บทที่ 2 มันเริ่มตั้งแต่
บทที่ 2 มันเริ่มตั้งแต่
“โลกนี้มันห่วย... ทุกอย่างมันห่วย!''
เจเรมี่พึมพํากับตัวเองขณะที่เขาฮึดฮัดอยู่บนเตียง เขาหันไปเล็กน้อย วางหัวลงบนหมอนนุ่มสบาย ขณะที่ห่อตัวเขาด้วยผ้านวมหนาซึ่งดูเหมือนจะใหญ่เป็นสองเท่า
คลุมด้วยชุดคลุมสีน้ำเงิน ชุดนอนที่เขาสวมมีลายดาวทั่ว เขาหาวและเม้มริมฝีปาก
ทันใดนั้นก็มีเสียงกริ่งดังขึ้นตามด้วยเสียงเพลงสเตอริโอและเสียงกรุ๊งกริ๊งของท่วงทํานองของการบุกรุกเข้าไปในห้องที่เงียบและมืด เจเรมี่ได้ยินเสียงโห่ร้องและเสียงหวีดร้องของผู้คน ทําให้เขาเต็มด้วยความอึดอัด
"อึก! อี ไม่เอาอีกแล้ว!" เจเรมีคร่ำครวญขณะที่เขาก้มหน้าด้วยความขยะแขยงและหงุดหงิด เขาปิดหน้าต่างและประตูทุกบาน ปิดผ้าหม่านทั้งหมด และแม้แต่ห่มผ้านวมผืนโปรดของเขาเอง แต่เสียงแห่งการเฉลิมฉลองก็ยังส่งมาถึงเขาได้
เหลือบมองไปที่ผนัง เขาเห็นปฏิทินขนาดใหญ่แขวนอยู่ที่นั่น มันอยู่ในสภาพที่ดูไม่ได้ มีคราบน้ำและรอยขีดเต็มไปหมด มันมีรอยขีดเขียนอยู่หลายครั้ง แสดงให้เห็นวันเวลาที่ผ่านไป และวันเวลาที่เหลือ วันที่ไม่มีเครื่องหมายใด ๆ คือวันที่เขายังมีชีวิตรอด
สายตาของเขาจับจ้องไปที่เลขที่ทำเครื่องหมายไว้... วันที่ปัจจุบัน “วันที่ 25 ธันวาคม... วันคริสต์มาส...” เขาพึมพํา
เมื่อมีคนกล่าวถึงวันพิเศษดังกล่าว โดยปกติแล้วมักจะเต็มไปด้วยความยินดี ความกระตือรือร้น และความคาดหวัง แต่ไม่ใช่สําหรับเจเรมี่ ดวงตาของเขาเหนื่อยล้าและดูมึนงง เป็นหลักฐานของการตื่นสาย
เขานอนดูอนิเมะเรื่องโปรดและอ่านไลท์โนเวลและมังงะเป็นเวลาเกือบสามวันติดต่อกัน
เขาเคยสนุกกับการเล่นเกมโปรด แต่เนื่องจากค่าไฟฟ้าทําให้เขาต้องลดค่าใช้จ่ายลง
"โธ่ สเก็ตราคาถูกโคตรๆ"
เขาหลับตาและกระชับวัสดุหนารอบตัวเขาเพื่อหลีกหนีเสียงที่ดูเหมือนจะดังระงมไปทั่วพื้นที่ห้องของเขา. ถนนของเขา รัฐของเขา ประเทศของเขา... ทั้งโลก!
“จิงเกิลเบลส์ จิงเกิลเบลส์...”
“โนเอล โนเอล โนเอล...”
"นานมาแล้ว ในเบธเลเฮม..."
