บทที่ 21: สุดยอดความแข็งแกร่ง
เมื่อเห็นรถออฟโรดที่เสียการควบคุมพุ่งเข้ามาหาตัวทันใดนั้นถังเจิ้นก็รู้สึกว่าหนังศีรษะของตัวเองจะระเบิด ความรู้สึกวิกฤตเกิดขึ้นในใจและอยากจะกระโดดหลบเพื่อหลีกเลี่ยงอันตราย
ด้วยความเร็วปฏิกิริยาปัจจุบันเขาสามารถระเบิดพลังอันรุนแรงออกมาทำให้การที่จะหลีกเลี่ยงรถออฟโรดคันนี้ย่อมไม่น่าเป็นปัญหา
แต่ในเวลาเดียวกันเขาก็สังเกตเห็นว่าที่ด้านหลังรถออฟโรดมีคนสองคนนอนจมกองเลือดอยู่กับพื้นโดยไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย
เขากะว่าจะหลบตามแผน แต่เสียงกรีดร้องที่ดังทะลวงแก้วหูกลับทำให้เขาต้องระงับแผนกระโดดหลบลงไปในพริบตา
เพราะในข้างหน้าเขาเห็นว่ามีแม่เด็กสาวทั้งสามนางนั้นอยู่ซึ่งเดินแซงเขาไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ และในระยะสั้น ๆ ขนาดนี้ทั้งสามไม่มีทางหลบรถที่กำลังเสียหลักคันนั้นได้เลย
ถังเจิ้นได้เห็นดวงตาสีแดงเลือดของคนขับรถออฟโรดและท่าทางหวาดกลัวของหญิงสาวที่อยู่ข้างหน้า
เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ตอนนี้หากว่าถังเจิ้นกระโดดหลบล่ะก็แม่สามสาวจะถูกรถนี่ชนปลิวกระเด็นในอีกหนึ่งวินาทีต่อมา
หากในวัยแรกแย้มแบบนี้กลับต้องมาประสบเคราะห์กรรมจนเผลอ ๆ อาจถึงตายมันก็ช่างน่า... และตอนนี้ก็เป็นไปได้ที่เขาจะยื่นมือออกไปและให้ความช่วยเหลือแก่พวกเธอให้รอดพ้นจากอันตรายนี้ได้!
และดูเหมือนว่าจะไม่จำเป็นต้องคิดอีกต่อไปแล้ว
ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายนี้กลับมีความคิดมากมายแล่นผ่านถังเจิ้น แต่ในที่สุดเขาก็ตะโกนออกมาทันทีพร้อมกับรีบวิ่งจากด้านหลังไปโผล่ตรงหน้าแม่สามสาวด้วยความเร็วปานสายฟ้าฟาดพลางยกมือผลักออกไปด้วย
ในขณะนี้พลังทั้งหมดในร่างกายของเขาถูกระดมขึ้นมาและรวมอยู่ที่ฝ่ามือ
ขีดจำกัดของพลังสุดแรงผู้ใหญ่จะถูกปลดปล่อยออกมาอย่างไม่มีเงื่อนไข
ตู้ม!
หลังจากเกิดเสียงดังทุก ๆ คนต่างก็ต้องตกตะลึงกับภาพตรงหน้า!
เพราะฉากที่หญิงสาวถูกรถซัดกระเด็นขึ้นฟ้าไม่ปรากฏตามที่ผู้คนทั่วไปคาดคิด แต่กลับเกิดจุดพลิกผันอย่างน่าอัศจรรย์
ในสายตาของเด็กสาวทั้งสามที่กำลังหวาดกลัวและของผู้คนที่สัญจรไปมาด้วยความตกใจ ฝ่ามือของถังเจิ้นได้กดแน่นที่หน้ารถออฟโรดเสียการควบคุมและบังคับให้มันต้องหยุด
ยังไม่ทันที่เด็กสาวทั้งสามคนจะรู้ตัวว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นต่อหน้าพวกเธอ
สายตาก็ปรากฏเป็นภาพรถออฟโรดที่อยู่ห่างจากพวกตัวเองทั้งสามนางไปไม่ถึงครึ่งเมตรแล้ว และยังมองเห็นร่างที่มั่นคงและแข็งแกร่งประดุจขุนเขาอยู่เบื้องหน้าด้วย เขาคนนี้คือคนที่กระชากพวกเธอทั้งสามกลับออกมาจากเงื้อมมือมัจจุราช!
