เพลงที่ทำให้ง่ายต่อการมึนเมาไปตามจังหวะจะโคนอันชวนแสดงให้เห็นด้านที่ดุร้ายของธรรมชาติมนุษย์อย่างเต็มเหนี่ยว
หลังจากยืนดูอยู่ที่หน้าประตูได้พักหนึ่งถังเจิ้นก็ตัดสินใจเดินเข้าไปต่อ
เขาสั่งเหล้ามาดื่มสองสามขวดโดยนั่งอยู่ที่โต๊ะตรงมุม ๆ
ถังเจิ้นค่อย ๆ ยกแก้วเหล้าดื่มไปดูชายหญิงหลากหลายรูปแบบบนฟลอร์เต้นรำไปด้วยความรู้สึกที่ว่าโลกของตนนั้นช่างห่างไกลจากคนเหล่านี้ซะเหลือเกิน
ขนของไปมาระหว่างสองโลก การต่อสู้ระหว่างความเป็นความตาย ประสบการณ์ในช่วงเวลานี้ก็เพียงพอที่จะเปลี่ยนคนได้อย่างสมบูรณ์แล้ว
นี่เป็นสิ่งที่ถังเจิ้นรู้สึกอยู่ตอนนี้
และบางทีอาจเป็นเพราะอารมณ์ไม่ดีมาตั้งแต่บ่ายแล้วก็เป็นได้ทำให้ถังเจิ้นกระดกเหล้าอย่างเร็ว จากนั้นไม่นานที่โต๊ะก็มีแต่ขวดเหล้าเรียงรายกันเต็มไปหมด และตอนนี้เขาก็เริ่มเมาขึ้นมาหน่อย ๆ แล้วด้วย
ทว่าเขาก็ไม่ได้ออกจากที่นี่แต่ยังสั่งพนักงานเสิร์ฟให้เอาเหล้ามาเพิ่ม
เมื่อเมาแล้วเหมือนได้คลายความกังวลที่มีอยู่เป็นพัน ๆ เรื่อง สงสัยเขาคงต้องหาเวลาเมาซะบ้างจริง ๆ นั่นแหละ
จากนั้นค่อยตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น ทิ้งทุกอย่างในอดีต แล้วออกไปต่อสู้เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นอย่างที่ต้องการ!
แต่ก็น่าเสียดายที่เรื่องราวมักไม่เป็นดังหวัง ทั้ง ๆ ที่ถังเจิ้นแค่อยากเมาแต่ปัญหาก็ยังวิ่งมาหาเขาอยู่ได้
ที่โต๊ะที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลมีชายหญิงกว่าสิบคนจับกลุ่มกันกระทำเรื่องไร้ยางอายจับนู่นล้วงนี่
ในหมู่พวกนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งแต่งหน้าหนา ๆ บังเอิญหันมาเห็นถังเจิ้นที่กำลังเมาอยู่พอดี แววตาที่เมาแล้วของหล่อนก็ฉายร่องรอยความเกลียดชังออกมาชัดเจนและจ้องถังเจิ้นอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ แก้มที่แดงสดเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์บิดเบี้ยวกระตุกยิก ๆ
จากนั้นหล่อนก็หันไปกระซิบอะไรกับพวกหนุ่มสาวข้าง ๆ แล้วพวกมันทั้งฝูงก็หันไปมองถังเจิ้นเป็นตาเดียวกัน
ในไม่ช้าก็มีไอ้หนุ่มสามตัวกับแม่สาวอีกสองนางลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะของถังเจิ้น
ในบรรดาคนทั้งห้านั้นมีชายกล้ามโตหัวโล้นรอยสักเต็มแขนสวมเสื้อกั๊กรัดรูปคนหนึ่ง มันนั่งลงเผชิญหน้าจ้องมองถังเจิ้น
ไอ้พวกที่เหลือก็ยิ้ม ๆ สายตาจับจ้องที่ถังเจิ้นด้วยความลุ้นอยากจะเพลิดเพลินกับการแสดง
ถังเจิ้นเปิดเปลือกตาขึ้นชำเลืองมองอีกฝ่าย จากนั้นก็หยิบขวดเหล้ากระดกเบา ๆ
เมื่อเห็นว่าถังเจิ้นไม่สนใจไอ้โล้นรอยสักก็สีหน้าเปลี่ยนและตะคอกเสียงแข็ง “ไอ่ห่านี่ทำเป็นไม่สนใจเหรอวะ!”
“หา... แล้วมึงเป็นใครวะ!”
