ตอนที่ 91: บรรณารักษ์
ตอนที่ 91: บรรณารักษ์
ห้องในชั้นใต้ดินนี้ไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนัก โดยมันมีแสงสีขาวส่องสว่างภายในห้องเหมือนกับตอนกลางวันและมีตู้กระจกใสวางอยู่กลางห้อง
เซี่ยเฟยเดินเข้าไปมองผ่านกระจกใสที่มีความแข็งแรงที่สูงมาก
ในตู้กระจกมีหนังสืออยู่เพียงแค่เล่มเดียว แต่หนังสือเล่มนี้ถูกห่อเอาไว้ด้วยหนังสัตว์ที่มีความหนามากกว่า 10 เซนติเมตร
ปกหนังสัตว์ด้านนอกเสื่อมสภาพมานานแล้วและมันก็มีพื้นที่หลาย ๆ แห่งที่ได้รับความเสียหาย แต่กระดาษที่อยู่ด้านในยังคงดูมีสภาพดี
เมื่อเซี่ยเฟยได้เห็นชื่อของหนังสือโบราณเล่มนี้มันก็ทำให้เขาอ้าปากกว้างขึ้นมาด้วยความตกใจ แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะพูดอะไรออกมาได้เลย
จู่ ๆ อันธที่มักจะซ่อนตัวอยู่ในสร้อยก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างฉับพลันทั้ง ๆ ที่โดยปกติวิญญาณตนนี้จะอยู่ในสร้อยตลอดเวลาเว้นแต่ว่าเซี่ยเฟยจะได้พบอะไรใหม่ ๆ วิญญาณตนนี้ถึงจะปรากฏตัวขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น
“ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการเข้ารหัสหุ่นยนต์!” อันธอ่านชื่อหนังสือทีละคำด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
ทั้งเซี่ยเฟยและอันธต่างก็รู้สึกตื่นเต้นเกินกว่าที่พวกเขาจะพูดออกมาได้ ซึ่งหลังจากนั้นหนึ่งคนหนึ่งวิญญาณก็จ้องหน้ากันเป็นเวลานาน
“โอ้พระเจ้า! นี่มันหนังสือจากอารยธรรมโบราณที่บันทึกการเขียนโค้ดให้พวกหุ่นยนต์” อันธกล่าวอย่างตื่นเต้น
อารยธรรมโบราณเป็นอารยธรรมที่สูญสลายไปเป็นเวลานานแล้ว มันจึงทำให้สิ่งของทุกอย่างที่หลงเหลือมาถึงปัจจุบันต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ล้ำค่า และมันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดถึงหนังสือเล่มนี้ที่เป็นหนังสือเกี่ยวกับการเข้ารหัสหุ่นยนต์!
ถึงแม้เทคโนโลยีในปัจจุบันจะสามารถผลิตหุ่นยนต์ขึ้นมาได้ แต่หุ่นยนต์เหล่านั้นก็ยังไม่สามารถนำไปเทียบกับหุ่นยนต์ในอารยธรรมโบราณได้เลย
ในปัจจุบันทางพันธมิตรได้ใช้ระบบ AI อัจฉริยะมาจับคู่กับสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ อย่างมากมาย เช่น คอมพิวเตอร์อัจฉริยะที่คอยเปิดระบบนำทางอัตโนมัติให้กับยานอวกาศ
แต่ AI พวกนี้ก็เป็นเพียงแค่ปัญญาประดิษฐ์ระดับพื้นฐานที่ยังห่างไกลจาก AI ในยุคโบราณอยู่ดี โดยความแตกต่างที่เห็นได้ชัดที่สุดนั่นก็คือ AI ในยุคโบราณเป็น AI ที่สามารถแสดงความรู้สึกออกมาได้
หุ่นยนต์ที่ติดตั้ง AI ในยุคโบราณมีความคิดความอ่านคล้ายกับมนุษย์ เพราะไม่เพียงแต่พวกมันจะรู้สึกมีความสุขหรือความเศร้าได้เท่านั้น แต่พวกมันยังมีความเชื่อเป็นของตัวเองอีกด้วย
สิ่งเดียวที่ทำให้พวกมันมีความแตกต่างจากมนุษย์คือร่างกายของพวกมันเป็นเครื่องจักร แต่ไม่ว่าจะเป็นสติปัญญา, ความแข็งแกร่งหรือความกล้าหาญ พวกมันต่างก็ล้วนแล้วแต่มีดีกว่ามนุษย์ทั้งหมด
หนังสือเล่มนี้ได้บันทึกความรู้เกี่ยวกับการเข้ารหัสหุ่นยนต์ ซึ่งเซี่ยเฟยสันนิษฐานว่ามันน่าจะเป็นโมเดลของ AI ในตำนาน!