“โอโหคุณอาโคตรเจ๋งสุด ๆ อะ!”
เด็กผู้หญิงที่สูงที่สุดในบรรดาเด็กผู้หญิงทั้งสามในชุดเสื้อกันหนาวสีเบจเป็นคนแรกที่กรีดร้องอย่างตื่นเต้นและมองถังเจิ้นด้วยความชื่นชม
เมื่อได้ยินสิ่งที่หญิงสาวสวมเสื้อกันหนาวพูดเด็กสาวอีกสองคนก็ได้สติขึ้นมาบ้าง ทั้ง ๆ ที่ยังตะลึงอยู่แต่พวกเธอก็ยังมองเขาด้วยความขอบคุณผสมปนเปไปกับความตกใจ
คนที่เดินผ่านไปผ่านมาก็เริ่มฟื้นจากสภาพจากการกลายเป็นหินและกระซิบกระซาบกันด้วยน้ำเสียงตกใจชี้โบ๊ชี้เบ๊อุทานดังลั่น แต่ละคนต่างด้นเดากันไปว่าเจ้าหนุ่มนี่บังคับรถออฟโรดให้หยุดได้ยังไง
หากเป็นรถออฟโรดที่เบรกในช่วงเวลาคับขันก็คงจะสมเหตุสมผล แต่น่าเสียดายเพราะเมื่อพิจารณาดูจากสภาพแล้วรถมันไม่ได้หยุดเพราะคนขับเหยียบเบรก
แต่ถ้าเจ้าหนุ่มมันทำสิ่งนี้โดยอาศัยแค่พลังกายล้วน ๆ ล่ะ? นี่โคตรน่ากลัวแล้วนะเฮ่ย!
แรงกระแทกที่เกิดจากรถออฟโรดที่เสียการควบคุมคันนี้กี่แรงม้าก็ไม่รู้ มันสามารถชนคนธรรมดาอัดเข้ากับกำแพงจนแหลกเป็นเศษเนื้อได้สบาย ๆ หากใช้แค่แรงเปล่า ๆ ในการหยุดมันแปลว่าความแข็งแกร่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะมีไว้ในร่างกายได้
เรื่องแบบนี้มันมีแค่ในหนังในนิยายหรือการ์ตูนเท่านั้นแล่ะ แต่ตอนนี้กลับได้มาเห็นชนิดต่อหน้าต่อตาจะ ๆ
เมื่อคนเริ่มวิพากษ์วิจารกันหนาหูเข้า ถังเจิ้นผู้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์มากที่สุดตอนนี้เริ่มตกอยู่ในที่นั่งลำบากซะแล้ว
“เล่นใหญ่เหี้ย ๆ ละกู!”
ถังเจิ้นสบถใส่ตัวเองโดยไม่ได้สังเกตปฏิกิริยาของหญิงสาวที่ได้รับการช่วยเหลือและผู้คนที่เดินผ่านไปมาเลย เขาได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่นอยู่ในใจ
แล้วจากนั้นแขนเขาก็หมดความรู้สึก ร่างกายของเขาสั่นระริกจนแทบกระอักเลือดออกมา เลือดลมในร่างกายตีกันยุ่งไปหมด
อาการบาดเจ็บเก่าที่พึ่งรักษาไปมีทีท่าว่าจะกำเริบ
เขากัดฟันและค่อย ๆ เคลื่อนแขนที่หมดแรงออก และถังเจิ้นก็ต้องตกใจอย่างหนักเมื่อพบว่ามีรอยฝ่ามือลึกสองรอยประทับบนตัวรถที่เป็นโลหะ!
ฉากตรงหน้านี้ทำให้ถังเจิ้นไม่กล้าอยู่ต่อเพราะกลัวว่าจะถูกคนที่ชอบสอดรู้สอดเห็นตรวจสอบ
ความลับในตัวเขาน่าตกใจเกินกว่าจะให้ใครพบเจอ
เขารีบทิ้งเรื่องราวตรงหน้าทั้งหมดและกะจะหายไปโดยไม่สนถูกผิดใด ๆ ตราบใดที่คนหาตัวเขาไม่เจอก็ทำอะไรเขาไม่ได้
หลังจากตัดสินใจได้แล้วถังเจิ้นก็หันหลังกลับโดยก้มหน้าลงแล้วหนีไปด้วยความเร็วสูงปานสายฟ้าฟาดในทันที
เมื่อเห็นถังเจิ้นวิ่งไปอย่างกับจะหนีเอาชีวิตรอดจากอะไรบางอย่างพวกคนอื่น ๆ ที่ดูอยู่ก็งงงวยกับภาพที่เห็นและด้นเดากันว่าทำไมพ่อผู้กล้าหนุ่มต้องวิ่งหนีด้วยหนอ?
