ตอนที่ 46 การเปลี่ยนแปลงของความคิดเห็นสาธารณชน
“ป่าอะไรเนี่ย… เกิดอะไรขึ้น?”
ห่างออกไปไม่กี่กิโลเมตร
ผู้คนนับไม่ถ้วนในเขตปลอดภัยคานาอันออกมาจากบ้านของพวกเขาและเงยหน้าขึ้นจากที่ทำงานเพื่อดูป่าทมิฬขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนต้นไม้โลกสีดำ
ต้นไม้ขนาดใหญ่ที่สูงกว่าสองร้อยเมตรและกว้างหลายสิบเมตรดูเหมือนจะดูดซับพลังในอากาศและยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“เมื่อกี้คุณไม่ได้ดูการถ่ายทอดสดเหรอ มันคือฝีมือของหลินเซิน เขาควบคุมกิ่งไม้เหล่านั้นและแทงฮั่นเทียนจั้วจนตาย”
“นี่เป็นข่าวใหญ่ นายน้อยของฮั่นคอร์ปอเรชั่นซึ่งเป็นผู้นำในอนาคตของบริษัทเสียชีวิตเช่นนั้น คนเหล่านั้นที่หมกมุ่นกับองค์กรทุกวันจะคิดอย่างไร”
“ฉันคิดว่าหลินเซินเป็นคนดี คนของฮั่นคอร์ปอเรชั่นสมควรตาย พวกทุนนิยมชั่ว ๆ ฉันทำงานในเขตปลอดภัยคานาอันมาครึ่งชีวิตแล้ว แม้ว่าฉันจะทำงานหนักแทบตาย ฉันแทบจะไม่ได้พักในแต่ละวัน ฉันไม่สามารถแม้แต่จะเห็นหน้าภรรยาของฉัน คุณคิดว่าฉันมีเหตุผลพอไหมล่ะ”
มีคนถามคำถามที่ทุกคนคาใจมาก
“หลินเซิน... เป็นผู้ทรยศต่อมวลมนุษย์จริงหรือ ท้ายที่สุดพี่สาวของเขาก็เป็นสัตว์อสูรในการถ่ายทอดสด…”
ทันทีที่เขาพูดแบบนี้ อีกคนก็เยาะเย้ยทันที
“ถ้าไม่กลัวตายก็ไปต่อต้านเขาซะสิ ไปขับไล่เขา ดูความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา หากป่าทมิฬเหล่านั้นสามารถเติบโตต่อไปได้หรือหากมันสามารถเคลื่อนไหวได้ แม้ว่าพวกเราทุกคนในเขตปลอดภัยคานาอันจะร่วมกันโจมตี พวกเราก็จะเป็นเพียงมดที่เขาสามารถบดขยี้ได้ตามต้องการ”
“ถ้าหลินเซินเต็มใจที่จะปกป้องเขตปลอดภัยตานาอัน เราก็ไม่ต้องกังวลว่าเมืองจะถูกทลายเมื่อกระแสสัตว์อสูรจู่โจมในอนาคต”
“สิ่งที่ฮั่นเทียนจั้วพูดเกี่ยวกับสังคมมนุษย์และการขับไล่หลินเซิน ในความคิดของฉันมันเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด ใครจะยอมทิ้งความช่วยเหลือจากผู้ทรงพลังนี้ เว้นแต่คุณจะมีความแค้นต่อเขา”
มีคนจุดบุหรี่สูบแล้วสรุปว่า “ท้ายที่สุดแล้ว ตราบใดที่คุณแข็งแกร่งก็จะไม่มีใครยอมทอดทิ้งคุณและทำให้คุณขุ่นเคือง แม้กระทั่งมีคนที่จะบูชาคุณราวกับพระเจ้า”
“เหมือนกับที่บางคนที่บูชาคนรวยเมื่อหลายสิบปีก่อน เพราะเวลานั้นเงินมันคืออำนาจ”
“ยุติธรรมแล้ว”
“เฮ้อ ก้าวไปข้างหน้าทุกก้าว ผู้มีอำนาจส่วนใหญ่ในปัจจุบันเป็นลูกหลานของตระกูลที่ร่ำรวยในตอนนั้น สำหรับพวกเราสามัญชน เราสามารถเป็นเหมือนหลินเซินได้เท่านั้น พึ่งพาโชคเพื่อปลุกอาชีพที่ทรงพลังในวันหนึ่งเพื่อเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของเรา”
“เฮ้อ”