เสียงเพลงมันระคายหูของเขา และสิ่งที่เขาต้องการก็คือความสงบและเงียบ
"หุบปากได้แล้ว! มีอะไรจะฉลองกันนักหนา!" เขาตะโกนด้วยเสียงอู้อี้ภายใต้ผ้านวมที่มีฉนวนสูง
เขาตัดสินใจที่จะปล่อยให้ทุกอย่างจางหายไปและปล่อยให้ตัวเองจดจ่ออยู่กับสิ่งเดียว... กลิ่นหอมหวานของห้องของเขา บรรยากาศที่ปลอดภัย และวิธีที่เขาได้รับการปกป้องจากโรคระบาดของโลก กําแพงทั้งสี่ด้านคือสวรรค์ของเขานอกจากเสียงอึกทึกแล้ว ก็ไม่มีอะไรอื่นมาถึงเขาที่นี่ได้
นี่คือโลกของเขา ตัดขาดจากความเป็นจริงข้างนอกทั้งหมด
“น่าเสียดายที่มันอยู่แบบนี้ตลอดไปไม่ได้...” เขาคิดกับตัวเองอย่างเจ็บปวด
ในไม่ช้าเขาจะต้องกลับไปโรงเรียน เข้าเรียนในชั้นเรียนที่ทรหดทางจิตใจ และต้องถูกกลั่นแกล้งและเยาะเย้ยอย่างไม่สิ้นสุดอีกครั้งที่เขาได้รับจากคนรอบข้าง รุ่นพี่ หรือแม้แต่รุ่นน้องของเขา
เขาเป็นเพียงเศษขยะ เป็นคนที่โชคร้ายที่สุดในชีวิต... และเขาเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้
"ท่าไมฉันถึงยังมีชีวิตอยู่" เขามักจะถามตัวเอง
อย่างไรก็ตาม การอยู่คนเดียวในสถานที่แห่งนี้ช่วยปกป้องเขาจากโลกอันโหดร้ายที่รอเขาอยู่เมื่อ เวลาช่วงสั้น ๆ ของเขาสิ้นสุดลงแล้ว
"เวลาคริสต์มาสมาถึงแล้ว เวลาแห่งความสุข และเวลาแห่งเสียงเชียร์..." เจเรมี่ได้ยินท่วงทํานองของเพลงในขณะที่มันค่อยๆ เต้นผ่านหูของเขา ขณะที่จังหวะอันนุ่มนวลของเพลงซึมผ่านผิวหนังของเขา
เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะเย้ย
"ไชโยจริงๆ... บัดซบจริงๆ!"
และด้วยคําพูดสุดท้ายและความตั้งใจที่จะบอกลาโลกตลอดทั้งวันและการเฉลิมฉลอง เขาก็เข้าสู่ห้วงนิทรา
< จิงเกิลเบลส์ จิงเกิลเบลส์>
เจเรมีได้ยินเสียงระฆังประกอบกับเสียงสดุดี พวกมันค่อยๆ เข้าสู่จิตสํานึกของเขาอย่างช้าๆ และมันคง ราวกับจะปลุกเขาจากการหลับใหล แต่เขากลับเพิกเฉยต่อพวกมันทั้งหมด
<ขอให้คุณมีความสุขในวันคริสต์มาส>
เขาเพิกเฉยต่อสิ่งนั้นเช่นกัน พลิกตัวนอนในขณะที่เขายังคงเพลิดเพลินกับการหลับไหลอย่างโดดเดี่ยวในดินแดนแห่งจิตไร้สํานึก
เสียงระฆังยังคงดัง เพลงยังคงเล่น ซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่างไรก็ตามเจเรมีไม่ยอมลืมตา ดื้อรั้นตัดสินใจที่จะนอนอย่างเอาเป็นเอาตาย
ท้ายที่สุดเมื่อเขาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาจะต้องผ่านการวิ่งมาราธอนอีกครั้ง
“ฉันสงสัยว่าฉันจะจัดการ 5 วันในครั้งนี้ได้ไหม...” เขาพูดอ้อแอ้
เสียงเพลงค่อย ๆ จางหายไป สิ่งที่เหลืออยู่คือความเงียบงัน ไม่มีแม้แต่เสียงเล็ดลอดให้ได้ยิน เจเรมียิ้มด้วยความพึงพอใจและหลับใหลต่อไป
ในขณะที่เขาไม่รู้สึกตัว... เขาหลับตลอดวันคริสต์มาส!
ช่วงเวลาต่อมา
เจเรมี่ค่อยๆ ลืมตาขึ้น หลับตาลงเล็กน้อยเนื่องจากแสงที่เข้าตา เขาเอามือปิดหน้าและยังคงพยายามปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่สว่างจ้า
“แปลกจัง... ฉันไม่ได้ปิดหม่านไว้เหรอ ทุกที่ควรจะมืดแล้วตอนนี้...” เขาพึมพํา ขณะที่เขาขยี้ตาและพยายามปรับสายตาให้เข้ากับสิ่งรอบตัว การมองเห็นที่พร่ามัวของเขาก็ค่อย ๆกลับคืนมา ปากของเขาเปิดออกเมื่อเขาเห็นทุกสิ่งที่ตาของเขารับเข้ามา
"อะไรวะ!'' เขาพึมพํา
สถานที่ทั้งหมดเต็มไปด้วยสีขาวประดับด้วยลวดลายสีทองระยิบระยับอย่างที่เจเรมีไม่เคยเห็นมาก่อน น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของเขาเพราะเขาเพิ่งถูกปลุกให้ตื่น อย่างไรก็ตามทิวทัศน์ที่สวยงามเช่นนี้ก็เพียงพอแล้วสําหรับเขาที่จะตกตะลึง
“ข-ฉันอยู่ไหน...?!” เจเรมี่ถามตัวเอง
นี่ไม่ใช่ห้องของเขาแน่นอน
เขาจ้องมองไปรอบๆ และยังคงชื่นชมกับทิวทัศน์อันน่าทึ่งที่เขาเพลิดเพลินอย่างมาก ด้วยชุดนอนที่ยังสวมอยู่และหมอนที่เขาพกติดตัวอยู่เสมอ เขาค่อยๆ เดินไปรอบๆ โดยไม่ได้สวมอะไรเลยนอกจากถุงเท้า
ราวกับว่าเขาอยู่ในโลกมังงะหรือโลกนิยาย
“ฉันเคยอ่าน...” เจเรมีถามตัวเองเมื่อนึกถึงความเป็นไปได้ที่จะถูกอัญเชิญไปยังอีกโลกหนึ่ง หากเป็นเช่นนั้นจริง ความสุขของเขาคงเกินขอบเขต อย่างไรก็ตามเจเรมีเคยฝันแบบนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ดังนั้นเขาจะไม่ยอมปล่อยให้ภาพที่เห็นนี้มาทําให้เขาด่วนสรุปไปเอง
“หรือบางทีฉันอาจจะแค่ฝันไป เหมือนเดิม... บัดซบจริง!”