AI ในยุคโบราณเป็นเทคโนโลยีระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์และมูลค่าของมันก็ไม่สามารถนำมาวัดค่าได้ด้วยเงิน!!
“ทำไมหนังสือที่มีค่าขนาดนี้ถึงถูกเก็บเอาไว้ในห้องชั้นใต้ดินของห้องสมุด? เป็นไปได้ไหมว่าห้องสมุดนี่ได้ซ่อนความลับอะไรเอาไว้? ถ้าหากว่ามันมีความลับแล้วทำไมคุณตาฉินหมางถึงให้ฉันเข้ามาในห้องนี้?” เซี่ยเฟยพยายามคิดทบทวนสถานการณ์
ในที่สุดเซี่ยเฟยก็ตัดสินใจเก็บเรื่องนี้เอาไว้ก่อน หลังจากนั้นเขาก็หยิบถุงอาหารแมวจากตรงบริเวณมุมห้องก่อนที่จะเดินออกจากห้องเพื่อกลับไปยังชั้นบน
ระหว่างทางชายหนุ่มพยายามสูดลมหายใจลึก ๆ เพื่อระงับความตื่นเต้นและเดินขึ้นไปจากชั้นใต้ดินพร้อมอาหารแมว
หลังจากพูดคุยกับฉินหมางสักพักเซี่ยเฟยก็หาข้ออ้างเพื่อเดินออกไปจากห้องสมุด แต่ก่อนจะจากไปเขาก็ได้หันกลับมามองแผ่นป้ายประกาศรับสมัครบรรณารักษ์อีกครั้ง
“นายคงไม่คิดจะสมัครมาเป็นบรรณารักษ์จริง ๆ ใช่ไหม? อย่าลืมนะว่านายต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนกว่าจะเข้ามาในค่ายนี้ได้” อันธกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
แม้จะได้ยินคำถามแต่เซี่ยเฟยก็ยังไม่พูดอะไรโดยเขาได้ใช้ความคิดไปตลอดทาง
หลังจากเดินไปเรื่อย ๆ ชายหนุ่มก็เดินไปที่ถนนสายหลักที่นักเรียนภายในค่ายใช้ในการสัญจรไปมา จากนั้นชายหนุ่มก็หยุดเดินพร้อมกับชี้นิ้วไปที่เหล่านักเรียนที่กำลังขี่รูเล็ตหรือเดินผ่านหน้าของเขาไป
“อันธนายเห็นอะไร”
“ก็แค่นักเรียนธรรมดาไม่ใช่หรอ?” อันธกล่าวหลังจากมองไปยังทิศทางที่เซี่ยเฟยชี้อยู่ครู่หนึ่ง
“ลองดูให้ดี ๆ” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับส่ายหัว
“ดูยังไงก็แค่นักเรียนธรรมดา มีบางคนเป็นผู้ชาย, บางคนเป็นผู้หญิง, บางคนอ้วน, บางคนผอม มีอะไรแปลกกว่านี้อีก?” อันธตอบ
“นายไม่คิดว่าคนพวกนี้เหมือน ๆ กันหมดเลยหรือยังไง ในค่ายฝึกมีนักเรียนทั้งหมด 50,000 คน ถ้าฉันเข้าร่วมกับแผนกย่อยมันก็เหมือนกับฉันได้เลือกเส้นทางที่มีผู้คนนับไม่ถ้วนกำลังเดินอยู่เคียงข้างฉัน”
“ถ้าเป็นแบบนี้มันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันกำลังเดินซ้ำเส้นทางที่คนอื่นเคยเดินผ่านไปแล้วอย่างนั้นหรอ” เซี่ยเฟยถามขณะที่เขายังคงใช้ความคิดอย่างหนัก