เด็กผู้หญิงสามคนที่อยู่ใกล้รถออฟโรดมากที่สุดเองก็เห็นรอยฝ่ามือในเวลาเดียวกัน และทั้งสามคนที่รอดชีวิตจากภัยพิบัติครั้งนี้ก็มองหน้ากันด้วยความตกใจ ใบหน้าที่งดงามเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือจะเชื่อ
เมื่อมองไปที่ถังเจิ้นที่ค่อย ๆ หายไปในฝูงชนทั้งสามสาวก็อยากรู้เรื่องของเขามากเหลือเกิน
ถังเจิ้นวิ่งไปได้ซักพักพอเห็นว่าไม่มีใครสนใจแล้วก็เรียกแท็กซี่
หลังจากปิดประตูรถอย่างเหนื่อยแรงแล้วก็ให้คนขับพากลับบ้านเลย
ถังเจิ้นซึ่งนอนอยู่บนเตียงตอนนี้รู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่แขนและหน้าอก ราวกับว่ากระดูกหักทุกตารางนิ้ว ความเจ็บปวดที่เสียดแทงทำให้เขาเหงื่อแตกท่วมไปทั้งตัว
ทว่าเขาก็รู้สึกว่าตัวเองยังโชคดีมาก ถ้าไม่ใช่เพราะได้ดูดซับลูกปัดสมองเพื่อยกระดับให้สูงขึ้นจนร่างกายกลายพันธุ์แล้วล่ะก็วันนี้เขาจะต้องเป็นหนึ่งในคนที่ถูกรถชนกระเด็นไปกองรวมกับแม่สามสาวนั่น ซึ่งบทสรุปของเขาคงไม่ตายก็พิการ
เรื่องการช่วยชีวิตเด็กสาวทั้งสามคงไม่ต้องพูดอะไรมาก เพราะตอนนี้แม้เขาจะบาดเจ็บแต่ก็ไม่รู้สึกเสียใจเลย
หลังจากดื่มครีมไม้เลื้อยพร้อมกับน้ำที่มีรสขมแต่กลับกลิ่นหอมลงไปแล้วถังเจิ้นก็รู้สึกดีขึ้นมาก
เมื่อเวลาผ่านไปความเจ็บปวดทางร่างกายก็ค่อย ๆ บรรเทาลง และถังเจิ้นที่เหนื่อยล้ามามากแล้วก็ค่อย ๆ หลับไป
เมื่อเขาตื่นขึ้นในเช้าของวันรุ่งขึ้น และเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าอาการบาดเจ็บที่เคยหนักหนาตอนนี้มันกลับไม่มีอะไรที่ส่งผลกระทบต่อกิจวัตรประจำวันของตัวเองอีกต่อไป
หลังจากตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าร่างกายไม่มีอะไรที่ผิดปกติถังเจิ้นก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก
ในเวลาเดียวกันเขาก็คร่ำครวญอยู่ในใจกับความมหัศจรรย์ของครีมไม้เลื้อย เพราะอาการบาดเจ็บของเขาเกือบจะหายเป็นปกติในชั่วข้ามคืน ช่างเป็นยาที่มหัศจรรย์จริง ๆ!
หลังจากถอนหายใจจนคลายความกังวลเสร็จแล้วถังเจิ้นก็นับ ๆ วันดูและพบว่าถึงเวลาที่เขาต้อง ‘จ่ายหนี้’ ตามเวลาที่กำหนดไว้ในแต่ละเดือนแล้ว
เมื่อเอามือถือออกมาเขี่ยหารายชื่อติดต่อก็ตระหนักได้ว่ามือถือมันใช้แบบเดิมไม่ได้แล้วนี่หว่า!
ก็มันกลายพันธุ์ไปแล้วอะ แล้วมันจะไปโทรออกได้ไง?
