บทที่ 953 (74) แผนที่ต้องเปลี่ยนแปลง(ตอนฟรี)
บทที่ 953 (74) แผนที่ต้องเปลี่ยนแปลง ฟรี
หลังจากนั้นจี้เฟิงยังคงมาที่โรงพยาบาลทุกวันเพื่อดูแลร่างกายของเซียวฉางเหอ และเนื่องจากการทำอย่างเดิมต่อเนื่องกันทุกอย่าง จึงทำให้ทักษะในการใช้พลังงานกระแสไฟฟ้าชีวภาพของจี้เฟิงพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วจนมีความเชี่ยวชาญในการใช้มันดูแลร่างกายของเซียวฉางเหอ และในที่สุดก็เกือบจะพูดได้ว่ามันมีประโยชน์
ภายใต้การทำงานของไฟฟ้าชีวภาพ ร่างกายของเซียวฉางเหอได้ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ในเวลา 2-3 วัน บาดแผลของเขาก็เกือบจะหายดีแล้ว แต่เนื่องจากบาดแผลอยู่ที่ศีรษะ แพทย์จึงไม่รีบที่จะเอาไหมเย็บออก แต่เซียวฉางเหอรู้สึกคันที่แผลแล้ว ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าแผลใกล้จะหายแล้ว
ระหว่างที่ทำการรักษาเซียวฉางเหอ จี้เฟิงอดคิดไม่ได้ว่าเขาควรจะให้ทุกคนได้เรียนรู้ยิมนาสติกดีหรือไม่?
ตอนนี้พ่อแม่ของเขาได้ฝึกยิมนาสติกอยู่แล้ว และครั้งล่าสุดที่จี้เฟิงกลับไปที่หยานจิงเมื่อช่วงเทศกาลตรุษจีน เขาสังเกตเห็นว่าผิวพรรณของพ่อกับแม่ของเขาดีมาก และพ่อของเขาก็ไม่ได้ดูเหนื่อยล้าเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ยิมนาสติกยังคงมีประสิทธิภาพมาก
อย่างไรก็ตาม ยังมีคนใกล้ชิดอีกหลายคนที่ยังไม่ได้รับการฝึกฝนยิมนาสติก อย่างพ่อแม่ของถงเล่ย พ่อแม่ของเซียวหยูซวนเป็นต้น
ดังนั้นจี้เฟิงจึงเริ่มคิดว่าพวกเขาควรจะฝึกฝนด้วยดีไหม? อย่างน้อยก็ให้พวกเขาทำเหมือนมันเป็นการออกกำลังกายปกติ ตราบใดที่พวกเขายังคงทำมันอย่างสม่ำเสมอ จะใช้เวลาอย่างมากก็หนึ่งปี จากนั้นจะเห็นผลที่ชัดเจนมาก
แน่นอนว่าสำหรับคนอายุเท่าจี้เจิ้นกั๋วขึ้นไป มันเป็นไปได้ยากที่จะฝึกยิมนาสติกชุดแรกให้สำเร็จภายในหนึ่งปีเหมือนจี้เฟิง
จี้เฟิงไม่ได้คาดหวังว่าจะให้พวกเขาเป็นยอดฝีมือด้านการต่อสู้ ขอแค่ให้พวกเขามีสุขภาพร่างกายที่ดี สามารถตอบสนองความต้องการส่วนตัวในชีวิตประจำวันของตัวเองได้ก็พอ
อย่างไรก็ตาม จี้เฟิงจะอธิบายอย่างไร และจะให้พวกเขาอดทนทำมันจนสำเร็จได้อย่างไร จี้เฟิงยังคงต้องคิดให้รอบคอบ
ท้ายที่สุดแล้ว การเคลื่อนไหวของยิมนาสติกนั้นค่อนข้างแปลกประหลาดมาก มันยากที่จะบอกว่าคนที่สุขุมอย่างอารองจะรับได้หรือไม่ ดังนั้นเรื่องแบบนี้จะเร่งรีบไม่ได้...
สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการดำเนินงานของ บริษัทยาฉางเหอและวิธีจัดการตำแหน่งของเซียวหยูซวน
“จี้เฟิง นายคิดว่าตอนนี้ฉันควรทำยังไงดี?” ภายในห้องชุดของห้องพักผู้ป่วยหนัก จี้เฟิงและเซียวหยูซวนกำลังนั่งอยู่บนโซฟา และเซียวหยูซวนก็อดไม่ได้ที่จะถามด้วยเสียงต่ำ ในขณะที่นางเซียวกำลังป้อนอาหารเซียวฉางเหออยู่ข้างใน
จี้เฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ฉันคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ไม่ใช่ปัญหาของเธอ แต่เป็นปัญหาของบริษัทยาฉางเหอ... มันสามารถรักษาสภาพนี้ไว้ได้อีกนานแค่ไหน”
ตอนนี้เซียวฉางเหอป่วยและเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และบริษัทยาฉางเหออาจกล่าวได้ว่าไร้ซึ่งผู้นำ หรืออีกนัยหนึ่งคือไม่มีใครรับผิดชอบสถานการณ์โดยรวมและไม่มีใครตัดสินใจเรื่องสำคัญ จะมีก็แต่ผู้จัดการทั่วไปหลินเซิงผิงเพียงคนเดียวเท่านั้นที่คอยดำเนินงานภายในบริษัท
อย่างไรก็ตามหลินเซิงผิงคนเดียวไม่เพียงพอ ตำแหน่งของเขาก็เป็นเพียงผู้จัดการทั่วไปเท่านั้น บริษัทยังคงต้องการอำนาจการตัดสินใจจากผู้นำ ตัวอย่างเช่น หลังจากการเจรจาธุรกิจจะต้องมีการลงนามเกี่ยวกับข้อตกลงกับโรงงานหรือบริษัทยาอื่นๆ จะต้องมีลายเซ็นและตราประทับของเซียวฉางเหอ ก่อนที่ฝ่ายการเงินจะอนุมัติค่าใช้จ่ายต่างๆ และนี่คือสิ่งที่หลินเซิงผิงไม่สามารถทำได้ หรือต่อให้เขามีอำนาจมากพอ แต่เขาก็ไม่ใช่พระเจ้าที่สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ด้วยตัวคนเดียว
สิ่งที่หลินเซิงผิงสามารถทำได้คือการขยายธุรกิจให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเปิดช่องทางการขายเพิ่ม สร้างเครือข่ายของเขาเอง หรือใช้วิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ของเขาเพื่อแข่งขันกับตัวแทนยาเจ้าอื่นๆ และการกระทำเหล่านี้จะเกี่ยวข้องกับการเงิน ดังนั้นเขาจึงทำอะไรไม่ถูก
สรุปแล้ว บริษัทยาฉางเหอจะไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้หากขาดเซียวฉางเหอ
ในช่วงเวลาที่เซียวฉางเหอรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล หลินเซิงผิงก็มาเยี่ยมเซียวฉางเหอเช่นกัน แต่เนื่องจากงานที่บริษัทยุ่งมาก เขาจึงมาแค่สองครั้ง หลังจากที่มาเขาก็นั่งพักเพียงครู่เดียวและรีบจากไป
แน่นอนว่าในแง่หนึ่งที่เขามาเยี่ยมเซียวฉางเหอมันเป็นเรื่องของมารยาทของคนรู้จักใกล้ชิดที่ควรพึงกระทำ แต่ในอีกแง่หนึ่ง เขาต้องการขอคำแนะนำเกี่ยวกับการตัดสินใจบางอย่างภายในบริษัท
