อารัมภบท (3)
ในเย็นวันศุกร์วันหนึ่ง ดีเร็กกำลังเตรียมตัวออกไปทำงาน
เขายังคงทำงานเป็น QA เพราะค่าจ้างมันดีมาก และแม้ว่าคาร์ลจะบอกว่าเขาแค่ต้องการจัดงานแต่งพิธีเล็ก ๆ แต่ดีเร็กก็มั่นใจว่าน้องชายของเขาจะต้องจ่ายเงินมากกว่าที่เขาวางแผนไว้อย่างน้อยก็สองเท่าอย่างแน่นอน
นั่นมันงานแต่งงานเชียวนะ จะจัดเล็ก ๆ ได้ยังไง งานมันก็ควรจะใหญ่โตหน่อยสิ
ดีเร็กกำลังจัดเสื้อของเขาในขณะที่สมาร์ทโฟนของเขาก็มีเสียงเพลง “Night on Bald Mountain” ดังขึ้น ซึ่งมันเป็นเสียงเรียกเข้าสำหรับหมายเลขที่ไม่รู้จัก
“นี่ดีเร็กแม็คคอย นั่นใครหรอ?”
“มิสเตอร์แม็คคอยนี่คือโรงพยาบาลเซนต์โจเซฟ” เสียงผู้หญิงปลายสายฟังดูเป็นกังวล และเมื่อคำว่า “โรงพยาบาล” จบลงความรู้สึกสั่นสะท้านก็ไหลลงไปตามกระดูกสันหลังของเขา
“คาร์ลแม็คคอยเป็นน้องชายของคุณหรือเปล่าคะ?” ดีเร็กเกือบจะได้ยินเสียงที่เธอจิกเล็บตัวเธอ
“ใช่เกิดอะไรขึ้น?”
“เขาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์และได้รับบาดเจ็บร้ายแรง คุณควรมาที่นี่โดยเร็วที่สุด แพทย์ต้องการตัวคุณเนื่องจากคุณเป็นผู้ได้รับมอบอำนาจของเขาในกรณีที่เขาหมดสติหรือไม่สามารถให้คำตัดสินใจกับแพทย์ได้”
“อุบัติเหตุทางรถยนต์?” ดีเร็กตะโกนขณะวิ่งออกจากประตูไปและมองหารถแท็กซี่
“พวกเราไม่มีรถของตัวด้วยซ้ำ! มันเกิดบ้าอะไรขึ้น?”
“ฉันต้องขอโทษด้วย ฉันไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่จะพูดได้ แต่แพทย์จะอธิบายกับคุณเอง...” ดีเร็กวางสายเธอไป เขาไม่มีเวลาสำหรับการพูดพล่ามไร้ประโยชน์เพราะเขาต้องการหารถแท็กซี่ให้ได้เร็วที่สุด
ทุกวินาทีที่รถติดเป็นเหมือนกับการถูกทรมาน และในที่สุดเมื่อเขาไปถึงมันก็สายไปแล้ว
ศัลยแพทย์และเจ้าหน้าที่ตำรวจอธิบายกับเขาว่าคาร์ลถูกชนด้วยพวกเมาแล้วขับ และคนร้ายก็ได้ขับรถหนีไปซึ่งในตอนนี้ตำรวจกำลังตามล่าเขาอยู่
คนแถวนั้นโทรเรียก 911 ทันที แต่เนื่องจากการจราจรที่ติดขัดเนื่องจากอุบัติเหตุ มันจึงใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าที่รถพยาบาลจะไปถึง
ดังนั้นเมื่อคาร์ลมาถึงโรงพยาบาลเขาก็อยู่ในสภาพวิกฤติแล้ว เขามีกระดูกหักหลายที่ ม้ามแตก และมีเลือดออกภายใน เขาจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดทันที
ดีเร็กถูกโทรหาในตอนที่คาร์ลพึ่งจะได้เข้าสู่ห้องผ่าตัด
พวกเขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยคาร์ล แต่คาร์ลก็เสียเลือดมากเกินไปดังนั้นจึงไม่มีอะไรที่พวกเขาสามารถทำได้ พวกเขาจึงได้แสดงความเสียใจกับดีเร็กแต่ในขณะนั้นดีเร็กไม่ได้ยินอะไรเลย
“ฉันขอเจอน้องชายของฉันหน่อยได้ไหม” เขาขอร้อง
ทั้งร่างของเขาถูกผ้าคลุมเอาไว้และเหลือเพียงศีรษะเท่านั้น ยังคงมีรอยคราบเลือดบนใบหน้าของน้องชายเขา
ดีเร็กให้เบอร์โทรศัพท์ของเขากับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อที่เขาจะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการสอบสวน แล้วหลังจากนั้นเขาก็กลับบ้าน
คนร้ายถูกจับได้อย่างรวดเร็วนี่ต้องขอบคุณกล้องจราจร มันกลับกลายเป็นว่าคนร้ายคือเด็กวัยรุ่นอายุสิบเจ็ดปีที่ขโมยรถพ่อของเขามาขับ ในตอนที่ตำรวจจับกุมเขาเขายังคงมีอาการเมาจากยาเสพติดอยู่เลย
ดีเร็กใช้เวลาหลายเดือนก่อนที่จะต้องมาพิจารณาคดีด้วยความปวดร้าว ไอ้เวรอัยการเขตได้ตัดสินใจที่จะดำเนินคดีกับเด็กนั่นในฐานะผู้เยาว์ และยิ่งไปกว่านั้นผู้พิพากษาส้นตีนนั่นก็แค่กักบริเวณเขาไว้ที่บ้านเท่านั้น ในขณะที่น้องชายเขานั้นต้องตายไปทั้งอย่างนั้นก็เพราะมัน
“พวกเขาตัดสินคดีกันแบบนี้ได้ยังไง?” ดีเร็กจะพูดเรื่องนี้อย่างมีอารมณ์ทุกครั้งที่มีคนเต็มใจฟังเขา
“ทำไมพวกเขาถึงพูดถึงสิทธิและอนาคตของไอ้เด็กเ*ี้ยนั่น? แล้วสิทธิของน้องชายของฉันล่ะ? แล้วอนาคตของเขาล่ะ? คาร์ลสูญเสียทุกสิ่งทั้งสิทธิและก็ทั้งอนาคตของเขา ทั้งหมดมันหายไปหมดเลยเพราะมัน! ในโลกนี้ยังมีความยุติธรรมอยู่อีกบ้างไหม?”
ดีเร็กไปโวยวายที่สำนักงานอัยการเขตหลายครั้งเพื่อเรียกร้องให้พวกเขาลงโทษขั้นสูงสุดให้ไอเด็กนั่น พวกเขามักอัธยาศัยดีและทำเป็นรับฟัง พวกเขาสัญญาว่าพวกเขาจะให้ความยุติธรรมที่คาร์ลสมควรได้รับ
แต่ในที่สุดเมื่อวันแห่งการพิจารณาคดีมาถึง โลกของดีเร็กก็ต้องพังทลายลงมาอีกครั้ง
อัยการเขตและทนายฝ่ายจำเลยได้มีข้อตกลงร่วมกันในข้อพิพาทครั้งนี้
เนื่องจากคริสเวนไรท์ที่เป็นฆาตกรยังคงเป็นผู้เยาว์และมันก็เป็นความผิดครั้งแรกของเขา เขาจะได้รับโทษให้ไปที่สถานพินิจและบำเพ็ญประโยชน์หกร้อยชั่วโมง
หากคริสทำการอบรมที่สถานพินิจสำเร็จและไม่ได้ก่ออาชญากรรมเพิ่มอีกในระหว่างสามปีข้างหน้า เขาก็จะได้กลับมาเป็นพลเมืองอิสระที่ไม่มีประวัติทางอาชญากรรมใด ๆ
ดีเร็กตะลึงเกินกว่าจะโกรธด้วยซ้ำ เมื่อการพิจารณาสิ้นสุดลงเขาก็เดินไปที่อัยการเขต และถามคำถามหนึ่งคำถามด้วยเสียงอู้อี้
“ทำไม?”
