ตอนที่แล้วบทที่ 337 - หน้าไม้เพลิง บทที่ 338 - ใจสลายเป็นขี้เถ้า
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 340.2 -ยืดหดได้อย่างอิสระ บทที่ 341 - แปดนิกายใหญ่

(ฟรี) บทที่ 339 - ที่ราบรกร้างโบราณ บทที่ 340.1 - ยืดหดได้อย่างอิสระ


บทที่ 339 - ที่ราบรกร้างโบราณ

“ไม่เห็นจะเก่งเลย น่าเบื่อชะมัด”

วานรมังกรน้อยเหยียบจิตวรยุทธเครื่องบินขับไล่ถลาลง สีหน้าที่แสดงออก ค่อนข้างไม่พอใจนัก มันหยิบแหวนมิติออกจากศพทันที จากนั้นทะยานขึ้นฟ้า กลับมานั่งเบาะข้างหลังคนขับ

“ลูกพี่ ต่อไปถ้าเจอศัตรูเก่งๆอย่าลืมเก็บไว้ให้ข้าบ้างนะ”

วานรมังกรน้อยมอบแหวนมิติให้หยางซือเล่ย น้ำเสียงดูจริงจังมาก

“ตกลง”

หยางซือเล่ยรับปากลวกๆ มองแหวนมิติในมือ กวาดจิตรับรู้เข้าไปอย่างรวดเร็ว

และทันใดนั้นใบหน้าของเขา มันก็แสดงออกถึงความแตกตื่นดีใจ

เพราะหยางซือเล่ยค้นพบว่า ภายในมีแหวนมิติของผู้อาวุโสนิกายเหยกุ่ย แค่เหล็กวิญญาณลี้ลับอย่างเดียว ก็มีสะสมไว้มากกว่าแสนจินแล้ว!

หากแปลงพวกมันเป็นแต้มเสริมพลัง จะได้ปริมาณมากถึง 10 ล้านแต้ม!

ลาภลอยนี้ สำหรับหยางซือเล่ยในขณะนี้ มันเหมือนเนื้อที่ตกจากฟ้า

สองวันก่อนเพื่อป้องกันการรุกรานของนิกายโร่วรื่อ หยางซือเล่ยได้ผลาญแต้มเสริมพลังของระบบไปทั้งหมดแล้ว และขีปนาวุธทั้งสองลูกเมื่อครู่นี้ ราคาขายในร้านค้าระบบมันคือหนึ่งล้านแต้ม!

หากไม่ได้กำไรก้อนนี้ เกรงว่าการเข้าสู่เขตแดนลับบรรพกาลคงจะยุ่งยากสักหน่อย เพราะยังไงซะ เครื่องบินขับไล่ธาตุสายฟ้าคือไพ่ตายสำคัญที่สามารถช่วยให้เขารอดชีวิตได้ในตอนนี้ หากกระสุนไม่พอ มันก็มีค่าเท่ากับกองเศษเหล็ก

โชคดีที่นิกายเหยกุ่ยโผล่มาระหว่างทาง พวกมันดั่งพระผู้ช่วยเขา นำทรัพยากรจำนวนมากมาให้!

ด้วยแต้มเสริมพลังจำนวนนี้ มันเพียงพอแล้วที่จะให้เขาใช้จ่ายในเขตแดนลับไปซักระยะ

พอจบเรื่อง หยางซือเล่ยไม่เสียเวลารั้งอยู่ต่อ ควบคุมพวงมาลัยด้วยตัวเอง บินด้วยความเร็วเต็มพิกัด

หอทงเทียนตั้งอยู่ในที่ราบรกร้างโบราณของแดนเหนือ

หนึ่งชั่วยามต่อมา เมื่อหยางซือเล่ยมาถึงชายขอบของที่ราบรกร้าง ก็สังเกตเห็นว่าบนจอเรดาร์ในแผงควบคุม  บนที่ราบกว้างใหญ่เบื้องล่าง มีเงาคนหนาแน่นเหมือนมด

