อารัมภบท
หมายเหตุจากผู้แต่ง: เรื่องราวจะเริ่มต้นในตอนที่ 1 อารัมภบทจะเป็นการแนะนำพระเอกและอธิบายความเป็นมาของเขาเท่านั้น ดังนั้นสามารถข้ามอารัมภบทไปได้เลยถ้าคุณไม่สนใจแต่ในฐานะผู้แต่งฉันขอแนะนำให้อ่าน
หมายเหตุจากผู้แปล: สำนวนผมอาจจะยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่แต่ก็จะพยายามพัฒนาครับ แล้วปกติแล้วผมอาจจะมีคำอธิบายหรือคำบ่นไว้ใต้ตอนแต่ละตอนด้วย ถ้าเจอคำผิดหรือมีคำแนะนำอะไรก็คอมเมนท์ไว้ได้เลย
ไม่ว่าคุณจะคนที่มองโลกในแง่ดีหรือแง่ร้าย คุณก็ไม่สามารถตัดสินชีวิตของดีเร็กแม็คคอยได้ว่ามันดีหรือร้าย เพราะเขานั้นเป็นเพียงแค่การดำรงอยู่ที่ไม่มีนัยสำคัญที่สามารถพบเห็นได้อย่างดาษดื่น
พ่อของดีเร็กเป็นไบโพลาร์ ในช่วงเวลาที่เขาเข้าสู่สภาวะซึมเศร้า เขาจะหายตัวเข้าไปอยู่ในห้องนอนเป็นเวลาหลายวัน เวลาเดียวที่เขาจะออกมาข้างนอกก็คือตอนที่เขาจะกินข้าวและใช้ห้องน้ำเท่านั้น และในบางครั้งเขาก็จะระเบิดอารมณ์ฉุนเฉียวออกมาแล้วทำให้ชีวิตของดีเร็กต้องประสพกับความทุกข์ทรมาน
ในช่วงที่เขาอยู่ในอาการคลุ้มคลั่ง เขาจะทำงานราวกับคนบ้า ทั้ง ๆ ที่เขานั้นไม่มีความสามารถแม้แต่น้อย ในด้านธุรกิจเขาก็ไม่ประสบความสำเร็จ ในด้านการไต่เต้าตำแหน่งฐานะเขาก็ไม่สามารถหาคอนเนคชั่นดี ๆ ได้
ในตอนที่เขาตัดสินใจที่จะกินยา เขาก็แค่ตัดสินใจที่จะไปทำงานเพียงเพื่อหลีกเลี่ยงคำดูถูกของเพื่อนบ้านก็เท่านั้น
และไม่ว่าพ่อของเขาจะอยู่ในสภาพจิตใจแบบไหน เขานั้นก็เป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบที่สุดของพ่อยอดแย่
ในสายตาของเขา ลูกชายของเขานั้นเปรียบเสมือนกับความอัปยศ
พวกเขาไม่เคยตั้งใจเรียนมากพอ พวกเขาไม่เคยเชื่อฟังมากพอ และพวกเขาก็ไม่เคยแสดงความเคารพแบบที่เขาต้องการเลย
ดังนั้นเขาจึงคิดว่ามันเป็นหน้าที่ของคนเป็นพ่อ ที่จะต้องทำให้พวกเขารู้ว่าการกระทำแบบไหนที่สมควรทำกับพ่อของเขา
เขามักจะโมโหเนื่องจากความผิดพลาดเล็กน้อยของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียนหรือเรื่องงานบ้าน และเขาก็มักจะคอยด่าทอว่าพวกเขานั้นมันเป็นแค่ปรสิตที่ทำได้แค่ผลาญเงินของเขาเท่านั้น
และเมื่อคำพูดไม่เพียงพอ เขาก็จะใช้เข็มขัดหนังของเขา
ดังนั้นดีเร็กและคาร์นจึงได้เรียนรู้วิธีที่จะปกป้องตัวเองอย่างรวดเร็ว ส่วนแม่ของพวกเขาเธอได้ทิ้งพวกเขาไปตั้งแต่ที่เธอคลอดพวกเขาออกมา เธอนั้นหันไปแสวงหาสถานที่ที่เงียบสงบ เพื่อที่จะหลีกหนีอารมณ์ที่แปรปรวนของคู่สมรสของเธอ
โดยดีเร็กนั้นมีอายุมากกว่าคาร์ลสองปี เขานั้นพยายามที่จะดูแลน้องชายของเขาให้ดีที่สุด แต่มันก็ไม่มีประโยชน์เลย