“ตอนนี้หลินเซินอายุเพียงสิบแปดปีเท่านั้น ช่างน่ากลัว ฉันไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่าเขาจะไปได้ไกลแค่ไหนในอนาคต”
“ถ้าเขาสามารถกลายเป็นตำนานได้ในที่สุด เราทุกคนจะเป็นสักขีพยานของตำนาน ฮ่า ๆ”
หลังจากได้เห็นความแข็งแกร่งที่น่าสะพรึงกลัวของหลินเซิน ทัศนคติของผู้คนในเขตปลอดภัยคานาอันก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
“พี่สาว คุณช่วยหลินเซินได้ไหม”
บนท้องฟ้าห่างจากอาคารฮั่นคอร์ปอเรชั่นหลายร้อยเมตร กู่ว่านเอ๋อและพี่สาวของเธอมองลงไปที่ทะเลต้นไม้สีดำ ราวกับเป็นไฟแห่งการชำระที่ได้พุ่งลงมาและเธอพูดขึ้นด้วยความยากลำบาก
ในขณะนี้ พวกเขากำลังยืนอยู่บนเมฆสีขาวก้อนใหญ่ ราวกับนางฟ้าที่ขี่เมฆ
แต่เห็นได้ชัดว่ากู่ว่านเอ๋อและพี่สาวของเธอไม่ได้สงบนิ่งเหมือนกับเหล่านางฟ้า
เมื่อมองดูคนสองคนที่ต่อสู้กันในทะเลต้นไม้ ผู้หญิงที่ดูอ่อนโยนก็ดูทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย
“เธอประเมินฉันสูงเกินไป”
เธอสวมชุดสีเขียวที่พันรอบร่างที่สวยงามของเธอ ผมสีฟ้าของเธอยาวถึงเอวและรัศมีโบราณของเธอก็ขับเน้นความงามของเธอ
“ทั้งสองฝ่ายมีพลังการต่อสู้ในระดับทองคำดำแล้ว แม้ว่าหลินเซินจะอยู่ในระดับเงินเพียงเท่านั้น แต่กิ่งไม้ที่เขาควบคุมนั้นทรงพลังมาก พวกมันเพียงพอสำหรับเขาที่จะต่อกรกับฮั่นเทียนหลินที่อยู่ระดับทองคำดำโดยไม่มีการเสียเปรียบ”
“ฉันเป็นเพียงสิ่งเล็ก ๆ ธรรมดา ๆ ในระดับทอง”
“อะไรนะ... หลินเซินถึงระดับเงินแล้ว ?”
ดวงตาที่สวยงามของกู่ว่านเอ๋อเบิกกว้างด้วยความตกใจ
“อืม... ยังไงก็ตาม ฉันจำได้ว่าเขาอยู่กลุ่มเดียวกับเธอใช่ไหม ช่างน่ากลัว ในเวลาเพียงไม่กี่วันเขาก็สามารถเลื่อนระดับจากเหล็กเป็นระดับเงินได้ ฉันเกรงว่ามีคนไม่มากนักในประเทศเซี่ยที่มีความสามารถมากกว่าเขา”
“ยิ่งกว่านั้น เขาเป็นเพียงระดับเงินเท่านั้นแต่เขาเทียบได้กับผู้เชี่ยวชาญอาชีพสายต่อสู้ระดับทองคำดำแล้ว อนาคตของเขาไร้ขีดจำกัดอย่างแท้จริง”
“อาจารย์ใหญ่จะยอมรับเขาอย่างแน่นอน เยี่ยมมากตอนนี้ฉันมีวิธีที่จะหยุดพวกเขาไม่ให้ต่อสู้แล้ว”
หลังจากได้รับการเตือนจากกู่ว่านเอ๋อ พี่สาวในชุดสีเขียวก็ตระหนักว่าเกิดอะไรขึ้น เธอหยิบกระดาษสีเหลืองที่ดูเหมือนเครื่องรางของขลังออกมาทันทีและจุดมันด้วยปลายนิ้วของเธอ จากนั้นเธอก็หลับตาและกระซิบ
เกิดอะไรขึ้นกับฮั่นเทียนหลิน...
พวกเขาสองคนไม่ใช่ผู้บริหารระดับสูงที่มีความแข็งแกร่งอย่างมากที่สุดเหรอ พวกเขาต้องการเก็บเกี่ยวสิ่งที่เขาหว่าน แต่พวกเขากลับไม่สามารถทำอะไรหลินเซินได้มากนัก
ท้ายที่สุดแล้ว การลักพาตัวสมาชิกในครอบครัวเป็นเรื่องต้องห้ามในสายตาของใครก็ตาม
กู่ว่านเอ๋อมองไปที่พี่สาวแล้วก้มหัวลงอย่างกระวนกระวาย เธอเชียร์หลินเซินอย่างเงียบ ๆ ในใจของเธอ
ตู้ม !
