ตอนที่ 90: ตัวประกอบ
ตอนที่ 90: ตัวประกอบ
ชาหลงจิ่งให้ทั้งความรู้สึกสดชื่นนุ่มนวลและกลมกล่อม โดยชาหลงจิ่งที่เซี่ยเฟยได้นำมานี้เป็นชาที่เก็บมาก่อนช่วงฤดูฝนมันจึงถูกเรียกว่าหมิงเฉียนหลงจิ่ง
โดยปกติก่อนช่วงฤดูฝนจะเป็นช่วงที่ต้นชามีใบอ่อนเพียงยอดเดียว ซึ่งในช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ชาหลงจิ่งมีความหอมและกลมกล่อมมากที่สุด ดังนั้นถึงแม้ว่าใบชาที่เซี่ยเฟยนำมาจะบรรจุเอาไว้ในหม้อขนาดเล็ก แต่มูลค่าของชาหม้อนี้กลับสูงถึง 20,000 แอลไลคอยน์
“ชาดี! ชาดี! ชานี่มันนุ่มกว่าชาเข็มหิมะที่ฉันเคยกินเสียอีก ถ้าหากเปรียบชาเข็มหิมะเหมือนกับสาวสวย ชานี่ก็เหมือนกับเด็กสาวที่กำลังเบ่งบาน ชาแต่ละชนิดต่างก็มีจุดเด่นเป็นของตัวเอง ฉันไม่คิดว่าในดาวบ้านเกิดของนายจะมีชาที่ดีขนาดนี้อยู่ด้วย” ฉินหมางกล่าวด้วยรอยยิ้มหลังจากที่เขาได้ดื่มชาหลงจิ่งเข้าไป
“ความจริงถ้าเอาชาชนิดนี้ต้มกับน้ำแร่ในท้องถิ่นมันจะยิ่งชูรสชาติมากขึ้นไปอีก ผมเห็นว่าคุณตาชอบ ผมจะมอบชาเอาไว้ให้กับคุณตาอีก 2 กระป๋องก็แล้วกัน” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย
หลังจากพูดจบเซี่ยเฟยก็หยิบกระป๋องสีเขียวกระป๋องเล็ก ๆ ออกมาจากแหวนมิติขึ้นมาวางเอาไว้บนโต๊ะให้กับฉินหมางอย่างสุภาพ
“การแข่งขันเมื่อวานนี้นายทำได้ดีมาก ไม่น่าเชื่อว่านายจะทำให้รถธรรมดาวิ่งได้เร็วเท่ากับรถของนักแข่งมืออาชีพ ช่วยบอกหน่อยได้ไหมว่านายไปเรียนรู้ทักษะงานช่างมาจากใคร” ฉินหมางถามขณะดื่มชา
“ผมได้เรียนรู้เรื่องช่างมาจากคุณลุงที่ชื่อว่าพอตเตอร์ในสุสานยานอวกาศครับ อันที่จริงผมยังคิดว่าทักษะงานช่างของผมยังด้อยมากเมื่อเทียบกับช่างคนอื่น ๆ ภายในอู่ แต่ลุงพอตเตอร์เคยบอกว่าเครื่องจักรทุกชนิดจะมีขีดจำกัดเป็นของตัวเอง ตราบใดก็ตามที่เราสามารถหาขีดจำกัดนั้นเจอเราก็จะสามารถดัดแปลงเครื่องจักรให้ปลดปล่อยศักยภาพออกมาได้อย่างสูงสุด” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับจุดบุหรี่
ฉินหมางใช้มือลูบผมขาว ๆ บนศีรษะราวกับว่าเขากำลังใช้ความคิด จากนั้นเขาก็อุทานออกมาว่า
“พอตเตอร์งั้นหรอ? ชื่อนี้มันคุ้น ๆ อยู่นะ ว่าแต่ปีนี้เขาอายุเท่าไหร่? แล้วหน้าตาเขามีลักษณะยังไง?” ฉินหมางถาม
หลังจากนั้นเซี่ยเฟยก็อธิบายรูปลักษณ์ของพอตเตอร์ให้ฉินหมางฟังพร้อมกับเล่าเรื่องการดัดแปลงยานลูน่าในสุสานยานอวกาศ ซึ่งมันก็ทำให้ฉินหมางรู้สึกตื่นเต้นจนดวงตาเปล่งประกาย
