บทที่ 22: ชีวิตแต่ละวันและการจัดซื้อ
“ซักมวนมะ?”
อาซุนยื่นบุหรี่ให้ และถังเจิ้นรับมาดูดเข้าปอดลึก ๆ
“ว่าแต่อาซุน ผู้หญิงคนเมื่อกี้นี้ใครเหรอครับ”
ถังเจิ้นที่ปากคาบบุหรี่อยู่ถามอาซุนเล่น ๆ
“อ้อ เธออืมมม... ฉันได้ยินคนว่ามาอะนะว่าที่นี่เป็นทรัพย์สินของครอบครัวเธอ แถมในเมืองอื่น ๆ ก็มีห้างแบบเดียวกันนี่อีกหลายที่ด้วย” อาซุนตอบหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“แปลว่าบ้านรวยสิน้า~ แต่ก็สุด ๆ ไปเลยอะ ไปไหนมาไหนต้องมีผู้ชายเดินตามหลังเป็นฝูง เชื่อเลยว่าเจ้าพวกนั้นต้องไม่ชอบแนะ...”
ถังเจิ้นยังนินทาไม่ทันจบก็เห็นอาซุนถือบุหรี่ค้างเติ่งมองข้ามไหล่ตัวเขาไปด้วยสีหน้าลำบากใจ
เมื่อเขาเหลียวหลังกลับไปมองด้วยสภาพปากคาบบุหรี่อยู่นั้นเองก็เป็นต้องสบถว่า “เชี่ย!”
ปรากฎว่าบนขั้นบันไดหนีไฟระหว่างชั้นสามกับสี่ในตอนนี้มีคนเกือบยี่สิบคนยืนอยู่ในเงามืดโดยมีหลายคนปิดปากกลั้นขำใส่เขาอยู่
คนสวยที่เขานินทากำลังขมวดคิ้วนิ่วหน้ากัดฟันกรอด ๆ กอดอกมองลงมาด้วยสายตาโกรธ ๆ และเมื่อเธอเห็นว่าถังเจิ้นหันกลับมาเจอแล้วก็เชิดหน้าสวยใส่
“หมาที่ดีจะไม่ขวางทาง!”
ฉินหลินไม่รู้ว่าเป็นภาพลวงตาหรือไม่ แต่ดูเหมือนจะได้ยินผู้หญิงคนนั้นพึมพำประโยคดังกล่าว
แต่เมื่อเห็นว่าตนกำลังขวางทางคนอื่นอยู่ถังเจิ้นจึงรีบถอยห่าง จากนั้นทั้ง 20 คนก็เดินเรียงแถวกันลงมาทีละคน ๆ
มีผู้ชายที่ตามหลังมาแสดงรอยยิ้ม ‘มีเลศนัย’ ให้เขา จากนั้นชายหนุ่มในชุดสูทคนหนึ่งได้แอบยกนิ้วให้ถังเจิ้น “คุณมากเพื่อน!”
‘เออกูรู้แล้ว!’
การพูดถึงคนอื่นลับหลังโดยไม่รู้ว่าเจ้าตัวยืนอยู่ข้างหลังแบบนี้ถ้าไม่อายก็บ้าแล้ว
ถังเจิ้นกลอกตาให้ไอ้หมอนั่นแล้วหันหน้าไปคุยอะไรกับอาซุนอีกสองสามคำจากนั้นก็ค่อยเดินลงบันไดไปช้า ๆ
แต่ก่อนที่เขาจะทันลงจากบันไดก็หันไปเจอชายอ้วนลักษณะเหมือนผู้รับเหมาตะโกนใส่คนงานว่า “เบื้องบนสั่งมาโว่ย ไอ้หน้าไหนสูบบุหรี่บนบันไดโดนปรับสองพัน!”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมาพวกตาเฒ่านักสูบต่างก็โอดครวญกันใหญ่!
ถังเจิ้นถึงกับหดคออย่างอดไม่ได้ ในใจก็คิดว่าต้องเป็นผู้หญิงคนนั้นแก้แค้นเขาแน่ ๆ
‘ขอโต๊บกั๊บอา ๆ ลุง ๆ ทั้งหลายที่ลากมาเกี่ยวข้อง...’