พวกเขาเติบโตขึ้นมากับการอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับฮีโร่ที่ปกป้องคนที่อ่อนแอ และสนับสนุนความยุติธรรม แต่ก็ไม่มีฮีโร่คนไหนเลยที่จะปรากฏตัวขึ้นมาเพื่อช่วยพวกเขา
ทุกสัปดาห์พวกเขาจะพยายามไปโบสถ์เพื่อนสวดอ้อนวอนแด่พระเจ้าผู้มีเมตตากรุณาและพระบุตรของพระองค์ผู้ซึ่งช่วยเหลือมวลมนุษยชาติทั้งหมด แต่ไม่ว่าพวกเขาจะสวดอ้อนวอนมากแค่ไหนหรือดีเท่าไหร่มันก็ไม่เคยมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นอยู่ดี
หลังจากอ้อนวอนต่อสวรรค์ไปหลายครั้งเข้า เขาก็ได้พิสูจน์แล้วว่ามันไร้ประโยชน์ พวกเขาจึงค่อย ๆ หยุดที่จะเชื่อในฮีโร่ และเลิกเสียเวลาไปกับการสวดอ้อนวอนต่อพระเจ้า
ในขณะที่โรงเรียนนั้นเป็นเหมือนโอเอซิสของพวกเขา แต่ก็ถึงแค่ตอนจบชั้นประถมเท่านั้น
เมื่อพวกเขาเริ่มเรียนมัธยมต้น มันใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนก่อนที่การบูลลี่จะเริ่มขึ้น
เสื้อผ้าราคาถูกและหน้าตาที่บูดบึ้งของพวกเขานั้นทำให้พวกเขาตกเป็นเป้าหมายที่น่าถูกรังแก พวกเขามักจะถูกซ้อมและโดนดูถูกสารพัดโดยที่ไม่สามารถโต้ตอบได้เลย
เป็นเวลานานแล้วที่ดีเร็กถือเป็นช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตที่ไร้ประโยชน์ของเขา หลังจากผ่านไปเดือนหนึ่งเขาก็รู้ว่าเขาไม่สามารถทนสิ่งนี้ได้อีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงพยายามทำให้สิ่งต่าง ๆ ดีขึ้น
เขานำเรื่องการบูลลี่ไปบอกกับพ่อของเขา และรายงานเรื่องนี้ต่อบริการเพื่อสังคมด้วยอีเมลที่ไม่ระบุตัวตน แต่เนื่องจากภาระงานที่เยอะและไม่มีพนักงานที่เพียงพอ นักสังคมสงเคราะห์จึงได้มาเยี่ยมเขาสั้น ๆ และไม่เคยกลับมาอีก
จากนั้นเขาก็พยายามที่จะยุติการกลั่นแกล้ง โดยรายงานการบูลลี่ของพวกเขาต่อคุณครู ซึ่งเธอก็พยายามจะไม่มายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยการรายงานเรื่องนี้ไปที่อาจารย์ใหญ่ ซึ่งอาจารย์ใหญ่เองก็ไม่ต้องการเข้าไปยุ่งกับสิ่งที่เขาถือว่าเป็นแค่การละเล่นกันของเด็ก ๆ
เขาโทรหาผู้ปกครองของดีเร็กมาเพื่อแจ้งให้เขาทราบถึงปัญหาและหวังว่าเขาจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป ซึ่งความปรารถนานั้นของอาจารย์ใหญ่เป็นจริง ในทางตรงกันข้ามดีเร็กนั้นถูกทุบตีเพิ่มเติมเนื่องจากเขาไม่สามารถจัดการปัญหาของตัวเองได้
“แกนี่มันงี่เง่าจริง ๆ นี่แกไม่เคยเรียนรู้อะไรจากฉันเลยงั้นเหรอ? อย่าผลักภาระของตัวเองให้คนอื่นสิวะ! ถ้าแกต้องการสิ่งที่ถูกต้องก็ทำมันด้วยตัวเอง!”