“คุณตารู้จักกับลุงพอตเตอร์หรอครับ?” เซี่ยเฟยถาม
“ฉันไม่รู้จักเขาหรอก แต่ถ้ามีโอกาสฉันก็อยากจะรู้จักกับเขาดูสักครั้ง” ฉินหมางตอบพร้อมกับส่ายหัว
“ถึงแม้นิสัยของเขาจะแปลก ๆ ไปสักหน่อย แต่ถ้าหากคลุกคลีกับเขานาน ๆ คุณตาจะพบเองว่าลุงพอตเตอร์เป็นคนง่าย ๆ วันหนึ่งถ้าหากคุณตาต้องการจะซื้อยาน ผมจะช่วยแนะนำคุณตาให้กับลุงพอตเตอร์เองครับ” เซี่ยเฟยกล่าวอย่างจริงใจ
“ฉันจะต้องการยานอวกาศไปทำไม คนแก่แบบฉันไม่ต้องการท่องอวกาศอีกแล้ว ขอแค่ฉันใช้ชีวิตทุก ๆ วันได้อย่างมีความสุขแค่นั้นฉันก็พอใจแล้ว” ฉินหมางกล่าวพร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดัง
“นั่นสิ คนอายุรุ่นคุณตาควรจะต้องอยู่บ้านเลี้ยงหลานและมีความสุขกับครอบครัว ว่าแต่ทำไมคุณตาถึงยังทำงานอยู่ล่ะครับ” เซี่ยเฟยกล่าวถาม
“เฮ้อ! ถ้าฉันเกษียณแล้วฉันควรจะทำยังไงกับสมบัติพวกนี้ดี” ฉินหมางถอนหายใจพร้อมกับกวาดสายตามองไปยังห้องสมุดที่ไร้ผู้คน
“การหาคนอื่นมาดูแลห้องสมุดแห่งนี้แทนคงจะไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคุณตาเลยสินะครับ” เซี่ยเฟยกล่าว
“วันมะรืนนี้ค่ายฝึกจะเปิดการเรียนการสอนอย่างเป็นทางการแล้ว ว่าแต่นายคิดเอาไว้แล้วหรือยังว่าจะเข้าร่วมกับแผนกไหน” ฉินหมางพยายามถามเปลี่ยนเรื่อง
“ผมยังไม่ได้คิดเลยครับ จากบรรดาแผนกทั้งหมดในค่ายฝึกผมสนใจแต่แผนกค่ายชั้นในที่ลึกลับแต่ผมยังไม่มีคุณสมบัติจะเข้าร่วมค่ายชั้นใน สำหรับคนแผนกนอกอย่างผมแล้วผมก็คิดว่าไม่ว่าผมจะเลือกแผนกไหนมันก็เหมือน ๆ กันหมด” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับใช้มือขยี้ดับก้นบุหรี่
“หือ... ทำไมนายถึงคิดแบบนั้นล่ะ?” ฉินหมางถามด้วยความสงสัย
“ผมได้ทำการตรวจสอบกฎระเบียบของค่ายฝึกแล้วและผมก็พบว่าสถานที่ฝึกฝนเปิดให้บริการสำหรับนักเรียนทุกคน หรือมันอาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าถึงแม้ผมจะเข้าร่วมกับแผนกไหน แต่ผมก็ยังสามารถใช้สิ่งอำนวยความสะดวกในการฝึกฝนได้เหมือนเดิม” เซี่ยเฟยอธิบาย จากนั้นเขาก็กล่าวต่อไปว่า
“เหตุผลอย่างที่ 2 คือนักเรียนภายในค่ายสามารถใช้คะแนนพิเศษเพื่อลงทะเบียนเรียนวิชาของแผนกอื่นได้ ด้วยเหตุนี้ถึงแม้ว่าผมจะเข้าร่วมกับแผนกสัตว์อสูรแต่ผมก็สามารถใช้คะแนนพิเศษเพื่อลงทะเบียนเรียนวิชาของแผนกกลยุทธ์ได้เหมือนกัน”
“นักเรียนทุกคนภายในค่ายสามารถเรียนรู้หลักสูตรพื้นฐานได้ฟรี ๆ แต่ถ้าหากว่าใครต้องการจะไปยืนอยู่บนชั้นแนวหน้าการเรียนรู้เพียงแค่หลักสูตรพื้นฐานก็ยังไม่เพียงพอ ดังนั้นสิ่งสำคัญคือการกำหนดทิศทางพร้อมกับค่อย ๆ หาความรู้มาเติมเต็มเป้าหมายของตัวเอง”
“ในความคิดของผมสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการหาคะแนนพิเศษมาใช้เรียนในวิชาที่สนใจ เพราะหลักสูตรพื้นฐานเป็นเรื่องที่เข้าเรียนเพียงแค่ไม่กี่ครั้งก็น่าจะจำได้จนหมดแล้ว”
หลังจากได้ฟังคำอธิบายของเซี่ยเฟย ฉินหมางก็อดที่จะพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วยขึ้นมาไม่ได้ ก่อนที่เขาจะได้กล่าวออกไปด้วยความประหลาดใจว่า
“การวิเคราะห์ของนายเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ค่ายฝึกแห่งนี้ไม่ใช่โรงเรียนและสิ่งที่ถูกเตรียมเอาไว้ภายในค่ายก็เป็นเพียงแค่สภาพแวดล้อมที่เหมาะสำหรับการฝึกฝนเท่านั้น ดังนั้นขอแค่นายตั้งใจนายก็จะสามารถประสบความสำเร็จในวิชาสาขาใดก็ได้”
“นอกจากสิ่งที่ผมอธิบายไปแล้ว ผมยังได้พบว่าถึงแม้ค่ายฝึกจัสทิสลีกจะมีขนาดใหญ่และมีนักเรียนภายในค่ายอย่างมากมาย แต่คนส่วนใหญ่ภายในค่ายก็เป็นเพียงแค่ตัวประกอบ” เซี่ยเฟยกล่าว
“ทำไมนายถึงพูดอย่างนั้นล่ะ? หรือนายกำลังจะหมายถึงสิ่งอำนวยความสะดวกในค่ายฝึกยังไม่ดีพอ” ฉินหมางกล่าวถามอย่างสับสน
เซี่ยเฟยเทน้ำชาเติมให้กับชายชราก่อนจะเติมให้กับตัวเอง จากนั้นเขาก็กล่าวอธิบายเพิ่มเติมว่า
“ผมได้ค้นพบความลับเรื่องนี้หลังจากที่ผมได้สังเกตค่ายฝึกตั้งแต่ที่ผมได้เข้ามา”
ฉินหมางดูเหมือนจะสนใจคำพูดของชายหนุ่มมาก ดังนั้นเขาจึงเงียบเสียงพร้อมกับตั้งใจฟัง
“อันที่จริงค่ายฝึกจัสทิสลีกควรจะหมายถึงค่ายชั้นในเท่านั้น ส่วนแผนกย่อยอื่น ๆ ในส่วนที่เหลือต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นตัวประกอบของค่ายชั้นใน”
“สถานการณ์ภายในค่ายคล้าย ๆ กับการแข่งขันคัดเลือก โดยนักเรียนที่อยู่ในแผนกต่าง ๆ เป็นเหมือนกับตัวสำรองที่รอคอยให้ถูกคัดเลือกโดยค่ายชั้นใน”
“น่าเสียดายที่ค่ายชั้นในรองรับเฉพาะผู้ที่มีพรสวรรค์ระดับสูงสุดเท่านั้น แต่นักเรียนทุกคนภายในค่ายต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่ถูกคัดเลือกมาอย่างดี แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่ผู้ที่มีพรสวรรค์ระดับสูงสุดแต่พวกเขาก็ยังคงเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่โดดเด่นอยู่ดี ทางค่ายจึงไม่สามารถปล่อยเด็กนักเรียนพวกนี้ไปเฉย ๆ ได้”