คนเหล่านี้ ล้วนเป็นอัจฉริยะจากนิกายต่างๆ มีนับหมื่นคน

ถึงจุดนี้หยางซือเล่ยค่อยเข้าใจอย่างแท้จริง ว่าเขตแดนลับบรรพกาลมีแรงดึงดูดมากเพียงใด มันสามารถล่อลวงนิกายและขุมกำลังจำนวนมากมาร่วมสนุกกันที่นี่

และบนท้องฟ้าที่ไม่ไกลนัก บางครั้งก็มีร่างมนุษย์บินผ่านเป็นครั้งคราว กระแสผู้คนบินไปยังส่วนลึกของที่ราบโบราณอย่างต่อเนื่อง

คนเหล่านี้กำลังขี่สัตว์ปีกชนิดต่างๆ ไม่ก็จิตวรยุทธหรือสมบัติวิญญาณ กลายเป็นเส้นแสงนับไม่ถ้วนพาดผ่านท้องฟ้า

พลังวิญญาณหลากสีสันตระการตา เปลี่ยนผืนฟ้าในบริเวณนี้ พรั่งพราวไปด้วยแสงที่งดงาม

“คึกคักจริงๆ” หยางซือเล่ยอดอุทานขึ้นมาไม่ได้ จ้องมองไปยังกระแสผู้คน สีสันของความประหลาดใจทอวาบเข้ามาในดวงตา

เพื่อไม่ให้ดึงดูดความสนใจมากเกินไป หยางซือเล่ยตัดสินใจเก็บเครื่องบินขับไล่ที่เป็นโลหะขนาดใหญ่ เปลี่ยนมาใช้จิตวรยุทธแทน

เขามองลึกเข้าไปในที่ราบโบราณอันรกร้างยิ่งใหญ่ ที่ตรงนั้น สามารถมองเห็นเงาของหอคอยยักษ์ได้อย่างคลุมเครือ ตั้งตระหง่านอยู่ในชั้นเมฆ

แม้เวลานี้จะอยู่ห่างไกลกัน แต่หยางซือเล่ยยังคงรู้สึกถึงความผันผวนของพลังงานอันน่าสยดสยอง

ภายใต้ความผันผวนของพลังงานนั้น แม้แต่ขุมพลังระดับเทพวิญญาณ ก็ยังดูเล็กจ้อย ต่ำต้อยมาก

เห็นได้ชัดว่า นั่นควรเป็นตำแหน่งที่หอทงเทียนตั้งอยู่

“สมกับเป็นขุมอำนาจลึกลับที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน แม้เวลาจะผ่านไปหมื่นปี ก็ยังคงความยิ่งใหญ่เอาไว้!”

บทที่ 340.1 - ยืดหดได้อย่างอิสระ

หยางซือเล่ยรู้สึกประหลาดใจที่พบว่า ความผันผวนของพลังงานนี้ ดูเหมือนจะมีผลกระทบคล้ายค่ายกลผนึกน่านฟ้า

เพราะยิ่งลึกเข้าไปในที่ราบรกร้างโบราณมากเท่าไหร่ การทำงานของจิตวรยทุธเครื่องบินขับไล่ก็ยิ่งถูกจำกัดมากเท่านั้น ค่อยๆถูกกดให้ต่ำลง บังคับเราลงสู่พื้น

สนามพลังที่เต็มไปด้วยแรงกดดันนี้ ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น นักบู๊จากนิกายอื่นบนท้องฟ้า ก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน

เห็นได้ชัดว่าพื้นที่นี้ ถูกจำกัดไม่ให้บิน

“ดูเหมือนคลื่นความผันผวนจะมีผลยังยั้งปราณวิญญาณ แต่เครื่องบินขับไล่ธาตุสายฟ้าของข้า มันใช้เชื้อเพลิง ดังนั้นไม่น่าจะได้รับผลกระทบนี้”

หยางซือเล่ยคาดเดาในใจ แต่ก็ไม่ได้มีความคิดที่จะนำเครื่องบินขับไล่ออกมาอีกครั้ง

ไม่อย่างนั้น ขณะที่ทุกคนถูกจำกัดห้ามบิน แล้วเขาลอยอยู่บนท้องฟ้าคนเดียว มันจะเด่นเกินไป