ดีเร็กไม่เคยรู้สึกหมดหนทางและสิ้นหวังขนาดนี้มาก่อน คืนนั้นเขาจมอยู่กับความรู้สึกนั้นจนกระทั่งเขาหลับไป และนั่นก็เป็นฟางเส้นสุดท้ายของเขา
ในวันต่อมา เขาก็รู้สึกว่าหัวสมองของเขาปลอดโปร่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มันไม่ใช่เวลาสำหรับความสิ้นหวังอีกต่อไป เขาต้องมีแผนการที่จะรับมือกับมัน
มันต้องใช้เวลาหลายปีจนกว่าเขาจะตระหนักได้ว่าอะไรบางอย่างในตัวเขาได้ตายไปแล้ว เขาไม่สามารถที่จะไว้ใจ เชื่อใจ หรือพัฒนาความรู้สึกของมิตรภาพกับใครได้อีกต่อไป เขารู้สึกเหมือนถูกรายล้อมไปด้วยศัตรู และเพื่อความอยู่รอดเขาจึงจำเป็นต้องต่อสู้กลับไป
ดังนั้น ดีเร็กจึงได้ขอให้พ่อของเขาอนุญาตให้เขาเข้าโรงฝึกเพื่อไปฝึกศิลปะการต่อสู้ และเขาก็ต้องประหลาดใจเพราะเขาไม่ต้องขอหรือต้องถามเป็นครั้งที่สองเลย
พ่อของดีเร็กก็รู้สึกดีใจที่ในที่สุดลูกชายที่อ่อนแอ ผมแห้ง และเด็กที่มักจะเต็มไปด้วยข้ออ้าง ในที่สุดเขาก็สนใจที่จะเป็นลูกผู้ชายซักที เงื่อนไขเดียวของเขาคือดีเร็กไม่ได้รับอนุญาตให้เลิกฝึกก่อนหนึ่งปี มิฉะนั้นเขาจะทำให้ดีเร็กต้องเสียใจที่ทำให้เงินที่หามาได้อย่างยากลำบากของเขาต้องสูญเปล่า
ดีเร็กไม่เพียงแต่เริ่มฝึกจูจุสึเกือบทุกวัน เขายังจะตื่นขึ้นมาเพื่อสร้างกล้ามเนื้อโดยการ วิดพื้น สควอท ซิทอัพ และวิ่งจนกว่าเขาจะหอบเป็นเวลาสองชั่วโมงในทุก ๆ วัน
ในเวลาเพียงไม่กี่เดือนเขาก็สามารถวิดพื้น ซิทอัพ และสควอทได้อย่างละ 100 ครั้ง และสามารถวิ่งได้อย่างน้อย 10 กิโลเมตรทุกวันก่อนไปโรงเรียน
สำหรับจูจุสึในไม่ช้ามันก็พิสูจน์แล้วว่ามันเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับสถานการณ์ของเขา ในระดับพื้นฐานมันจะโฟกัสไปที่การป้องกันตัวเอง แต่มีพื้นที่มากมายสำหรับการโจมตีและการต่อสู้อย่างสกปรก