ขณะที่เขาสังเกตบริเวณนั้นไปเรื่อย ๆ ก็มีแสงสีขาวซึ่งดูเหมือนเป็นรูปร่างของชายคนหนึ่งพุ่งเข้ามาหาเขา เจเรมี่หมกมุ่นอยู่กับบริเวณนั้นมากจนไม่ทันสังเกตแสงแห่งความรู้สึกที่อยู่ข้างๆ เขา “ช่างน่าประหลาดใจเหลือเกิน....” ร่างสีขาวพูดอย่างแผ่วเบา อย่างไรก็ตาม น้ำเสียงนั้นทุ้มและมีอำนาจ
เสียงที่ดังฉับพลันนี้ทําให้เจเรมี่ตกใจ ทําให้ตัวของเขาสะดุ้งขณะที่เขาถอยออกจากตําแหน่งที่ยืนอย่างรวดเร็ว
"ก๊าก!' เขาตะโกน
“ใจเย็นๆ เจ้ามนุษย์” แสงตอบไม่มีปากหรืออวัยวะอื่นใด มีเพียงรูปร่างคล้ายมนุษย์ มันยืนอยู่ตรงข้ามกับเจเรมีซึ่งรักษาระยะห่างระหว่างพวกเขา เจเรมีมองมันอย่างสงสัย หัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้นด้วยความกลัวและความหวาดหวั่นเล็กน้อย
“จ-เจ้าเป็นใคร...?!” เขาถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
แสงนั้นเงียบไปครู่หนึ่งและมองเจเรมีอย่างใกล้ชิด มันส่ายหัวและดูเหมือนจะถอนหายใจ "ข้าเป็นบุคคลที่เจ้าเรียกว่าพระเจ้า.... และขณะนี้เจ้าอยู่ในโซนรางวัล'' สิ่งที่อ้างว่าตัวเองเป็นพระเจ้าพูดขึ้น
"รางวัล...?" เจเรมีพึมพํา พูดซ้ำคำพูดของพระเจ้า แต่ดูลังเลและสับสน "ใช่ มันเป็นรางวัลที่มนุษย์ทุกคนได้รับจากข้าเมื่อวานนี้ในวันคริสต์มาส" มันเพิ่ม ทําให้เจเรมีสับสนมากยิ่งขึ้น มันซับซ้อนเกินกว่าจะเป็นความฝัน และเขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ "แต่ใครจะคาดคิดเรื่องนี้ได้ล่ะ? โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ข้าเลือกเวลาที่เหมาะสมที่สุดสําหรับมนุษย์ทุกคนที่จะถูกเคลื่อนย้ายมาห้องนี่ภายใน 1 ชั่วโมง... ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่เหมือนคนอื่น...." บุคคลที่ถูกเรียกว่าพระเจ้าพูดต่อ
"การที่เจ้าได้นอนทั้งวัน โดยเฉพาะวันคริสต์มาส... เจ้าคือความผิดปกติอย่างแน่นอน"
เจเรมียังคงได้ยินเสียงที่แสงพูดระบายความรู้สึก อย่างไรก็ตามมีเพียเท่านั้นที่เขาสามารถทำได้ เพราะตอนนี้เขารู้สึกประหลาดใจและสับสนอย่างมาก
“เฮ้ นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นเนี่ย!” ในที่สุดเจเรมีก็ตอบด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้น สิ่งนี้ทําให้พระเจ้าที่กำลังมองเขา หยุดการพิจารณาและมองดูใบหน้าที่สิ้นหวังของเจเรมี
"ระวังภาษาของเจ้า... เจ้ายืนอยู่บนพื้นที่อันศักดิ์สิทธิ์!'' พระเจ้าตรัสด้วยน้ําเสียงแผ่วเบา สิ่งนี้ทําให้เจเรมีครวญคราง ดึงตัวเองออกมาอย่างเขินอายเขาถูมือเข้าหากันเล็กน้อย รู้สึกอึดอัด และประหม่าในพื้นที่แปลกๆนี้