หลินเซินควบคุมกิ่งก้านของต้นไม้แห่งชีวิตคับบาลาห์ให้ควบแน่นเป็นหอกจำนวนนับไม่ถ้วนที่แทงเข้าหาฮั่นเทียนหลิน
ฮั่นเทียนหลินกลายเป็นหมอกโลหิตและหลบการโจมตีของหลินเซิน
“[สังเวยหัวใจ]”
จากนั้นเขาก็ขว้างดาบใหญ่ไปที่หลินเซินด้วยความโกรธ มันมีกลิ่นแห่งความตายทำให้กิ่งก้านของต้นไม้แห่งชีวิตคับบาลาห์เปราะบางและเฉาลง
ดาบขนาดใหญ่ตัดผ่านชั้นเกราะกำบังของต้นไม้แห่งชีวิตคับบาลาห์และตรงไปที่หลินเซิน
ฉากนี้เคยเกิดขึ้นหลายครั้ง
[สังเวยหัวใจ] ของฮั่นเทียนหลินสามารถขโมยพลังชีวิตทั้งหมด ทำให้คน ๆ หนึ่งไปถึงจุดจบได้
มันทรงพลังอย่างน่าตกใจแต่ก็มีข้อบกพร่องเช่นกัน มันจำเป็นต้องสัมผัสกับร่างกายจึงจะมีผล
“เงาโลหิต” หลินเซินคำราม
ร่างของเขาถูกปกคลุมไปด้วยหมอกโลหิต มันแดงและสว่างกว่าของฮั่นเทียนจั้วด้วยซ้ำ เพียงแต่ไม่น่ากลัวเท่า
ตู้ม !
ดาบขนาดใหญ่แทงทะลุร่างของหลินเซิน มันไม่สามารถทำอันตรายเขาได้เลย
พวกเขาสองคนเคยชินกับสิ่งนี้แล้ว
ในการต่อสู้ตอนนี้ พวกเขาได้หาวิธีการต่อสู้ส่วนใหญ่ของอีกฝ่ายแล้ว
พวกเขารู้ว่าในการต่อสู้ครั้งนี้ ไม่มีใครสามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายต่างมีความแค้นอยู่ในใจ ทำให้พวกเขาต้องการเอาชนะคู่ต่อสู้
“ไอ้สารเลว แกฆ่าลูกชายคนเดียวของฉัน ฉันต้องการให้แกจ่ายด้วยชีวิตของแก”
“ไอ้แก่ ลูกอกตัญญูเป็นความผิดของพ่อมัน แกปล่อยให้ฮั่นเทียนหลินใส่ร้ายพี่สาวของฉัน อย่าแม้แต่จะคิดที่จะหนีไปโดยไม่ได้รับบาดเจ็บในวันนี้!”
ระดับพลังจิตของหลินเซินลดลงต่ำกว่า 50%
การอัญเชิญต้นไม้แห่งชีวิตคับบาลาห์ได้ช้ำลังจิตไปเป็นจำนวนมากและเขาถูกล้อมรอบด้วยผู้คน ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถดูดซับพลังจิตเพื่อรักษาตัวเองได้ เป็นผลให้ระดับพลังจิตของเขาลดลง
หากการต่อสู้ดำเนินต่อไปอีกครึ่งชั่วโมงและยังไม่มีผู้ชนะ เขาต้องคิดหาทางหนี มิฉะนั้นเขาจะตกอยู่ในอันตราย
ทันใดนั้น
ตู้ม !
จู่ ๆ แสงศักดิ์สิทธิ์เจ็ดสีก็ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของทุกคน
ในเวลาเดียวกัน แรงกดดันที่รู้สึกเหมือนท้องฟ้ากำลังพังทลายลงมาจากแสงศักดิ์สิทธิ์
แรงกดดันแบบนี้รุนแรงกว่านั้นหลายเท่าเมื่อเทียบกับร่างจำแลงของเทพอสูรซึ่งเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดที่หลินเซินเคยพบในชีวิตของเขา
ก่อนที่หลินเซินจะตกใจ
แสงศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนเป็นศีรษะของชายชราเคราขาวยิ้มกว้างซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางหลายสิบเมตร
“อืม ไม่เลวไม่เลว ชายหนุ่มผู้เปรียบได้กับอัจฉริยะ ชิงหยา ฉันต้องยกความดีความชอบให้เธอเลย”