ถังเจิ้นวางขวดเหล้าลงบนโต๊ะก่อนจะจับจ้องไอ้โล้นรอยสักพร้อมถามคำถามด้วยน้ำเสียงดูถูก
และน้ำเสียงนี้ทำให้ไอ้โล้นรอยสักรู้สึกระคายหูมันเลยลุกพรวดขึ้นแล้วเอื้อมมือเล็งไปจะบีบขอถังเจิ้น
ถังเจิ้นแค่โยกตัวเบา ๆ ก็หลบมันได้แล้ว จากนั้นก็ยิ้มเย้ยแล้วคว้าหลังคอมันด้วยมือเดียว
บัดนี้หลายสิ่งที่เก็บกดอยู่ในใจของเขามานานจู่ ๆ ก็ปะทุออกมาทำให้สีหน้าของเขาดูดุร้ายและน่ากลัวสุดขีด
เมื่อเห็นสิ่งนี้เพื่อน ๆ หลายคนของไอ้โล้นรอยสักก็รีบเข้ามาช่วย แต่ถังเจิ้นก็ใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่ผลักพวกมันกระเด็นแล้วลากคอไอ้โล้นรอยสักออกไปนอกร้าน
ไม่ว่ามันจะดิ้นรนไปพร้อม ๆ กับแหกปากสบถก่นด่าซักเพียงใดก็ไม่อาจหลุดออกจากเงื้อมมือมัจจุราชถังเจิ้นได้เลย แขนของเขาแข็งปานเหล็กหล่อทำให้ไอ้คนที่กำลังดิ้นรนอย่างเปล่าประโยชน์อยู่ในกำมือนั้นต้องรู้สึกหวาดกลัวจับขั้วหัวใจขึ้นมา
เพื่อน ๆ ของมันก็รีบวิ่งเข้ามาช่วยโดยพยายามจะหยุดถังเจิ้นให้ได้ แต่สุดท้ายก็ถูกเขาผลักร่วงไปก้นจ้ำเบ้าอยู่ที่พื้นทีละตัว ๆ
ถังเจิ้นเดินลากไอ้โล้นรอยสักไปตามทางได้หลายนาทีก่อนจะเข้าไปในตรอกเล็ก ๆ แห่งท่ามกลางเสียงแหกปากก่นด่าและการข่มขู่ว่าจะทำนู่นทำนี่กับเขาซึ่งแต่ละอย่างที่มันพูด ๆ มานั้นหาความมีมนุษยธรรมไม่เจอเลย
หนุ่มสาวมิตรสหายกว่าสิบคนรีบตามมาติด ๆ พ่วงด้วยจีนมุงอีกจำนวนไม่น้อย
ถังเจิ้นโยนไอ้โล้นรอยสักทิ้งลงพื้นข้าง ๆ ส้นเท้าพร้อมกับมองไอ้ฝูงนกกาสิบกว่าตัวที่แหกปากด่าเขาราวกับมองลูกไก่ที่ร้องเจี๊ยบ ๆ ฝูงหนึ่ง
“ไอ้...”
ไอ้หนุ่มผมสั้นตัวหนึ่งแหกปากด่าพลางวิ่งเข้ามาหาโดยมือก็เงื้อขวดเหล้าปาใส่ถังเจิ้นไปด้วย
แล้วก็มีอีกหลายตัวที่เมื่อเพื่อนเปิดแล้วตัวเองก็ตาม พวกมันเข้ามารุมถังเจิ้นพร้อม ๆ กันแต่ก็น่าเสียดายที่ก่อนจะได้ถึงตัวเขาไอ้ผมสั้นที่วิ่งนำหน้ามาก็โดนตีนเข้าไปเต็ม ๆ ตัวลอยสวนกลับทางเดิมพร้อมกับเสียงคร่ำครวญ
แม้ว่าอาการบาดเจ็บของถังเจิ้นจะยังไม่หายดี แต่ก็เขาก็ไม่ใช่คนที่ไอ้พวกอันธพาลทั้งหลายเหล่านี้จะสามารถแตะต้องได้ ยังไง ๆ เขาก็ยังสามารถระเบิดพลังทั้งหมดในร่างกายเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังจู่โจมที่รุนแรงจนสามารถทุบพวกมันเป็นก้อนเนื้อได้ในทีเดียวอยู่แล้ว
และทันทีที่การปะทะเริ่มขึ้นไอ้พวกอันธพาลก็ร่วงลงไปกองอยู่ที่พื้นกันทีละตัวสองตัว โอดโอยแน่นิ่งกันอย่างกับเป็นอัมพาตกะทันหัน
จากนั้นถังเจิ้นเหมือนกำลังระบายความเครียดเตะซ้ายต่อยขวา ตรงหน้าไม่มีใครเลยที่โดนมือโดนตีนแล้วยังยืนอยู่ได้ โดนปุ๊บก็ร่วงปั๊บทำให้พวกมันทั้งหมดต่างลงไปกองโอดโอยจะเป็นจะตายอยู่ที่พื้นในเวลาไม่ถึงนาที
ที่พวกมันยังคงโอดโอยได้อยู่นี่ก็เป็นผลมาจากการที่ถังเจิ้นควบคุมแรงเอาไว้ ไอ้พวกนี้อีกไม่นานก็คงฟื้นตัวได้ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ที่กองอยู่คงมีแต่ศพเกลื่อนกลาดไปแล้ว
ถังเจิ้นถอนหายใจมองร่างทั้งหลายที่ยังไม่หายแหกปากจากความเจ็บปวดมันก็ทำให้อารมณ์ของเขาผ่อนคลายมากขึ้น
แล้วถังเจิ้นก็เดินไปหาผู้หญิงคนหนึ่งอย่างช้า ๆ พร้อมกับมองเธอด้วยสายตาเย้ยหยัน
ภายใต้สายตาหลบ ๆ ของอีกฝ่าย ทันใดนั้นถังเจิ้นก็ยื่นมือออกไปบีบใบหน้าของอีกฝ่ายให้หันมามองตนแล้วพูดใส่หน้าหล่อนด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยว่า “หล่อนชื่อไรน้า... อ๊อ~ เสี่ยวฟางนิเอง จำได้ละ ๆ คราวหน้าคราวหลังอย่าได้ทำอีกล่า~ ไม่งั้นมึงก็อย่าหาว่ากูไม่มีเมตตา!”