หลังจากถังเจิ้นออกมาจากห้างสรรพสินค้าเขาก็เดินไปตลอดทาง แล้วบังเอิญไปเห็นรถเอทีวีจอดอยู่ข้างถนน
ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกว่ารถคันนี้เหมาะสำหรับการใช้งานในถิ่นทุรกันดารที่มีแต่ดินแข็ง ๆ ในอีกโลกเป็นอย่างยิ่ง และเมื่อเทียบกับรถออฟโรดทั้งแพงทั้งใหญ่แล้ว เจ้ารถเล็ก ๆ ราคาถูกคันนี้ย่อมดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากประเมินปริมาตรของช่องเก็บของแล้วก็ได้ข้อสรุปว่าถ้าจับแยกชิ้นส่วนล่ะก็น่าจะใส่ได้อยู่ ดังนั้นถังเจิ้นเลยเดินเข้าไปเรียกเจ้าของร้านทันที
เมื่อไต่ถามและต่อรองราคากันเสร็จสรรพแล้วสรุปคือเขาได้รถมา 2 คันที่ราคาเกือบ ๆ 60,000 หยวน!
เจ้าของร้านบอกจะเติมน้ำมันเต็มถังให้และบอกให้ถังเจิ้นลองสตาร์ทดูเพื่อยืนยันสภาพรถ
จากนั้นก็เรียกให้ชายหนุ่มคนหนึ่งมาหาโดยให้ขับรถอีกคันตามไปส่งให้ถังเจิ้นที่บ้าน
ถังเจิ้นเพิ่งได้ครอบครองรถเอทีวีก็รู้สึกสนุกกับมันมาก หลังจากที่เอาคันหนึ่งไปจอดไว้ลานหน้าบ้านแล้วเขาก็ขับอีกคันตรงไปที่สวนสาธารณะในเขตชานเมือง
เมื่อได้ผ่านการจราจรบนท้องถนนและสัมผัสกับความรู้สึกในการขับขี่ที่แตกต่างนั้นถังเจิ้นรู้จึงสึกสดชื่นเป็นอย่างมาก
แล้วจู่ ๆ ก็มีรถออฟโรดวิ่งเข้ามาเทียบข้างและค่อย ๆ เลื่อนกระจกลงเผยให้เห็นใบหน้าเรียบเฉยของซูเฟิง
เมื่อเห็นถังเจิ้นขับรถเอทีวีซูเฟิงยิ้มให้ด้วยความประหลาดใจ จากนั้นโผล่หัวออกมาตะโกนใส่ “เฮ่ยจริงจังหน่อยสิว้ามึงหนิ ทำไมไม่รีบไปแบกหามหาเงินมาใช้หนี้ให้ไอ้พ่อน่าตายนั่นเล่า”
จากนั้นก็หดหัวกลับไปเอาบุหรี่ออกมาคาบพลางขับรถด้วยมือเดียว
“จะไปเล่นที่ไหนก็ไปเลยปะ! กูไม่มีเวลามาเล่นด้วยหรอก!”
ซูเฟิงได้ยินก็โยนก้นบุหรี่ใส่ถังเจิ้นแต่ก็ไม่โดน
จากนั้นมันก็กลอกตาแล้วหันมาพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์หน่อย ๆ ว่า “แนะนำหญิงให้เอาม้า~ แล้วมึงก็พานางไปเที่ยวที่สวนสาธรณะซักแป๊บนึงไง ฮี่ ๆ ๆ ๆ!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ถังเจิ้นก็ชำเลืองมองไปยังที่นั่งข้างคนขับฝั่งนั้นและเห็นว่ามีสาวสวยนางหนึ่งนั่งจดจ่ออยู่กับการจิ้มจอมือถืออยู่ เวลาแบบนี้ไอ้หมอนี่ขับรถพาสาวสวยท่าทางยั่วสวาทไปเที่ยวสวนสาธารณะ ต่อให้คนไม่มีสมองยังเดาได้เลยว่ามันจะพาหล่อนไปทำอะไร
แต่ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะพูดคุยกับไอ้คนหื่นกามตลอดเวลานี่ดังนั้นเลยสบถ ‘ไอ้หื่น’ ใส่ไปทีหนึ่งและเร่งเครื่องแซงขึ้นไป
“ทุ้ย พ่อคุณธรรมสูง~!”