จากนั้นผู้ช่วยอัยการก็อธิบายกับดีเร็กด้วยน้ำเสียงที่ใจดีและอ่อนโยนว่าคริสเป็นเพียงเด็กจากครอบครัวที่ดี และเขาแค่ทำอะไรประมาทไปหน่อย
คริสมีอนาคตที่สดใสเขาจะได้เข้ามหาลัยชั้นนำของโลกและนี่ก็เป็นความผิดครั้งแรกของเขา นอกจากนี้พ่อแม่ของเขาก็ได้จ้างทนายฝีมือดี และผู้พิพากษาก็อาจจะไม่เต็มใจที่จะทำลายชีวิตของคริส
เขาไม่ได้คาดหวังอะไรกับคนพวกนี้อยู่แล้ว ดังนั้นดีเร็กจึงไม่ได้สร้างความวุ่นวายอะไร เขาเหนื่อยมากแล้วมันจึงไม่มีน้ำตาให้ไหลอีกต่อไป
ในเดือนต่อมาดีเร็กนั้นก็ใช้ชีวิตแบบให้ผ่าน ๆ ไป เขาทำกิจวัตรของเขาไปตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จิตใจของเขายังคงปฏิเสธความจริง เขาแค่อยากจะลืมทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา
สิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกว่าเขายังมีชีวิตอยู่ก็คืออาการปวดหัวอย่างต่อเนื่องที่เริ่มต้นหลังจากการตายของคาร์ล ตามที่หมอของเขาบอกมันเป็นอาการที่เกี่ยวข้องกับความเครียด และเนื่องจากทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันทำให้ดีเร็กต้องกินแอสไพรินและพาราเซตามอลเหมือนกับเป็นลูกอม
เมื่อเวลาผ่านไปอาการปวดหัวของเขาก็ไม่เคยหายไปไหนมันมีแต่จะแย่ลง และเมื่อดีเร็กไปตรวจสุขภาพเขาก็ต้องเจอกับข่าวร้าย
จากการสแกนร่างกายแบบเต็มร่างและจากการตรวจชิ้นเนื้อทำให้พบว่าเขาเป็นมะเร็งปอดระยะที่สอง
“แต่ทั้งชีวิตนี้ฉันไม่เคยสูบบุหรี่เลยนะ!” ดีเร็กอุทานด้วยความขบขันมากกว่าความหวาดกลัว
“ใช่แล้วมันแปลกมาก”หมอมอนโรผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้องอกวิทยาเองก็สับสนเช่นกัน
เธอเป็นผู้หญิงสเปนที่ดูดี เธอน่าจะแก่กว่าดีเร็กประมาณห้าปี ถ้าอยู่ในสถานการณ์อื่นเขาก็คงจะขอเบอร์เธอไปแล้ว
“คุณบอกว่าคุณทำงานให้กับบริษัทเคมีใช่ไหม?” ดีเร็กพยักหน้า
“มะเร็งที่ร้ายแรงแบบนี้มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นเองโดยธรรมชาติ ความเห็นส่วนตัวของฉันคือระบบระบายอากาศในโรงงานของพวกเขาทำงานผิดปกติ และมีแค่คุณกับพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่ามีคนจำนวนเท่าไหร่ที่สูดพิษเข้าไปในปอดมาซักพักหนึ่งแล้ว”
“แต่พวกเราสวมหน้ากากตลอดเวลาที่เราทำงานกับสารเคมีนะ ฉันทำตามโปรโตคอลความปลอดภัยของบริษัทอย่างเข้มงวด มันทำให้เพื่อนร่วมงานของฉันล้อฉันเรื่องนี้เสมอ!” ดีเร็กยังคงไม่เชื่อ
“ถ้าไม่อย่างนั้นหน้ากากอนามัยที่ใช้ก็อาจจะไม่ได้มาตรฐาน หรือบางทีอาจเป็นที่ห้องปฏิบัติการหรือคลังเก็บของที่อาจจะมีการรั่วไหลของสารเคมี องค์กรเฮงซวยพวกนี้มันสนแต่ผลกำไรเท่านั้นแหละ”
“ฉันจะไม่ประหลาดใจเลย ถ้าพวกเขาตัดงบประมาณด้านความปลอดภัยเพื่อให้มีเงินเข้ากระเป๋าของพวกเขามากขึ้น”