แล้วอีกอย่างการทำลายกฎของหอทงเทียน มันรังแต่จะสร้างปัญหา

แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขาเลือกทำตัวติดดินดีกว่า เอาไว้หลังจากเข้าสู่เขตแดนลับบรรพกาล ค่อยเปิดตัวอย่างอลังการ

“ลูกพี่ ให้เดินมันยุ่งยาก เอาเครื่องบินออกมาขับเล่นกันเถอะ”

ก้มมองลงพื้น เสี่ยวหยวนหาวอย่างขี้เกียจ ในสองวันที่ผ่านมามันนั่งอยู่ในเครื่องบินขับไล่ตลอด ชัดเจนว่าชอบเครื่องมือการบินที่รวดเร็วและสะดวกสบายประเภทนั้นมาก

พอปล่อยให้มันลงเดิน จึงเกิดความไม่คุ้นชิน

“เจ้าตัวเกียจคร้าน เจ้าต้องรู้จักออกกำลังกายให้มากเข้าไว้นะรู้ไหม ร่างกายจะได้แข็งแรง”

หยางซือเล่ยส่ายหัว ดุด้วยรอยยิ้ม แต่ถึงปากบอกว่าอย่างนั้น ตัวหยางซือเล่ยเองลึกๆก็ไม่อยากเดินเช่นกัน

กระนั้นเครื่องบินขับไล่คือสิ่งที่ไม่เคยมีใครพบเห็นมาก่อน เมื่อครู่มันก็ได้กระตุ้นความโลภจากคนของนิกายเหยกุ่ยไปทีนึงแล้ว

เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการต่อสู้ขึ้นอีก หยางซือเล่ยจะไม่ยอมเปิดเผยมันหากไม่คิดให้ดี

นอกจากนี้ กองกำลังนิกายของที่นี่ยังซับซ้อนและมีจำนวนมาก หากบินตรงเข้าไปพร้อมเครื่องบินขับไล่ ย่อมดึงดูดความสนใจของกองกำลังหลายนิกายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

อาศัยเพียงเขาที่มากับเสี่ยวหยวน บวกกับระดับนิกายขั้น 1 ทำไปก็รังแต่จะเดือดร้อน

หากไม่ใช่สถานการณ์ฉุกเฉิน ยามปราศจากอันตรายใดๆ ควรใช้มันให้น้อยที่สุดจะดีกว่า

แม้จะสู้ศัตรูไม่ได้ แต่ก็ยังสามารถใช้มันล่าถอยได้อย่างปลอดภัย

“เดินเถอะน่า ตรงนี้ยังมองเห็นหอทงเทียนได้รางๆ แสดงว่ามันอยู่ไม่ไกลแล้ว”

หยางซือเล่ยตบไหล่เสี่ยวหยวน เคลื่อนกายวูบด้วยท่าร่างเงามังกร มุ่งหน้าตรงไปยังส่วนลึกของที่ราบรกร้าง

อย่างไรก็ตาม เพิ่งวิ่งออกไปได้ไม่กี่ร้อยหมี่ ทันใดนั้นหยางซือเล่ยก็ได้ยินเสียงเสี่ยวหยวนจากด้านหลัง

“ลูกพี่ กระโดดขึ้นมานี่เร็ว!”

หยางซือเล่ยชะงักงัน มองย้อนกลับไป ม่านตาเขาหดลีบทันที

เพราะเขาต้องตกใจที่พบว่า ขณะนี้เสี่ยวหยวนกำลังขี่เสาสีทองขนาดยักษ์ ยืนอยู่ตรงช่วงปลายที่กำลังขยายยืดยาว ทะยานมาทางนี้อย่างรวดเร็ว

ทุกที่ที่มันผ่าน ตามพื้นดินทิ้งรอยลากไถเป็นทางยาว ราวกับมังกรกำลังเลื้อยไปข้างหน้า