ซูเฟิงสบถกลับลับหลังและเร่งเครื่องออฟโรดของตนแซงขึ้นไปจนทำให้ถังเจิ้นหน้าเจื่อน
“พ่องดิสัส!”
หลังจากถังเจิ้นด่าไปดอกหนึ่งแล้วเขาก็ไม่สนใจรถออฟโรดที่กำลังจะหายลับตาไป แล้วเลือกที่จะวิ่งลงทางลูกรังเพื่อเทสต์ประสิทธิภาพของรถคันนี้
ต้องรู้ว่าแม้ว่าพื้นดินในถิ่นทุรกันดารของอีกโลกหนึ่งจะแข็ง แต่พื้นดินส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เรียบแถมยังขรุขระมากและบางที่ยังมีวัชพืชขึ้นรกด้วย ซึ่งรถคันนี้จะปรับตัวได้หรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
บนเนินเขา คูน้ำ พื้นทราย และพุ่มไม้ ถังเจิ้นรถเอทีวีตะลุยเข้าไปให้หมดด้วยความเมามัน และประสิทธิภาพของมันก็ทำให้เขาค่อนข้างพอใจเลยทีเดียว
เมื่อเห็นว่าเวลาล่วงเลยมาถึงสามทุ่มแล้วและสวนสาธารณะก็อยู่ห่างจากเขตเมืองไปพอสมควรถังเจิ้นเลยวางแผนที่จะขับรถกลับบ้าน แต่ในขณะที่เขากำลังจะสตาร์ทรถอีกรอบนั้นก็มีเสียงดังโคร่มเข้ามาในหู
“เอาละไง สงสัยจะมีรถเกิดอุบัติเหตุ!”
ตอนนี้หูของถังเจิ้นดีมาก เขาสามารถตัดสินด้วยเสียงและสัญชาตญาณว่านี่เป็นอุบัติเหตุทางรถยนต์ ดังนั้นเขาจึงกระโดดขึ้นรถเอทีวีทันทีและขับตรงไปยังสถานที่ต้นเสียง
หลังจากขับรถมาเกือบห้านาทีถังเจิ้นก็มาถึงที่เกิดเหตุและพบว่าเป็นถนนที่ห่างไกลยิ่งกว่าเดิมอีก
รถออฟโรดสีดำที่เครื่องดับเสียหลักตกลงไปในคูข้างทาง หน้ารถชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่
บนถนนแคบ ๆ ด้านข้างมีผู้หญิงคนหนึ่งในชุดกีฬาสีขาวยืนกอดอกแสดงสีหน้าช่วยไม่ได้อยู่ ร่างกายของเธอสั่นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าถังเจิ้นใกล้เข้ามา ผู้หญิงคนนั้นถอยหลังอย่างระแวดระวังและในขณะเดียวกันมือข้างหนึ่งก็แอบล้วงเข้าไปในกระเป๋าเงียบ ๆ
ด้วยแสงสว่างของรถเอทีวีทำให้ถังเจิ้นที่มองเห็นอีกฝ่ายต้องรู้สึกประหลาดใจ เพราะเจ้าของรถที่ลงไปอยู่ในคูน้ำนั่นจริง ๆ แล้วคือแม่สาวแกร่งในห้างเมื่อตอนกลางวันคนนั้นนั่นเอง!
เมื่อถังเจิ้นเห็นว่าเป็นผู้หญิงคนนี้เขาก็อดหัวเราะเบา ๆ ไม่ได้ มีคำกล่าวว่า ‘โชคชะตาล้วนไม่มีจริงทุกสิ่งถูกกำหนดมาหมดแล้ว’
ถังเจิ้นยักไหล่เพื่อแสดงสัญญาณให้เห็นว่าเขาไม่ได้มีเจตนาร้ายและถามว่า “ว่าไงเจ๊ มีไรให้ช่วยป่าว~”
ผู้หญิงคนนั้นพยักหน้าโดยดูเหมือนจะไม่ได้สังเกตเห็นการเยาะเย้ยในคำพูดของถังเจิ้น และตอบกลับด้วยน้ำเสียงเมา ๆ หน่อย ๆ “ยืมโทสับหน่อยดี่ ของฉันหายอะ”
“จัดไปเลยเจ๊!”