“ด้วยเหตุนี้เองทางค่ายฝึกจึงได้ทำการก่อตั้งแผนกต่าง ๆ ขึ้นมาเพื่อรองรับนักเรียนที่ไม่มีคุณสมบัติเข้าไปยังค่ายชั้นใน ดังนั้นถึงแม้ว่านักเรียนส่วนใหญ่จะไม่สามารถพัฒนาจนกลายเป็นยอดฝีมือแต่พวกเขาก็ยังสามารถออกไปเป็นมดงานให้กับสมาพันธ์ได้”
ถ้วยน้ำชาภายในมือของฉินหมางกำลังสั่นไหวเนื่องจากอาการตื่นเต้นของชายชรา โดยในขณะนี้เขากำลังรู้สึกตกใจกับทฤษฎีของเซี่ยเฟยเป็นอย่างมาก
“นายเป็นคนคิดเรื่องนี้ทั้งหมดคนเดียวหรอ?” ฉินหมางถามด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ
“ใช่ครับ น่าเสียดายที่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่โหดร้ายจนเกินไป เด็กนักเรียนส่วนใหญ่จึงไม่น่าจะรู้ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเรียนจบออกไปแล้วก็ตาม ท้ายที่สุดพวกเขาก็ถูกใช้เป็นเพียงแค่เครื่องมือสำหรับคนอื่น ถ้าหากพวกเขารู้เรื่องนี้เข้าพวกเขาก็คงจะเสียใจมาก” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับยักไหล่
“นายรู้เรื่องนี้ได้ยังไง?” ฉินหมางถามอีกครั้ง
“เรื่องนี้มันก็ชัดอยู่แล้วนี่ครับ แผนกอื่น ๆ มีตั้งมากมายแต่ค่ายชั้นในมีเพียงแค่ที่เดียว ไม่ว่าใครในค่ายต่างก็รู้ว่าค่ายชั้นในคือพื้นที่ชั้นยอดสำหรับนักเรียนที่ดีที่สุดในแต่ละปีเท่านั้น” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้ม จากนั้นเขาก็ได้กล่าวต่อไปอีกว่า
“ผมคิดว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นการยืนยันความคิดของผมได้เป็นอย่างดีว่ามันมีเฉพาะค่ายฝึกชั้นในที่เป็นค่ายฝึกจัสทิสลีกที่แท้จริง ส่วนแผนกต่าง ๆ เป็นเพียงแค่ทางออกให้กับนักเรียนที่ไม่ผ่านบททดสอบ พวกเขาจะได้มีที่ไปหลังจากที่ออกไปจากค่ายแห่งนี้”
“การทำแบบนี้ถือได้ว่าเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เพราะไม่เพียงแต่ทางค่ายฝึกจะช่วยหาทางออกให้กับนักเรียนที่ไม่ผ่านบททดสอบได้เท่านั้น แต่นักเรียนที่จบออกไปยังช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับทางค่ายฝึกได้อีกด้วย”
“เยี่ยมมาก! วิเศษจริง ๆ! นี่เป็นบทวิเคราะห์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้ยินมา” ฉินหมางปรบมือให้กับการวิเคราะห์ของเซี่ยเฟย
“ใช่แล้ว นายพูดถูกว่าแผนกชั้นนอกทั้งหมดเป็นเพียงแค่ตัวประกอบของค่ายชั้นใน เหตุผลที่ทางค่ายได้ทำการคัดเลือกนักเรียนเข้ามาเป็นจำนวนมาก นั่นก็เพราะพวกเขาจะได้ทำการคัดเลือกนักเรียนเข้าค่ายชั้นในได้ง่ายมากขึ้น”