หมอมอนโรโกรธมาก แม้ว่าในตอนนี้ดีเร็กจะแข็งทื่อเหมือนวิญญาณออกจากร่างไปแล้วแต่เขาก็สามารถบอกได้ว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น
“หมอคุณมีอะไรยังไม่ได้บอกผมรึเปล่า?” เขาถามและสบตาเธอเป็นครั้งแรก
เธอขบริมฝีปากอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะตอบ
“ก็เหมือนกับที่คุณมาหาฉัน คุณไม่ใช่คนไข้รายแรกของฉันที่มาจากบริษัทของคุณ ฉันเคยรายงานเรื่องนี้ให้กับกรมอนามัยและรัฐบาลกลางไปแล้ว ถ้าฉันเป็นคุณฉันจะจ้างทนายความที่ดีที่สุดและฟ้องร้องบริษัทให้ล้มละลายไปเลยเพราะว่าคุณจะต้องใช้เงินจำนวนมากสำหรับการรักษา”
“ฉันเห็นด้วยกับการจ้างทนายความ แต่ฉันขอปฏิเสธที่จะทำการรักษา เดี๋ยวฉันค่อยกินยาไปตามอาการแล้วกัน”
หมอมอนโรกระโดดขึ้นมาจากเก้าอี้ของเธอ
“คุณรู้ไหมว่าถ้าคุณไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม คุณจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างมากที่สุดก็แค่หกเดือน? อย่างที่ฉันได้กล่าวไปมะเร็งของคุณมันร้ายแรงจริงๆ ดังนั้นถ้าหากเราต้องการเอาชนะมันเราก็ต้องรีบรักษาให้ได้โดยเร็วที่สุด”
ถึงแม้ว่าสถานการณ์ตอนนี้มันจะดราม่าอย่างกับละครน้ำเน่าแต่ดีเร็กกลับสังเกตเห็นว่าเธอพูดคำว่า “เรา” ซึ่งมันน่าตลกนิดหน่อย ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
“เราไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นเราก็ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นแหละก็แค่แยกกันไปทางใครทางมัน” ดีเร็กพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
“ฉันจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร? ฉันไม่มีทั้งครอบครัวและก็ไม่มีคนที่รัก ขี้เถ้าน้องชายคือทั้งหมดที่ฉันมี ฉันไม่มีอะไรให้ต้องกังวลอีกต่อไปแล้วดังนั้นฉันจะตายพรุ่งนี้เลยก็ได้!”
พวกเขาแยกทางกันไม่ดีนัก แต่เธอก็ยังให้เบอร์โทรศัพท์แก่เขาในกรณีที่เขาเปลี่ยนใจหรือแค่อยากจะหาคนมาพูดคุยด้วย จากนั้นดีเร็กก็โทรหาทนายความคนเก่าของเขาและอธิบายทุกอย่างให้เขาฟัง
แม้ว่าจะผ่านมาหลายปีแล้วก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังส่งการ์ดวันคริสต์มาสให้กันเสมอมา
ทนายความคนเก่าของเขามีผมสีเทามากกว่าเดิม แต่ฝีมือของเขาก็ยังไม่ตก
ดีเร็กหยุดทำงานและเริ่มใช้เงินของเขาโดยไม่สนใจอะไร เขาไปที่ร้านอาหารทั้งหมดที่เขาเคยอยากไป ซื้อสูทที่เขาเคยใฝ่ฝัน และกินอาหารโปรดของเขาในทุก ๆ เช้า กลางวัน และเย็น
ดีเร็กจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเล่นเกมบนพีซีเครื่องใหม่ของเขา และกลับไปยังสถานที่ที่มีความทรงจำระหว่างเขาและคาร์ล
หลังจากการวินิจฉัยยี่สิบสี่วันเขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้