ถังเจิ้นหยิบมือถือออกมาส่งให้เธอ แล้วเธอก็จิ้มจอโทรออกอย่างรวดเร็ว เมื่อบอกพิกัดของตนเสร็จแล้วก็วางสาย
“ขอบใจ!”
น้ำเสียงของเธอดูผ่อนคลายมากขึ้นจากนั้นก็ยื่นมือถือคืนให้ถังเจิ้น ใบหน้าคนสวยยามเมาแดงระเรื่อท่าทางเย้ายวนใต้แสงจันทรา
ผู้หญิงที่เข้มแข็งแบบนี้ไม่ค่อยแสดงอาการสาวน้อยออกมาหรอก ดังนั้นเลยทำให้ถังเจิ้นที่เห็นมุมนี้ของเธอต้องตกใจนิดหน่อย
“ไม่เป็นไร แต่ต่อไปก็ระวังหน่อยล่ะ เมาแล้วขับมันอันตรายนา”
เมื่อรับมือถือกลับคืนมาแล้วถังเจิ้นก็เตือนกลับไปงั้น ๆ
“อืม”
หญิงสาวพยักหน้าแล้วหันมองไปด้านข้าง
เมื่อเห็นสิ่งนี้ถังเจิ้นเลยกลับไปที่รถเอทีวีอย่างรู้ความ จากนั้นก็จุดบุหรี่สูบ
“มีบุหรี่อีกปะ?”
ผู้หญิงคนนั้นเข้ามาถาม
ถังเจิ้นหยิบซองบุหรี่ออกจากกระเป๋าของเขาแล้วยื่นให้เธอไปหนึ่งมวน เสร็จแล้วก็เอาไฟแช็กจุดให้
ผู้หญิงคนนั้นถือคีบบุหรี่ขึ้นสูบเข้าเต็มปอดแล้วพ่นควันออกมา
เมื่อเห็นแบบนี้ถังเจิ้นก็หยอกล้อ “ใครสูบบุหรี่ต้องเสียค่าปรับสองพัน”
ผู้หญิงคนนั้นผงะเมื่อได้ยินคำพูดนั้นแล้วหันขวับไปมองถังเจิ้นอย่างระแวดระวังแล้วก็กลอกตามองบน
“ทำไม! สนุกมากไงนินทาคนอื่นลับหลัง”
ผู้หญิงคนดีดขี้บุหรี่ทิ้งพร้อมถามออกมาโดยไม่ได้สนใจว่าถังเจิ้นจะตอบไม่ตอบ
“ไม่ได้ตั้งใจจะนินทาซักหน่อย แต่ชื่นชมต่างหากว่าเป็นหญิงแกร่ง เรื่องแค่นี้ฟังไม่ออกเหรอ”
“ชื่นชม? เหอะ ๆ ถ้านายอยู่ในตำแหน่งเดียวกันล่ะก็ไม่น่าจะคิดงั้นมั้ง... แล้วที่สำคัญเลยคืออย่ามาเรียกว่าเจ๊!”
ถังเจิ้นยิ้มนิด ๆ แล้วสูบบุหรี่ต่อ
ทั้งสองไม่พูดอะไรกันอีก และเห็นว่ามีรถแล่นเข้ามาใกล้ด้วยความเร็วสูง พอเข้ามาประชิดกับตำแหน่งที่พวกเขาอยู่ก็มีคนสี่คนเป็นชายสามหญิงหนึ่งกระโดดลงมาจากรถ
ผู้หญิงแต่งชุดออฟฟิศดูก็รู้ว่าเป็นเลขาได้เข้ามาตรวจสอบเธอว่าบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่พร้อมกับส่งสายตาระแวดระวังใส่ถังเจิ้น
“เชี่ย กูอุตส่าห์เป็นคนดีดันมาโดนสายตาทิ่มแทง คนเรานี่แม่งบ้ากันไปใหญ่แล้ว!”