"ชั่วโมงที่แล้ว ในช่วงเวลานี้ ข้าเรียกมนุษย์ทุกคนมาที่ห้องนี้ เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง ในวันที่ 25 ธันวาคม โดยไม่คํานึงถึงเขตเวลาและความแตกต่างของพวกเขาทุกคนตื่นขึ้น ข้าใช้เหตุการณ์นี้เพื่อนําคนเหล่านั้นเข้ามาในโลกนี้ และมอบ 'กี๊ฟ' ให้กับพวกเขาทั้งหมด"
"อะ-อะไรนะ? ฉันไม่เข้าใจ... ของขวัญมันหมายถึงพลังหรือไม่?" เจเรมีพึมพําด้วยสีหน้าตกตะลึง
"พลัง? ข้าคิดว่าเจ้าสามารถเรียกมันอย่างนั้นได้ ข้ามอบระบบศักดิ์สิทธิ์ให้พวกเขา รวมถึงแพ็คเกจพิเศษเฉพาะสําหรับแต่ละคน"
ด้วยทุกสิ่งที่เขาเห็น มันยากที่จะไม่เชื่อในสิ่งที่เขาได้ยิน แม้ว่ามันจะเป็นความฝัน แต่เขาก็อยากให้มันเป็นจริง
“ท-แล้ว... ตอนนี้ฉันอยู่ที่นี่...หมายความว่า...?” เจเรมีพึมพำ
"ใช่ โชคไม่ดีที่เจ้าไม่ได้ถูกอัญเชิญมาพร้อมกับคนอื่นๆ ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถรับระบบศักดิ์สิทธิ์หรือของขวัญได้ นั่นคือสาเหตุที่โลกปฏิเสธเจ้าและบังคับให้เจ้ามาที่นี่เช่นเดียวกับที่เจ้าเริ่มมีสติสัมปชัญญะกลับคืนมา'' พระเจ้าทรงตอบ
“ฉันไม่มีของขวัญเลยเหรอ?” เจเรมีพึมพํา
"ใช่ และตราบใดที่เจ้าไม่มีของขวัญใดๆ เจ้าก็ไม่สามารถกลับไปยังโลกได้ มันจะปฏิเสธการมีอยู่ของเจ้า" พระเจ้าทรงตอบ
“ฉันคงกลับไปยังโลกไม่ได้อีกแล้ว... ฉันจะติดอยู่นอกโลก...” เจเรมีพึมพำครุ่นคิดถึงความเป็นจริงใหม่ที่เกิดขึ้นกับเขา
"อันที่จริง ข้าเข้าใจว่าเจ้าอาจไม่พอใจกับเรื่องนั้น และ..."
"คุณล้อเล่นเหรอ ท่าไมฉันถึงจะไม่พอใจ" จู่ๆ ใบหน้าของเจเรมีก็ยิ้มกว้าง
เขามีสีหน้าโล่งใจในขณะที่เขากระโดดด้วยความดีใจ
เหตุผลเดียวที่เขายังคงอยู่ในโลกของเขาก็เพราะเขาเป็นคนขี้ขลาด กลัวเกินกว่าจะใช้ชีวิตอันไร้ค่าของตัวเอง ด้วยโลกที่เต็มไปด้วยทุกคนที่มีพลัง มันคงเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายและอันตรายที่สุดสําหรับเขาอย่างแน่นอน
เมื่อเทียบกับความยากลําบากเช่นนี้ เขาค่อนข้างอยากจะอยู่กับพระเจ้าองค์นี้
“เจ้าพูดอะไร...” พระเจ้าถามด้วยท่าทางสับสน
“ฉันไม่อยากกลับไป... ฉันจะอยู่ที่นี่... กับท่าน! ท้ายที่สุดแล้วสฉันไม่มีกิ๊ฟ... ใช่ไหม?” เจเรมียิ้ม
“ทุกอย่างในโลกนี้ล้วนแต่เป็นขยะทั้งนั้น.... แต่ตอนนี้ฉันไม่ต้องอยู่ในนั้นแล้ว!”ในที่สุดเขาก็มาถึงสรวงสวรรค์น่าเสียดายสําหรับเจเรมี เขาไม่น่าพลาดอย่างน่ายินดีอย่างนี้เลย