หลังจากนั้นชายหนุ่มก็ก้มศีรษะลงพร้อมกับเตะหินสีขาวบนถนนลอยไปสู่เพื่อน ๆ ของมันที่กองอยู่ด้านข้างทำให้ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าหินก้อนที่เขาเพิ่งเตะไปเป็นหินก้อนไหนท่ามกลางหินสีขาวเหล่านี้
“ฉันไม่ชอบเดินตามเส้นทางของคนอื่น ครั้งนี้ฉันจะเลือกเส้นทางที่ไม่มีใครเคยเดินไม่ว่าเส้นทางนั้นมันจะนำไปสู่ที่ใดก็ตาม” เซี่ยเฟยกล่าวอย่างจริงจัง
—
ข่าวสารเป็นสิ่งที่สามารถเดินทางไปได้อย่างรวดเร็วไม่ว่ามันจะเป็นข่าวร้ายหรือข่าวดีก็ตาม
ภายในค่ายฝึกมีสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่ช่วยให้ผู้คนกระจายข่าวออกไปได้อย่างรวดเร็ว
หนึ่งในสถานที่กระจายข่าวชั้นดีคือร้านอาหารที่มีนักเรียนเข้ามาพูดจาซุบซิบนินทากันอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะการพูดคุยในระหว่างมื้ออาหาร
“นายเคยได้ยินเรื่องนี้หรือยัง ว่าเซี่ยเฟยที่เป็นเด็กโควตาพิเศษในปีนี้ไปทำงานเป็นบรรณารักษ์!”
“ไอ้บ้าเซี่ยคนนั้นน่ะหรอ?”
“คนนั้นนั่นแหละ”
“นี่สมองเขายังปกติอยู่หรือเปล่า? อุตส่าห์ได้เข้ามาในค่ายฝึกแต่เขาไปสมัครเป็นบรรณารักษ์เนี่ยนะ!”
“ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้นายเรียกเขาว่าไอ้บ้าไม่ใช่หรอ”
“นั่นสินะ ฉันลืมไปว่าเขาเป็นคนบ้า มันจะมีคนดี ๆ ที่ไหนไม่สมัครเข้าแผนกดี ๆ แล้วไปสมัครเป็นบรรณารักษ์”
“ฉันเสียดายโควตาพิเศษปีนี้จริง ๆ ไม่รู้ว่าผู้บัญชาการกำลังคิดอะไรอยู่”
นักเรียนทั้งสองคนนี้กำลังเม้าท์มอยกันอย่างเมามัน แต่ทันใดนั้นเยว่เกอที่กำลังทานอาหารอยู่ใกล้ ๆ ก็ลุกขึ้นทุบโต๊ะอย่างแรงพร้อมกับตั้งใจจะสั่งสอนบทเรียนให้กับคนที่กล้านินทาเพื่อนของเธอ
“ใจเย็น ๆ” เฉินตงกล่าวพร้อมกับจับมือห้ามหญิงสาวเอาไว้
เยว่เกอพยายามระงับความโกรธพร้อมกับนั่งลงด้วยใบหน้าที่น่าเกลียด
“น่าผิดหวังจริง ๆ นี่เซี่ยเฟยรู้ตัวไหมว่าเขาทำให้พวกเราดูแย่ไปด้วย!” เยว่เกอกัดฟันพูดอย่างขมขื่น
“เธอจะเดือดร้อนทำไม? ถึงยังไงมันก็เป็นสิ่งที่เขาเลือกแล้ว” หมานจุนกล่าว
“นายจะไปรู้อะไร! มนุษย์ทุกคนควรจะต้องทะเยอทะยานสิ การเป็นบรรณารักษ์มันจะไปทำอะไรได้ ฉัน…”
“ฉัน…อะไร?” หมานจุนถามอย่างไม่เข้าใจ
“กินไปซะ! ฉันไม่อยากคุยกับนายแล้ว!!” เยว่เกอกล่าวอย่างหงุดหงิด