ด้วยการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ ในที่สุดเขาก็ค้นพบสิ่งที่เขาทำได้ดี แม้ว่าเขาจะไม่ได้ว่องไวเป็นพิเศษหรือเป็นคนที่เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว แต่การประสานงานระหว่างมือและดวงตาของเขาโดยเฉลี่ยแล้วดีมาก
พรสวรรค์ของเขาอยู่ที่ความสามารถในการใช้ประโยชน์จากจังหวะเวลาที่ดีที่สุดเพื่อโจมตีจุดอ่อนไหวระหว่างการบล็อกหรือการหลบหลีกการป้องกัน
แม้ในขณะที่เซ็นเซกำลังสอนกระบี่หรือศิลปะการใช้ดาบสั้น ดีเร็กก็สามารถใช้ท่าสังหารได้ในการลองครั้งแรกของเขา บางครั้งเขาก็สามารถเข้าใจได้ก่อนที่อาจารย์จะทำการสาธิตภาคปฏิบัติเสร็จด้วยซ้ำ
มันเป็นการค้นพบที่น่าตื่นเต้นแต่ก็น่าผิดหวัง เนื่องจากพรสวรรค์เพียงอย่างเดียวของเขาไม่มีประโยชน์ในทางปฏิบัติ เพราะแม้ว่าจูจุสึจะเป็นกีฬาที่มีทัวร์นาเมนต์แต่ก็มีการห้ามโจมตีที่ง่ามขา ดวงตา และหลอดลมซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามในระดับสากล
เป็นเวลาหลายเดือนที่ดีเร็กยังคงฝึกซ้อมอย่างหนักในขณะที่พยายามทำตัวไม่โดดเด่นในโรงเรียน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับแผนขั้นต่อไปของเขา
ในตอนจบภาคเรียนการศึกษาแรกดีเร็กก็หยุดซ่อนตัวจากพวกอันธพาล และเริ่มตอบแทนทุกคำสบประมาทที่พวกมันเคยพูดพล่ามใส่เขา โดยใช้คำพูดที่ฉลาดหลักแหลมที่สุดที่เขาเจอมาจากในโลกออนไลน์
ดีเร็กระวังที่จะไม่เข้าห้องน้ำหรืออยู่คนเดียวนานเกินไปและพยายามให้มีผู้ใหญ่อยู่ในระยะสายตาตลอด แล้วมันก็ใช้เวลาไม่ถึงวันก่อนที่ศัตรูของเขาจะมาหาเรื่องเขา
ในตอนที่เส้นเลือดเกือบจะปูดออกมาคอของพวกเขา เขาก็โยนเหยื่อล่อออกมา
“ไอ้เวรนี่ กูทนมึงมาเยอะแล้วนะ ไปเจอกันหลังร้านขายของระหว่างถนนลินคอล์นและถนนซอยสามในอีกหนึ่งชั่วโมง หรือแกกลัวจนไม่กล้าไป?”
“เพราะว่าแกหาเรื่องใส่ตัวแท้ ๆ ฉันจะทำให้แกมีความสุขเองไอ้ตุ๊ด และมันจะมีแค่แกและพวกเราสามคนเท่านั้น เข้าใจไหม?”
