ตอนที่ 62 : ขอหุ้น
"คุณจาง เชิญนั่งครับ" หลังจากเข้ามาในห้องส่วนตัว ฉินหยุนก็เดินไปฝั่งตรงข้ามและนั่งลงก่อน จากนั้นก็ยิ้มและมองไปที่ผู้สัมภาษณ์คนแรกของเขา
ความประทับใจแรกที่จางฉินเยว่มอบให้แก่เขาคือ เธอมีความคล้ายคลึงกับแม่ของเซียวหลานมาก เรซูเม่ของเธอก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน ซึ่งมันทำให้ฉินหยุนรู้สึกสงสัยว่าทำไมจางฉินเยว่ถึงมาสมัครงานกับเขา?
เพราะถึงยังไงเงินเดือนก่อนหน้านี้ของเธอคงไม่ต่ำกว่า 300,000 หยวนต่อปีอย่างแน่นอน
และเนื่องจากเธอมาสมัครงานกับเขา เขาย่อมอยากรู้เหตุผลเป็นธรรมดา
"บอสฉินคะ ฉันอยากทราบเกี่ยวกับเส้นทางการพัฒนาทั่วไปของร้านขายเสื้อผ้าของคุณ คุณจะเปิดร้านค้าสามแห่งในทุกเดือนเลยไหมคะ?" ฉินหยุนยังไม่ได้เอ่ยอะไร แต่จางฉินเยว่ที่นั่งอย่างสงบมาโดยตลอดกลับถามขึ้นทันที
ฉินหยุนพยักหน้าและกล่าวว่า "ในวันที่ 1 กันยายน ร้านขายเสื้อผ้าสามแห่งจะเปิดขึ้น สองร้านแรกมีพื้นที่ 40 ตารางเมตร และอีกหนึ่งร้านมีพื้นที่ 200 ตารางเมตร วันที่ 1 ตุลาคม และวันที่ 1 พฤศจิกายน ก็เช่นกัน ผมจะใช้แผนพัฒนาร้านขายเสื้อผ้าแบบธุรกิจห่วงโซ่"
จางฉินเยว่พยักหน้า เธอเข้าใจว่าฉินหยุนกำลังคิดอะไรอยู่ และเธอก็ทราบข้อมูลเหล่านี้แล้ว
สำหรับฉินหยุน ในความคิดของเธอ เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นแค่คนรวยรุ่นที่สอง และครอบครัวของเขาให้เงินเขามาเพื่อเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง
หากเป็นคนอื่น คาดว่าพวกเขาคงจะเปิดร้านขายเสื้อผ้าเพียงร้านเดียวก่อน จากนั้นจึงเริ่มเปิดร้านที่สอง หลังจากนั้นสักพักค่อยเริ่มเปิดร้านที่สาม
เมื่อมองไปที่จางฉินเยว่ ฉินหยุนก็เอ่ยถามเธอว่า "คุณจาง คุณเคยเป็นรองผู้จัดการของบริษัท Anta มาก่อน และเงินเดือนก็ไม่น่าจะแย่ไปกว่าที่ผมเสนอให้ใช่ไหม ผมสงสัยว่าทำไมคุณถึงเลือกมาที่นี่เพื่อสมัครงานกับผม?"
จางฉินเยว่ดูเหมือนจะรู้ว่าฉินหยุนต้องถามคำถามนี้แน่นอน เธอจึงกล่าวว่า "การดูแลของ Anta นั้นดีจริงๆ แต่ฉันคิดว่ามันถึงขีดจำกัดของสิ่งที่ฉันสามารถทำได้แล้ว โดยพื้นฐานแล้วที่นั่นก็ถือว่าไม่มีที่ให้ฉันได้พัฒนาอีกต่อไป ฉันจึงต้องการจะทำมันด้วยตัวเอง"
"ทำด้วยตัวเองงั้นเหรอ?"
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉินหยุนก็ถามอย่างสงสัย "งั้นทำไมคุณจางถึงมาที่นี่ล่ะ"
การทำด้วยตัวเองก็หมายถึงการเริ่มต้นธุรกิจของคุณเองไม่ใช่เหรอ?
จางฉินเยว่กล่าวว่า "ฉันขอพูดความจริงกับบอสฉินเลยนะคะ อันที่จริงฉันต้องการเปิดร้านขายเสื้อผ้าแบบธุรกิจห่วงโซ่ด้วยตัวเอง แต่ฉันมีเงินทุนไม่เพียงพอ"
"โอ้?" ฉินหยุนยิ้มและกล่าวอย่างใจเย็น "คุณจาง หมายความว่าคุณจะมาทำงานที่ผม พอเก็บเงินได้เพียงพอแล้ว คุณก็จะออกไปทำด้วยตัวเองงั้นเหรอ?”