“อย่างไรก็ตามข้อกำหนดของการเข้าค่ายชั้นในมันก็มีมากกว่าแค่ความแข็งแกร่ง, ลักษณะนิสัยและความเฉลียวฉลาด เพราะทุกคนที่จะเข้าสู่ค่ายชั้นในได้จำเป็นจะต้องผ่านการทดสอบในระยะยาวเพื่อให้แน่ใจเสียก่อน” ฉินหมางกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“แม้แต่อาจารย์ที่ทำงานในค่ายฝึกมาทั้งชีวิตหลาย ๆ คนก็ยังไม่เข้าใจในเรื่องนี้ด้วยซ้ำ แต่นายมาที่ค่ายได้เพียงแค่ไม่กี่วันกลับสามารถมองเห็นแก่นแท้ของค่ายฝึกแห่งนี้ได้แล้ว เพียงแค่การคิดวิเคราะห์ของนายเพียงอย่างเดียวมันก็เพียงพอที่จะทำให้นายมีคุณสมบัติเข้าร่วมกับค่ายชั้นในแล้ว”
แมวดำที่นอนหลับสนิทได้ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งและดวงตาสีทองของมันก็ได้จับจ้องมองไปยังเซี่ยเฟย
หลังจากนั้นมันก็ลุกยืนขึ้นพร้อมกับเดินไปคลอเคลียบริเวณขาของชายหนุ่มและส่งเสียงร้องออกมา 2-3 ครั้งราวกับว่ามันต้องการให้เซี่ยเฟยอุ้มมันขึ้นไปกอด
“ว่าไงเจ้าแมวอ้วน” เซี่ยเฟยอุ้มแมวขึ้นมากอดในอ้อมแขน
แมวดำใช้ใบหน้าอ้วน ๆ ของมันถูแขนของเซี่ยเฟยอย่างออดอ้อน ก่อนที่มันจะก้มหน้าลงและนอนหลับไปอีกครั้ง
“ดูเหมือนเหล่าเฮยจะหิวแล้วสินะ” ฉินหมางกล่าวด้วยรอยยิ้มก่อนที่เขาจะหยิบกุญแจดอกสีเงินออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้กับเซี่ยเฟย
“นายช่วยลงไปที่ห้องใต้ดินแล้วเอาอาหารแมวขึ้นมาให้หน่อยได้ไหม ฉันแก่แล้วไม่อยากเดินขึ้นลงบันไดบ่อย ๆ มันปวดหลัง”
“ได้ครับ... ว่าแต่อาหารแมวมันอยู่ห้องไหนหรอครับ?” เซี่ยเฟยวางเหล่าเฮยลงบนโต๊ะพร้อมกับเดินไปยังห้องใต้ดิน
“ห้องไหนที่กุญแจไขได้ก็ห้องนั้นแหล่ะ” ฉินหมางกล่าว
หลังจากเซี่ยเฟยเดินหายลับไปจากสายตา ฉินหมางก็อุ้มเหล่าเฮยขึ้นมาในอ้อมแขนพร้อมกับลูบขนของมันเบา ๆ
“เอาล่ะตอนนี้ฉันมอบโอกาสให้กับเขาแล้ว มารอดูกันว่าเด็กคนนี้จะเป็นคนฉลาดจริง ๆ หรือเปล่า”
ในชั้นใต้ดินมีประตูอยู่ทั้งหมด 2 บานแยกกันทางฝั่งซ้ายและฝั่งขวา โดยประตูทำขึ้นมาจากโลหะผสมสีเงินแต่มันก็ไม่ได้ดูมีอะไรเป็นพิเศษ
เซี่ยเฟยเลือกเดินไปทางประตูด้านขวาก่อนพร้อมกับเสียบกุญแจเข้าไป แต่ถึงแม้ว่าเขาจะบิดมันหลายครั้งแล้วแต่ประตูก็ไม่เปิดออก ดังนั้นเขาจึงเดินไปหาประตูทางด้านซ้ายแทน
การไขประตูห้องทางด้านซ้ายผ่านไปอย่างราบรื่นและทันทีที่ประตูได้เปิดออก ดวงตาของเซี่ยเฟยก็ต้องเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง
***************
ไอ้เหมียว…เอ็งไม่ใช่แมวธรรมดาใช่มั้ย สารภาพมาซะดี ๆ!!!