“เป็นอะไรอีกเนี่ย ฉันยังไม่ทันได้ทำอะไรเลย” หมานจุนพูดด้วยใบหน้าที่ไร้เดียงสา
—
หน้าที่ของบรรณารักษ์เริ่มตั้งแต่การเช็ดตู้, เช็ดพื้น, เช็ดหน้าต่างไปจนถึงการทำความสะอาดหนังสือ ซึ่งการทำความสะอาดสิ่งเหล่านี้ก็จำเป็นจะต้องใช้เวลาไปทั้งเช้า
ในตอนบ่ายเซี่ยเฟยก็ต้องยุ่งกับการซ่อมแซมประตูหน้าต่างที่เสียหาย เนื่องจากห้องสมุดไม่ได้รับการดูแลมาเป็นเวลานานสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ จึงเริ่มมีการผุพัง
ฉินหมางนั่งดูเซี่ยเฟยทำงานทุกวันแต่งานของเขาคือการนั่งดื่มชา, ให้อาหารแมวดำจอมขี้เกียจและปล่อยให้งานทั้งหมดเป็นหน้าที่ของเซี่ยเฟยคอยจัดการ
ขณะเดียวกันฉินหมางก็ไม่เคยให้เซี่ยเฟยลงไปยังห้องใต้ดินทั้งสองห้องนั้นอีกเลย เพราะทุกครั้งที่ชายหนุ่มถามว่าให้เขาลงไปทำความสะอาดห้องใต้ดินไหม ชายชราก็จะตอบกลับมาเสมอว่าเขาได้ทำความสะอาดห้องใต้ดินเป็นประจำอยู่แล้ว แต่เซี่ยเฟยก็ไม่เคยเห็นชายชราลุกขึ้นไปทำความสะอาดเลยสักครั้ง
หลังจากผ่านงานทำความสะอาดที่วุ่นวายเซี่ยเฟยก็กลับมาที่ห้องพักอย่างเหนื่อยล้า โดยมีม้วนหนังสือเก่า ๆ อยู่ในแขนของเขา
เรื่องนี้คงจะเป็นข้อดีเพียงอย่างเดียวของการได้เป็นบรรณารักษ์คือเขาสามารถนำหนังสือกลับมาอ่านที่ห้องพักของเขาได้
ตอนนี้เซี่ยเฟยติดนิสัยนอนอ่านหนังสือบนเตียงจนผล็อยหลับไปและตราบใดก็ตามที่เขาไม่ได้อ่านหนังสือแม้แต่เพียงหนึ่งวัน เขาก็จะรู้สึกอึดอัดราวกับว่ามันมีอะไรบางอย่างขาดหายไป
หนังสือที่เขาอ่านเริ่มจากหนังสือพื้นฐานที่สุด ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์พันธมิตรมนุษย์, คู่มือการถลุงแร่หรือแม้แต่ความลับของผู้นำ
แต่หนังสือที่เซี่ยเฟยรู้สึกสนใจส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับเครื่องจักรและยานอวกาศ แต่เซี่ยเฟยก็ยังคงอ่านหนังสือต่าง ๆ อย่างไม่คิดมาก เพราะความรู้พื้นฐานสมัยเขาอยู่ในโรงเรียนเขาได้ส่งคืนครูไปตั้งนานแล้ว
ด้วยโครงสร้างความรู้ในปัจจุบันที่ยังขาดพื้นฐานนี้เอง เซี่ยเฟยจึงรู้ดีว่าถึงแม้เขาจะมีโอกาสได้ขึ้นไปอ่านหนังสือเกี่ยวกับอารยธรรมโบราณบนชั้นที่ 2 แต่เขาก็คงไม่สามารถทำความเข้าใจเนื้อหาของหนังสือพวกนั้นได้อยู่ดี
เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกประหลาด เพราะเกรดเฉลี่ยในตอนที่เซี่ยเฟยอยู่โรงเรียนตกต่ำอย่างน่าใจหาย แต่เมื่อเขาเริ่มทำการเรียนรู้เทคโนโลยีของอารยธรรมระดับสูง เขากลับคิดว่าเทคโนโลยีเหล่านี้เป็นเรื่องง่าย ๆ และตราบใดก็ตามที่เขาได้อ่านหนังสือไปเพียงแค่หนึ่งครั้งเขาก็จะสามารถจดจำเนื้อหาของพวกมันได้ทั้งหมด
หลังจากวางหนังสือลงบนโต๊ะชายหนุ่มก็ทำการเปิดคอมพิวเตอร์อัจฉริยะเพื่อทำการหาข้อมูลเกี่ยวกับผลึกน้ำแข็งอำพัน
หากทุกอย่างยังคงดำเนินไปได้ด้วยดีน้ำยาที่ตกค้างภายในร่างกายของเขาก็จะถูกดูดซึมจนหมดในเวลาเพียงแค่ไม่กี่วัน ดังนั้นมันจึงถึงเวลาที่ต้องกินยารอบใหม่แล้วและวัตถุดิบที่สำคัญสำหรับการปรุงน้ำยารอบนี้นั่นก็คือผลึกน้ำแข็งอำพัน
เซี่ยเฟยใช้ฟังก์ชั่นการค้นหาของสกายเน็ตเวิร์กเพื่อหาผู้ขายผลึกน้ำแข็งอำพันในเขต 3 ภูมิภาคดวงดาวที่อยู่ใกล้เคียง แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ได้พบกับข่าวดีอะไรเลย
ชายหนุ่มปิดสกายเน็ตเวิร์กด้วยความผิดหวังก่อนที่จะล็อกอินเข้าสู่เครือข่ายภายในของค่ายฝึก โดยหวังว่ามันจะมีผลึกน้ำแข็งอำพันวางขายอยู่ในระบบ
ภายในค่ายฝึกมีวัตถุดิบถูกแลกเปลี่ยนอย่างอิสระเป็นจำนวนมากมาย ซึ่งตราบใดก็ตามที่ใครมีคะแนนมากกว่าพวกเขาก็จะสามารถทำการแลกเปลี่ยนวัตถุดิบเหล่านี้ได้ในทันที
น่าเสียดายที่ถึงแม้ว่าท่ามกลางวัตถุดิบเหล่านี้จะมีวัตถุดิบล้ำค่าอยู่อย่างมากมาย แต่มันกลับไม่มีผลึกน้ำแข็งอำพันที่เซี่ยเฟยต้องการอยู่เลย
ชายหนุ่มถอนหายใจพร้อมกับเริ่มค้นหารายการแลกเปลี่ยนของนักเรียนภายในค่าย ซึ่งถ้าหากว่าการค้นหาครั้งนี้ยังไม่เจอเขาก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากกลับไปอ่านหนังสือแล้วเข้านอน
แต่ในทันใดนั้นดวงตาของเซี่ยเฟยก็ต้องเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้น เพราะเขาได้เห็นกระทู้ที่เพิ่งโพสต์เมื่อไม่กี่นาทีก่อน
ขายผลึกน้ำแข็งอำพัน 80 กรัมด่วน!!
หลังจากดูข้อมูลของผู้ตั้งกระทู้เซี่ยเฟยก็ได้พบว่าเขาคนนี้คือนักเรียนจากค่ายชั้นในผู้มีชื่อว่า ‘เดวิด’ ดังนั้นชายหนุ่มจึงทำการส่งคำขอติดต่อไปในทันทีเพื่อขอซื้อวัตถุดิบมาทำน้ำยาเพิ่มระดับความสามารถให้กับตัวเอง
***************
โอ้ยมันมีพระเอกนิยายแฟนตาซีคนไหนเลือกมาเป็นบรรณารักษ์เหมือนกับพี่เฟยบ้างเนี่ย!!