ถังเจิ้นไม่พูดอะไรมากเพียงแค่ลุกขึ้นและก้าวขึ้นรถเอทีวีจากนั้นก็สตาร์ทรถขับขึ้นถนนที่เป็นทางวิ่งลงเขา
หลังจากกลับถึงบ้านเขาก็ล้างมือ กินข้าวมื้อง่าย ๆ จากนั้นก็อาบน้ำนอน
สองวันต่อมาเถ้าแก่ร้านตีเหล็กได้โทรมาแจ้งถังเจิ้นว่ามีดดาบพร้อมแล้ว
ถังเจิ้นไปที่ร้านช่างตีเหล็กและเห็นเถ้าแก่กำลังซดเบียร์อยู่
หลังจากกล่าวทักทายสนทนากันพอหอมปากหอมคอแล้วถังเจิ้นก็เห็นสินค้าของตนวางอยู่ที่มุมห้อง
มีดดาบทั้งหมดถูกรวบรวมเข้าด้วยกันอย่างเรียบร้อย ถังเจิ้นลองหยิบออกมาทดสอบดูหนึ่งเล่มและยืนยันแล้วว่าช่างตีเหล็กคนนี้ตีมันขึ้นมาจากแหนบรถยนต์จริง ๆ ตัวคมมีความเรียวแต่ไม่บางเบา
“ฝีมือดี!”
ถังเจิ้นชื่นชม หลังจากที่ชำระเงินเสร็จถังเจิ้นก็ออร์เดอร์เพิ่มอีก 500 เล่ม เอาเหมือนเดิม
ช่างตีเหล็กที่ได้งานก็มีความสุขจริง ๆ เพราะช่วงนี้ธุรกิจของเขาซบเซาเหลือเกินจนเขาจะปิดกิจการแล้ว ออร์เดอร์ของถังเจิ้นเรียกได้ว่าทำให้เขากลับมามีชีวิตอีกครั้งเลยทีเดียว และทำให้เขาสามารถสำแดงงานฝีมือที่ตกทอดกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษได้ด้วย
หากถังเจิ้นยังคงซื้อต่อเรื่อย ๆ ล่ะก็วันนี้ปีหน้ารับรองว่าเขาไม่ต้องห่วงเรื่องราคาบ้านและค่าสินสอดที่ลูกชายจะไปขอเมียแต่งแล้ว
แน่นอนว่าถังเจิ้นไม่รู้ว่าช่างตีเหล็กกำลังคิดอะไรอยู่ แต่เขาแค่หยิบมีดดาบทั้งมัดหนึ่งร้อยเล่มนั้นไปวางไว้ในรถแท็กซี่อย่างง่ายดาย
เมื่อเห็นฉากนี้ช่างตีเหล็กที่โอ้อวดความแข็งแกร่งตนอยู่เสมอถึงกับอึ้ง ๆ ไปและประเมินไอ้หนุ่มนี่ในใจว่ามันต้องแข็งแรงขนาดไหนกัน
ผ่านไปอีกหนึ่งวันบัดนี้ถังเจิ้นได้เตรียมของทั้งหมดเรียกได้ว่าพร้อมแล้ว จากนั้นก็เริ่มขนของข้ามโลก ครั้งนี้ถือได้ว่าเขาเตรียมของมาหลายอย่างมากเกินไปด้วยซ้ำ แม้จะมีช่องเก็บของขนาดหนึ่งลูกบาศก์เมตรแต่ก็ยังต้องใช้เวลานานมาก
เขาขุดหลุมแล้วเอาอาวุธเหล่านี้ซ่อนไว้จากนั้นก็ปิดหลุมอย่างดีเพื่อให้แน่ใจว่าจู่ ๆ จะไม่ถูกพวกผู้พเนจรที่บังเอิญผ่านทางมาเกิดเจอเข้า
และเมื่อเขากลับมาครั้งหน้าเขาจะพาเฉียนหลงมาขนส่งมีดดาบเหล่านี้กลับไปยังเมืองผู้พเนจร
เสร็จเรื่องซ่อนอาวุธแล้วถังเจิ้นก็เทเลพอร์ตกลับบ้าน