ดีเร็กพยักหน้าโดยไม่เชื่อคำพูดของเขาเลย และเขาก็เดาถูก
เมื่อพวกมันเข้าด้านในของตรอก พวกมันได้นำคนมาเพิ่มอีกสองคน
ในตอนนี้ดีเร็กกำลังรอพวกเขาอยู่ โดยพิงกำแพงอยู่ท้ายซอยที่มืดสลัว
“ฉันว่าแล้ว นัดของเรามันจะไม่เป็นไปตามนัด” ดีเร็กกล่าว
“ขอโทษนะที่มาสาย หวังว่าแกจะไม่รังเกียจที่เราจะเชิญเพื่อนบางคนมาร่วมงานฉลองนี้ด้วย พวกเขาตอบด้วยเสียงหัวเราะ”
ดีเร็กยักไหล่ ขณะที่แสยะยิ้มกว้างจนจบแทบจะถึงหู
“ไม่มีปัญหา ไม่ว่าขยะจะเยอะแค่ไหน ขยะก็ยังไร้ค่าอยู่ดี ฉันเลือกซอยนี้เพราะมันมีถังขยะเพียงพอสำหรับพวกแกทุกคนยังไงล่ะ”
หลังจากประโยคสุดท้ายไปกระทบกับเส้นประสาทของพวกเขา พวกเขาก็พุ่งเข้าใส่ดีเร็กอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าทันที
“ไปมารุมมันเลยเพื่อน! อย่าปล่อยให้มันหนีไปได้! มาแสดงให้มันได้เห็นว่าใครกันแน่ที่คือขยะ”
ดังนั้น พวกเขาจึงตกเข้าไปในกับดักของดีเร็ก ดีเร็กได้เตรียมสถานที่ทันทีหลังจากเลือกจุดที่ดีที่สุดสำหรับการต่อสู้ ซอยที่มืดสลัวมีทางออกทางเดียว และเมื่อพวกเขาเข้าใกล้ท้ายซอย พวกเขาก็ไม่สามารถมองเห็นเส้นลวดที่ดีเร็กขึงเอาไว้ได้เนื่องจากแสงที่มืดสลัว
สองคนแรกล้มลงอย่างแรงบนพื้นคอนกรีต และคนที่อยู่ข้างหลังพวกเขาก็กังวลว่าจะเหยียบเพื่อนของพวกเขา ในขณะนั้นเองพวกเขาก็ไม่ได้สังเกตว่ามีท่อเหล็กที่กำลังเข้าไปหาพวกเขา
แม้ว่าพวกเขามากันหลายคนแต่ดีเร็กนั้นมีอาวุธครบมือ ด้วยการใช้ท่อเป็นเหมือนไม้พลองดีเร็กก็ตีหัวพวกเขาตามด้วยตีเข่าแล้วก็ตีไปที่ง่ามขา จากนั้นเขาก็เริ่มตีทั้งสองคนที่พยายามจะลุกขึ้นมาด้วย
ในขณะที่พวกนั้นครวญครางและร้องไห้สะอึกสะอื้นบนพื้น เขาก็ใช้มีดเล็ก ๆ เพื่อตัดลวดที่ได้ขึงเอาไว้เพื่อที่จะได้สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ จากนั้นดีเร็กก็ฟาดพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำอีกด้วยท่อโลหะ โดยให้ความสนใจเป็นพิเศษกับพื้นที่ส่วนล่างของพวกเขา
ลึกๆ แล้วก็เขารู้ว่าสิ่งที่เขาทำมันผิด แต่เขาก็ไม่สนใจมันแม้แต่น้อย ถ้าหากโลกนี้มันไม่ยุติธรรมทางเดียวที่เขาจะเป็นผู้ล่าได้ก็คือการสร้างข้อได้เปรียบให้ตัวเองท่ามกลางความไม่ยุติธรรม
ดังนั้นเขาจึงหยิบปืนช็อตไฟฟ้าที่เขา ‘ยืม’ มาจากพ่อของเขา และให้พวกมันทั้งหมดได้ลิ้มรสเจ้าปืนนี้จนกระทั่งพวกเขาหมดสติไปท่ามกลางกองปัสสาวะของพวกเขาเอง หลังจากนั้นเขาก็ถอดเสื้อผ้าของพวกเขาออกจนหมด และถ่ายรูปเก็บไว้เป็นจำนวนมาก