“แล้วก็พาไอ้พวกห่านี่ไปโรงบาลด้วย!”
จากนั้นถังเจิ้นก็ผลักฝูงชนให้หลีกทางแล้วเดินออกไปด้วยรอยยิ้มมุมปากเบา ๆ
เช้าวันรุ่งขึ้นถังเจิ้นตื่นนอนขึ้นมา หลังจากที่นึกถึงเรื่องเมื่อคืนแล้วก็อดขำไม่ได้
ก่อนหน้านี้อยากจะทำตัวเนียน ๆ อย่างสุดหัวใจ แต่กลายเป็นเกิดเรื่องเพราะความเมา กลายเป็นว่าตอนนี้ต่อให้อยากเนียนแค่ไหนก็เนียนไม่ได้แล้ว
ก็ได้แต่หวังว่าไอ้พวกสารเลวนั่นมันจะไม่ก่อเรื่องให้ใหญ่โตอีกจนทำให้คนที่ขี้เสือกค้นพบความผิดปกติของเขา แต่ถังเจิ้นก็ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าไอ้หน้าไหนมันที่กล้าหาความลับของเขาเจอจริง ๆ ไอ้หน้านั้นมันจะต้องปากปิดไปตลอดกาล
ถังเจิ้นนวดขมับแล้วเอาน้ำเย็นมาล้างหน้า หลังจากนั้นก็ยืนลังเลอยู่พักหนึ่งสุดท้านก็หยิบมือถือขึ้นมาโทร
คนที่เขาโทรหาคือไอ้เจ้าซูเฟิง ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากบอกไอ้หมอนี่ที่จะขาวก็เอาจะดำก็ไม่เกี่ยง ถ้าไม่ได้มันช่วยไว้ในหลาย ๆ เรื่องคงเอาตัวไม่รอดจริง ๆ ด้วย
ขณะที่ถังเจิ้นโทรไปนั้นอีกฝ่ายกำลังเช็กโช้คของรถกับแม่สาวคนสวยอยู่ เมื่อโทรศัพท์ดังขึ้นไอ้สองคนนี่ก็กำลังเข้าจังหวะแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกกันพอดิบพอดี
แต่เมื่อเห็นว่าเป็นสายของถังเจิ้นซูเฟิงจึงรับสายอย่างสบาย ๆ “มีไรวะ กูไม่ว่างนะเว่ย!”
ถังเจิ้นถึงกับเม้มปากก่อนตอบ “เมื่อคืนนี้กูไปมีเรื่องแถวย่านบันเทิงที่พึ่งเปิดอะ ช่วยเช็กให้หน่อยดิถ้ามีไรผิดปกติก็จัดการให้ด้วย เรื่องเงินขอแค่บอก!”
“อ๊า~! ฝีมือมึงเองเหรอวะ! โคตรโหด! คนเดียวทืบไปแปด ไปหาแดกตีนเสือมาจากไหนวะมึง?”
เสียงปลายสายฝั่งซูเฟิงดังขึ้นอย่างดุดันอันธพาล ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงความประหลาดใจบวกเยาะเย้ย
ถังเจิ้นถอนหายใจเมื่อได้ยิน ‘บัดซบแท้ เรื่องกระจายเร็วเกิ๊น’
จากนั้นซูเฟิงก็หยุดพักแป๊บหนึ่งก่อนจะพูดต่อ
“ในบรรดาไอ้พวกกระเทียมดองมีลูกน้องกูปนอยู่ด้วย ไอ้หมอนี่มันชอบรังแกคนกากเชิดชูคนเก่ง ปกติถ้ากูโทรบอกให้ล่ะก็เรื่องเงียบชัวร์ แต่ไอ้ที่มึงทืบ ๆ ไปนั่นน่ะมีตัวนึงที่กระดูกหักและดันเป็นลูกรองหัวหน้าตำรวจประจำสน.ของเขตเมืองเรา แถมตระกูลของแม่งก็น่าจะมีอำนาจมากพอสมควรด้วย กูว่าไอ้นี่แหล่ะน่าจะตัวปัญหาทำให้เรื่องไม่เงียบ”
ถังเจิ้นตกตะลึงเมื่อเขาได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูด และยังมีลางสังหรณ์ในใจว่าเรื่องนี้ดูท่าอีกฝ่ายจะช่วยเขาไม่ไหวอีกด้วย