เซียวฉางเหอเองก็ตระหนักถึงความเร่งด่วนในเรื่องนี้ แต่นางเซียวได้ออกคำสั่งเด็ดขาดว่าก่อนที่เขาจะออกจากโรงพยาบาล เขาจะต้องไม่ทำงาน ไม่แม้แต่จะอ่านเอกสารใดๆ สิ่งที่เขาต้องทำมีเพียงอย่างเดียวคือพักผ่อนให้ได้มากที่สุด
ในความเป็นจริง อาการเจ็บป่วยของเซียวฉางเหอในครั้งนี้ทำให้นางเซียวตกใจมาก แม้แต่คนที่ไม่มีความรู้ทางด้านการแพทย์ ก็รู้สึกได้ว่าอาการเลือดคั่งในสมองไม่ใช่เรื่องเล็กๆ
โชคดีที่เขาได้รับการช่วยเหลือได้ทันเวลา ไม่เช่นนั้น ถ้าไม่ตาย อย่างน้อยก็ต้องเป็นอัมพาตครึ่งซีก ปากเบี้ยวตาเหล่ และตอนนั้นคงลำบากมาก
ดังนั้นนางเซียวจึงจ้องมองไปที่เซียวฉางเหอแทบตลอดเวลา และคอยย้ำเตือนกับลูกสาวของเธอกับหลินเซิงผิงซ้ำๆว่าอย่าให้เซียวฉางเหอแตะต้องกิจการของบริษัท อย่างน้อยเขาจะต้องไม่เริ่มทำงานจนกว่าเขาจะหายดี
“แล้วนายคิดว่ามันจะมีปัญหาอะไรมั้ยถ้าฉันไปทำงานที่บริษัทยาฉางเหอ” เซียวหยูซวนถามขึ้นทันควัน “ฉันเรียนหลักสูตร MBA มาแล้ว เรื่องการจัดการธุรกิจก็พอรู้อยู่บ้างนิดหน่อย นายคิดเห็นยังไง?”
จี้เฟิงพยักหน้าและพูดว่า “ไม่น่ามีปัญหาอะไรนะ ยังไงที่บริษัทยาฉางเหอก็ยังมีหลินเซิงผิงอยู่ เธอแค่ต้องเรียนรู้ในการพัฒนาบริษัทจากมุมมองเชิงพาณิชย์ นั่นจะทำให้เธอทำและตัดสินใจในสิ่งที่ถูกต้องได้โดยธรรมชาติ”
“คุณเห็นด้วยกับข้อเสนอของฉันเหรอ?” ดวงตาของเซียวหยูซวนเป็นประกายทันที “พูดตามตรง ฉันไม่มีความมั่นใจเลย”
แม้ว่าเธอจะเรียนหลักสูตร MBA มา แต่เธอก็เพิ่งจะเริ่มเรียนได้ไม่กี่เดือน และยังไม่มีประสบการณ์ในการปฏิบัติงานจริงเลย ดังนั้นมันจึงค่อนข้างยากสำหรับเธอที่จะรับช่วงต่อในสถานการณ์เช่นนี้
จี้เฟิงยิ้มและพูดว่า “ไม่มีใครเก่งแต่เกิด และไม่มีใครพร้อมร้อยเปอร์เซ็นต์ในสิ่งที่ไม่เคยทำหรอก แค่ค่อยๆเรียนรู้ไป กำไรจากการขายคังหยวนสลิมมิ่งพาวเดอร์เพียงอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะสนับสนุนการดำเนินงานของบริษัทยาฉางเหอ ดังนั้นเธอก็ใช้เรื่องอื่นๆฝึกไปได้เลยโดยไม่ต้องกังวล!”
บริษัทยาฉางเหอได้รับสิทธิ์ตัวแทนของคังหยวนสลิมมิ่งพาวเดอร์ในเจียงโจว ที่นี่คือมหานครที่มีประชากรหลายสิบล้านคน และปริมาณยอดขายต่อวันก็เป็นตัวเลขที่ชวนประหลาดใจ
หากคุณต้องการใช้สิ่งนี้เพื่อสนับสนุนบริษัทที่ไม่ใหญ่จนเกินไป ไม่มีอะไรง่ายไปกว่านี้อีกแล้ว
“ฉันจะทำอย่างนั้นได้ยังไง!” เซียวหยูซวนกลอกตาไปที่จี้เฟิง “พ่อของฉันกับผู้จัดการหลินต่อสู้กันมาขนาดไหนกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ดังนั้นฉันจะไม่ทำให้ผลงานของพวกเขาสูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์แน่!”
“ขอฉันคิดก่อนนะ...”