หลังจากจัดท่าทางร่างกายของพวกเขาเพื่อที่พวกเขาจะได้อยู่ในท่านอนกอดซึ่งกันและกัน ดีเร็กก็ถ่ายวิดีโอสั้น ๆ เก็บเอาไว้ เมื่อเขาทำทุกอย่างเสร็จแล้วเขาก็สาดน้ำเย็นใส่พวกเขาและเตรียมพร้อมสำหรับการทำข้อตกลง
“ขออภัยด้วยนะสาว ๆ ที่ทำลายช่วงเวลานอนหลับฝันดี แต่ฉันมีอะไรจะคุยกับพวกนายนิดหน่อย”
เมื่อพวกอันธพาลตื่นขึ้นมาพวกเขาก็เจ็บปวดมากจนแทบจะไม่ได้สังเกตเลยว่าพวกเขาเปลือยกายและกำลังกอดกันอยู่ การโต้กลับดีเร็กในขณะที่เขายังถือท่อเหล็กนั้นคงไม่ใช่เรื่องที่ดี ดังนั้นพวกเขาจึงเงียบและฟัง
“ฉันได้ทำอัลบัมภาพที่สนใจจากพวกนายด้วยแหละ หนังสั้นก็มีด้วยนะ ซึ่งตอนนี้ฉันได้อัปโหลดทุกอย่างไปยังคอมพิวเตอร์และคลาวด์ของฉันแล้ว มันคงจะแย่มากถ้ามีใครบางคนเผลออัปโหลดพวกมันขึ้นไปบนอินเตอร์เน็ต พวกนายก็รู้ใช่ไหมคำพูดที่ว่าอินเทอร์เน็ตไม่เคยลืม”
พวกอันธพาลเริ่มร้องไห้และขอร้องอ้อนวอน
“ลองนึกภาพดูสิว่ามันจะแย่แค่ไหน! ที่เมื่อใดก็ตามที่มีคนเสิร์จบูเกิลด้วยชื่อของนาย ไม่ว่าจะเป็นคนที่บ้านของนาย แฟนของนาย หรือแม้แต่มหาลัยที่นายกำลังจะสมัคร สิ่งแรกที่จะปรากฏออกมาก็คือภาพถ่ายพวกนั้น!”
“ไม่เอาน่าเพื่อน!” “ขอร้องล่ะฉันไม่รู้จักนายเลยด้วยซ้ำ ฉันก็แค่มาช่วยเพื่อน!” “มันก็แค่ขำ ๆ น่า ยกโทษให้ฉันเถอะนะ!”
การประสานเสียงของเสียงอ้อนวอนของพวกเขาทำให้ดีเร็กรู้สึกขนลุก เขาอยากจะอ้วกกับความหน้าซื่อใจคดนี้
“ฉันไม่สนใจข้อแก้ตัวที่น่าสมเพชของพวกแกหรอกนะ! ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปพวกแกจะต้องไม่มายุ่งกับฉัน และแกก็ควรจะอธิษฐานว่าอย่าได้มีอะไรเกิดขึ้นกับฉันเลย เพราะว่าฉันตั้งค่าคลาวด์เอาไว้ว่าถ้าฉันไม่ป้อนรหัสผ่านทุกวันมันจะอัปโหลดพวกไฟล์พวกนั้นไปในทุก ๆ ที่”
โดยไม่รอคำตอบของพวกเขา ดีเร็กก็หันหลังและเดินจากไป
“เกือบลืมไป ฉันโยนเสื้อผ้าของนายไว้ในถังขยะแบบมั่ว ๆ น่ะ ฉันเองก็จำไม่ได้ว่าเสื้อผ้าชิ้นไหนไปอยู่ถังไหน ถ้าพวกนายไม่อยากกลับบ้านในชุดวันเกิดนายก็ควรเริ่มคุ้ยได้แล้ว แม้ว่ามันคงจะนานนิดหน่อยอ่ะนะ!”
ดีเร็กกลับบ้านอย่างร่าเริงจนแทบจะร้องเพลงออกมา เขาไม่เคยรู้สึกภูมิใจในตัวเองขนาดนี้มาก่อน และมีความมั่นใจอย่างยิ่งว่าเขาจะไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับไอ้พวกสารเลวเหล่านั้นอีก
---
Jiu-jitsu - จูจุสึ หรือ ยิวยิตสู มาจากภาษาญี่ปุ่นและเป็นศิลปะการต่อสู้รูปแบบหนึ่ง “Jū” แปลว่า อ่อนโยน “Jutsu” แปลว่าศิลปะ ดังนั้น Jiu-jitsu จึงหมายความว่าศิลปะแห่งความอ่อนโยน
Sensei - เซ็นเซ อาจารย์ในภาษาญี่ปุ่น