"บอสฉินเข้าใจผิดแล้วค่ะ"
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จางฉินเยว่ก็ส่ายหัว เธอมองไปที่ฉินหยุนและทันใดนั้นก็หยิบเอกสารบางอย่างออกมาจากกระเป๋าหนังของเธอ
"นี่คือแผนพัฒนาร้านขายเสื้อผ้าในเครือที่ฉันทำทั้งคืน ถ้าเริ่มจากการเปิดร้านค้าสามแห่งต่อเดือน เราก็สามารถค่อยๆขยายไปตามแผนนี้ได้ คุณฉินลองดูก่อนสิคะ" จางฉินเยว่ส่งเอกสารในมือของเธอให้ฉินหยุน
ฉินหยุนหยิบมันขึ้นมา และเริ่มมองดูมัน จากนั้นก็มีความประหลาดใจในดวงตาของเขา
แผนการพัฒนาร้านขายเสื้อผ้านี้มีรายละเอียดเยอะมาก และมีการวิเคราะห์มากมายเกี่ยวกับวิธีในการครอบครองตลาด
หากพัฒนาตามแผนการนี้ คาดว่าร้านเสื้อผ้าเทียนหยุนจะสามารถขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว และอาจสร้างผลกำไรได้ในระยะเวลาอันสั้นแน่นอน
หลังจากมองดูไม่กี่ครั้ง ฉินหยุนก็รู้สึกพึงพอใจมาก เขากล่าวว่า "แผนนี้ดีมากครับ และผมยินดีต้อนรับคุณจางให้เข้าร่วมกับเรา แต่ไม่ทราบว่าคุณจางมีข้อกำหนดอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ?"
ตอนนี้เขากำลังวางแผนที่จะสร้างแบรนด์ของตัวเอง ร้านค้าที่มีผู้จัดการที่ยอดเยี่ยมเช่นจางฉินเยว่จะสามารถประสบความสำเร็จได้เร็วขึ้นแน่นอน
แต่เขาไม่ใช่คนโง่ จู่ๆจางฉินเยว่ก็นำแผนนี้ออกมา และมันไม่น่าจะเป็นแค่การใ้ช้เป็นข้อต่อรองในการเพิ่มเงินเดือนแน่
แน่นอน จางฉินเยว่ก็กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า "บอสฉินคะ คำขอของฉันไม่ใช่เรื่องใหญ่ คุณบอกว่าฐานเงินเดือนต่อปีคือ 200,000 หยวน แล้วก็มีโบนัสสิ้นปีอีก 100,000 หยวน แต่ฉันจะขอรับเฉพาะเงินเดือน 100,000 หยวนต่อปีก็พอ"
"โอ้?" ฉินหยุนมองไปที่จางฉินเยว่
จงใจลดฐานเงินเดือนตัวเอง?
เขายังไม่ได้พูดอะไร แต่จางฉินเยว่ก็กล่าวขึ้นต่อ "แต่ฉันต้องการหุ้น 10% ของบริษัท"
"หุ้น?" เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ใบหน้าของฉินหยุนก็ยังคงนิ่งสงบ คนอื่นไม่สามารถบอกได้ว่าเขาคิดอะไรในใจอยู่
"ใช่ค่ะ" จางฉินเยว่พยักหน้าและกล่าวว่า "บอสฉิน คุณได้ดูเรซูเม่ของฉันแล้ว เพราะงั้นบอสฉินควรเชื่อในความสามารถของฉัน คุณแค่ต้องจัดการเพียงเรื่องเงินทุนเท่านั้น สำหรับเรื่องอื่นๆ ฉันสามารถจัดการได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องให้บอสฉินคอยกังวล"
สิ่งที่เธอพูดนั้นชัดเจนมาก ฉินหยุนแค่ให้เงินทุนและคอยรับหุ้น 90% ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องมาคอยดูแลร้าน
และเธอคือผู้ถือหุ้น 10% ของบริษัท ดังนั้นเธอจะมีอำนาจเต็มที่ในการบริหาร บริษัทแทนเขา
"แน่นอน ฉันกับบอสฉินสามารถทำสัญญาข้อตกลงร่วมกันได้ โดยกำหนดว่าถ้ากำไรของร้านขายเสื้อผ้าในช่วงระยะเวลาหนึ่งไม่ถึงเป้า ฉันจะถูกลดหุ้นโดยตรง แบบนี้เป็นยังไงคะบอสฉิน?" เธอมองไปที่ฉินหยุนและเอ่ยถาม
อันที่จริงเธอทำงานที่ Anta มานานกว่าสิบปีแล้ว และเธอก็ไม่ได้ต้องการจะลาออก แต่จู่ๆผู้นำบริษัทก็ดึงตัวญาติที่เป็นพนักงานมาจากสาขาอื่น จุดประสงค์นั้นก็เดาง่ายมาก นั่นก็คือเล็งตำแหน่งรองผู้จัดการของเธอไว้นั่นเอง