จี้เฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็พูดว่า “ในช่วงที่ลุงเซียวพักฟื้น เธอควรรับตำแหน่งของลุงเซียวไปก่อนชั่วคราว และทำความคุ้นเคยกับสถานการณ์ของบริษัทไปด้วย และหลังจากที่ลุงเซียวออกจากโรงพยาบาลแล้ว เขาก็จะได้ชี้แนะเธอได้ง่ายขึ้น แล้วหลังจากนั้นเธอจะรับช่วงต่อหรือไม่ก็ค่อยว่ากันอีกที”
“อืม วิธีที่นายพูดไม่เลว เอาไว้ฉันจะลองไปถามพ่อดู...”
เซียวหยูซวนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “เดิมทีฉันก็วางแผนเอาไว้ว่าจะรับช่วงต่อจากพ่อหลังจากที่ฉันเรียนจบหลักสูตร ไปเรียนรู้กับพ่อเป็นระยะเวลาหนึ่ง แต่ฉันไม่ได้คาดคิดว่าแผนจะใช้การไม่ได้ ก็เลยไม่ได้คิดแผนสำรองเอาไว้...”
จี้เฟิงเองก็ไม่คาดคิดว่าอาการป่วยของเซียวฉางเหอจะผลักดันให้เซียวหยูซวนลงสนามเร็วขนาดนี้เช่นกัน
ในขั้นต้น เมื่อเขาเห็นว่าเซียวหยูซวนลาออกจากการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยแล้ว เขากลัวว่าเธอจะเบื่อ เลยตั้งใจจะให้เธอไปที่โรงงานเซียวเพื่อศึกษางานกับซูหยวนเป็นระยะเวลาหนึ่ง จากนั้นจึงจัดการให้เซียวหยูซวนและซูหยวนดูแลจัดการโรงงานเซียวร่วมกัน
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเซียวหยูซวนควรไปที่บริษัทยาฉางเหอก่อน เพราะสถานการณ์ทางนั้นเร่งด่วนกว่าอย่างเห็นได้ชัด
‘เฮ้อ.. ตอนนี้ขาดแคลนบุคลากรที่มีความสามารถจริงๆ’ จี้เฟิงเกาหัวอย่างช่วยไม่ได้ มีคนไม่มากนักที่เหมาะกับการบริหารบริษัท อย่างน้อยในบรรดาคนที่เขารู้จักก็มีไม่กี่คนที่สามารถควบคุมดูแลสถานการณ์โดยรวมได้
หลังจากครุ่นคิดพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว ก็เหลือเพียงสองคนเท่านั้นที่มีประสบการณ์และความสามารถ นั่นก็คือซูหยวนและฮั่นจง
สำหรับหยางเต๋อจ้าว เขาอายุมากแล้ว และเนื่องจากอายุและสุขภาพของเขา หยางเต๋อจ้าวถึงได้โอนย้ายโรงงานมาเป็นของจี้เฟิง และตอนนี้เขาเป็นแค่ส่วนเสริมในโรงงานเท่านั้น ผู้ที่ดูแลรับผิดชอบจริงๆคือซูหยวน
“อย่างที่เราคุยกันนั่นแหละ เธอไปที่บริษัทเพื่อทำความคุ้นเคยก่อน แล้วฉันจะลองหาคนมาช่วยเธอ” จี้เฟิงยิ้ม
หลินเซิงผิงก็เป็นอีกคนที่มีความสามารถอย่างไม่ต้องสงสัย แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะเก่งรอบด้าน แต่พลังงานของเขาก็มีขีดจำกัด เขาคนเดียวไม่สามารถทำทุกอย่างได้ ดังนั้นการสรรหาบุคลากรที่มีความสามารถที่เหมาะสมถึงจะช่วยให้การพัฒนาบริษัทให้เจริญรุ่งเรืองได้อย่างมั่นคง และด้วยวิธีนี้จะไม่ทำให้ทุกคนเหนื่อยจนเกินไป
อย่างไรก็ตาม จี้เฟิงได้บอกให้ซูหยวนและฮั่นจงช่วยสรรหาบุคลากรที่มีความสามารถแล้ว แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่บรรลุผลมากนัก มันไม่ง่ายเลยที่จะหาผู้ที่มีความสามารถที่ตรงใจและเหมาะสม ไม่อย่างนั้นจี้เฟิงคงไม่ต้องมานั่งเครียดอยู่แบบนี้
“นั่นเป็นวิธีเดียวที่ฉันทำได้ในตอนนี้” เซียวหยูซวนพยักหน้า เธอไม่มีความมั่นใจเลยว่าจะสามารถบริหารบริษัทยาฉางเหอได้ดีหรือไม่
...........