เธอพอมีอำนาจอยู่บ้างในบริษัทสาขาของ Anta แต่เห็นได้ชัดว่าก็ไม่สามารถเทียบได้กับผู้บริหารระดับสูง จะว่าไปแล้วเธอก็เป็นแค่แรงงานระดับสูงเท่านั้น
เธอจึงตัดสินใจลาออกมาทำธุรกิจเอง
อย่างไรก็ตาม การเปิดร้านขายเสื้อผ้านั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และเธอก็ไม่ได้รับการสนับสนุนทางด้านการเงินมากนัก ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจหาหุ้นส่วน
ก่อนส่งเรซูเม่ บริษัทใหญ่หลายๆแห่งได้ติดต่อมาหาเธอ แต่เธอก็ปฏิเสธไปทุกราย
หลังจากนั้น เธอได้สังเกตเห็นสถานการณ์ของร้านขายเสื้อผ้าของฉินหยุน และวิเคราะห์ว่าด้วยรูปแบบการขยายตัวด้วยการเปิดร้านเพิ่มทุก 3 สาขาต่อหนึ่งเดือนของฉินหยุน เขาจะต้องมีเงินทุนมากเพียงพอ ดังนั้นเธอจึงมาที่นี่เพื่อสัมภาษณ์กับเขา
มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่จะประสบความสำเร็จในการสร้างรายได้จากการเปิดร้านขายเสื้อผ้าได้ ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาจะปิดตัวลงหลังจากเปิดได้ไม่นาน อย่างไรก็ตาม เธอเชื่อว่าด้วยการสนับสนุนทางการเงินที่เพียงพอบวกกับความสามารถของเธอ เธอจะสามารถเปิดตลาดและทำกำไรได้อย่างรวดเร็วแน่นอน
ในความคิดของเธอ ผู้ประกอบการรุ่นสองที่ร่ำรวยอย่างฉินหยุน อาจจะไม่ต้องการบริหารบริษัทเองมากนัก และข้อดีของทั้งสองน่าจะส่งเสริมซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี
ภายใต้การจ้องมองของเธอ ฉินหยุนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหัวและกล่าวว่า "ผมต้องขอโทษคุณจางด้วย แต่ในขณะนี้ผมยังไม่มีความคิดที่จะแบ่งหุ้นของบริษัท"
ล้อเล่นหรือเปล่า! เขามีค่ายกลรวบรวมโชคลาภอยู่กับตัว แม้แต่ร้านขายเสื้อผ้าขนาดเล็ก 40 ตารางเมตรก็ทำกำไรต่อเดือนได้มากกว่า 100,000 หยวน! เมื่อร้านขายเสื้อผ้าเปิดมากขึ้นเรื่อยๆ ยอดรวมของกำไรก็จะเพิ่มขึ้นมากเรื่อยๆเช่นกัน ถ้าเขาให้หุ้นคนอื่นไป ไม่เท่ากับว่าเขากลายเป็นคนโง่งั้นหรอกเหรอ?
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่จะอัปเกรดระบบรวบรวมโชคลาภเขาก็ยังต้องคอยสะสมยอดคงเหลือ ถ้าเขาแบ่งหุ้นออกไป เขาก็จะมีเงินน้อยลงในการเพิ่มยอดคงเหลือของระบบ และการอัปเกรดระบบรวบรวมโชคลาภก็จะช้าลงไปอีก
ดังนั้นเขาสามารถให้เงินเดือนสูงๆแก่คนอื่นได้ แต่เขาไม่มีความคิดเกี่ยวกับการโอนหุ้นให้เลย
"ปฏิเสธ?" เมื่อได้ยินเช่นนี้ จางฉินเยว่ก็ผงะ ในความคิดของเธอความเป็นไปได้ที่ฉินหยุนจะปฏิเสธนั้นน้อยมาก
แต่เธอไม่ได้พูดอะไรอีก พยักหน้าและกล่าวว่า "ถ้าเป็นเช่นนี้ ฉันต้องขออภัยที่ฉันไม่สามารถร่วมงานกับบอสฉินได้"
จางฉินเยว่ยืนขึ้นและจากไปทันที
จุดประสงค์ที่เธอมาสัมภาษณ์ที่นี่ก็เพื่อหุ้น 10% เมื่อเธอไม่ได้รับหุ้นที่สำคัญที่สุดเป็นค่าตอบแทน ทั้งเธอและฉินหยุน จึงไม่จำเป็นต้องพูดคุยเรื่องนี้กันต่อไป
(จบตอน)