หลังอาหารกลางวัน นางเซียวยังคงอยู่ในโรงพยาบาลเพื่อคอยดูแลเซียวฉางเหอ ส่วนเซียวหยูซวนและเสี่ยวอิงยังคงไปเรียน
จี้เฟิงใช้ช่วงเวลานี้ไปที่บริษัทเถิงเฟย เขาได้นัดหมายกับฮั่นจงไว้เมื่อไม่กี่วันก่อน เขาต้องการหาโอกาสที่จะได้คุยกับฮั่นจงจริงๆจังๆ
เมื่อจี้เฟิงเดินเข้าไปยังโรงงานผลิตยาเถิงเฟยอีกครั้ง จี้เฟิงรู้สึกเหมือนเดินเข้ามายังสวนอุตสาหกรรม
เมื่อมองเข้าไปใกล้ๆ จะเห็นว่ามีอาคารของโรงงานอยู่สองแถวจากทางซ้ายและขวา ซึ่งทั้งหมดนี้รวมกันแล้วมีเวิร์กช็อปการผลิตหกสิบหรือเจ็ดสิบแห่ง และนี่ไม่รวมโกดัง โรงรถฯลฯ
หากคุณรวมทั้งหมดเข้าด้วยกัน พื้นที่ของโรงงานยาเถิงเฟยนั้นกว้างใหญ่มาก ถือได้ว่าเป็นโรงงานขนาดใหญ่ได้เลย!
ในความเป็นจริง จี้เฟิงมีตัวเลขที่แน่นอนอยู่ในมืออยู่แล้ว รวมที่ดินทั้งหมดในโรงงานเถิงเฟยเข้าด้วยกัน มันครอบคลุมพื้นที่หนึ่งถึงสองร้อยเอเคอร์ มันเป็นโรงงานขนาดใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย!
และถ้าหากนับพื้นที่เปิดโล่งที่ไม่ได้ใช้งานในพื้นที่โดยรอบ มันจะมีมากกว่านี้!
“ฮั่นจง ดูเหมือนว่าการพัฒนาของโรงงานผลิตยาในปีนี้จะเร็วใช่เล่นเลย!” จี้เฟิงมองดูรายงานในมือของเขาและพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “หนุ่มน้อย นายทำงานได้ยอดเยี่ยมมากจริงๆ!”
“ทั้งหมดอยู่ภายใต้การนำอันชาญฉลาดของท่านประธานยังไงล่ะครับ ผมมีส่วนร่วมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น...” ฮั่นจงกล่าวอย่างสุภาพ
และทั้งสองก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน “ฮ่าๆๆๆ~!”
“โอเคๆ ไม่พูดเล่นแล้ว!”
จี้เฟิงยิ้มพร้อมกับโบกมือ จากนั้นก็พูดว่า “ที่ฉันมาที่นี่ในวันนี้ก็เพื่อจะมาเรียนรู้จากนาย!”
ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับฮั่นจงนั้นแตกต่างจากผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชาคนอื่นๆ ทั้งสองเป็นเพื่อนที่ดี ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องตั้งแง่ของความเป็นผู้นำหรือไม่เป็นผู้นำ และคำเยินยอของฮั่นจงเป็นเรื่องตลกโดยธรรมชาติ
“เรียนรู้เรื่องอะไร?” ฮั่นจงถาม
“ฉันอยากให้นายถ่ายทอดความสามารถบางอย่าง และนำมันไปใช้ที่โรงงานเซียวกับบริษัทฉางเหอของหยูซวน ที่นั่นขาดแคลนบุคลากรที่มีความสามารถ” จี้เฟิงกล่าว
....จบบทที่ 953 ~