“ที่ยุ่ง ๆ ก็เพราะมันแต่ทำไมถึงลืมเรื่องมันไปได้วะเรา”
คิด ๆ แล้วก็รำคาญตัวเองหน่อย ๆ ซึ่งไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทุก ๆ ครั้งที่กลับมาถึงไม่เห็นมีใครโทรหาบ้างเลย ที่แท้สาเหตุก็มาจากไอ้นี่นี่เอง
ในเมื่อมันโทรไม่ได้ก็ต้องออกไปซื้อเครื่องใหม่ จากนั้นเขาก็กด ๆ เบอร์ที่ตัวเองจำได้
“คร้าบอาซุน ผมเสี่ยวถัง! ว่างป่าวคร้าบ... ตอนนี้อาอยู่ไหนอะ... เคคร้าบไปเด๋วนี้แหล่ะคร้าบ”
หลังจากวางสายแล้วถังเจิ้นก็ขึ้นแท็กซี่มุ่งหน้าไปยังห้างสรรพสินค้าในท้องถิ่นที่กำลังปรับปรุง
หลังจากลงจากรถและมองไปรอบ ๆ ถังเจิ้นก็พบทางเข้า เขาเดินหลีกวัสดุตกแต่งที่วางเกลื่อนตรงขึ้นไปยังชั้นสามที่กำลังอยู่ระหว่างการปรับปรุง
หลังจากค้นหาตามตำแหน่งที่อีกฝ่ายบอกไม่กี่นาทีในที่สุดก็เห็นอาซุนที่ตัวเปื้อนฝุ่นเต็มไปหมด
หลังจากกล่าวสวัสดีเสียงดังอาซุนที่เห็นถังเจิ้นก็เช็ดเหงื่อบนหน้าผากแล้วเดินเข้ามาหา
“ว่าไงเสี่ยวถัง!”
อาซุนที่สวมชุดหลวม ๆ ยิ้มให้ถังเจิ้น แต่รอยย่นบนใบหน้ากลับชัดเจนขึ้น
ถังเจิ้นถอนหายใจในใจ พ่อบุญธรรมของตนก็ช่างไม่ได้เรื่องซะจริงเชียว ดันมาโกงเงินที่อาซุนหาด้วยน้ำพักน้ำแรงอย่างยากลำบากซะได้!
อาซุนน่ะเป็นคนดีและเป็นเพื่อนบ้านที่ดีของครอบครัวด้วย
สมัยที่เขากับน้องยังเล็กนั้นอยู่กันอย่างอดอยากก็ได้อาซุนนี่แหละที่มักจะเรียกให้ไปกินข้าวเย็นด้วยกันอยู่เสมอ เขาปฏิบัติต่อทั้งสองพี่น้องปานลูกหลานของตัวเองด้วยซ้ำ
ต่อมาพ่อบุญธรรมได้หลอกเอาเงินที่อาซุนเก็บหอมรอมริบจากการไปทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำไป ตอนลูกสาวแกเข้าเรียนมหาลัยแต่ไม่มีเงินจ่ายค่าเล่าเรียนนี้เล่นเอาแกเกือบเป็นบ้าตาย
เมื่อใดก็ตามที่ถังเจิ้นจ่ายได้เงินเดือนมาเขาก็จะเจียดส่วนหนึ่งไว้จ่ายอาซุนอยู่ตลอด แต่จะมากจะน้อยก็ขึ้นอยู่กับว่าได้มาเท่าไหร่ สิ่งสำคัญคือขอแค่ได้ช่วยชดเชยความรู้สึกผิดในใจตัวเองลงได้บ้าง
ครั้งนี้เขานำเงินทั้งหมดที่พ่อบุญธรรมติดหนี้แกอยู่มาจ่ายให้หมด
ในขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่นั้นจู่ ๆ ก็มีหญิงสาวแสนสวยคนหนึ่งขึ้นบันไดมา เธอแต่งตัวด้วยชุดที่ดูดีมีสไตล์และทันสมัยซึ่งไม่เข้ากับสภาพแวดล้อมที่ดูเละเทะตรงนี้เลย
ข้างหลังผู้หญิงคนนี้มีผู้ชายกว่าหนึ่งโหลเดินตามมาซึ่งดูเหมือนว่าเธอจะเป็นหัวหน้าของคนพวกนี้
ถังเจิ้นมองไปที่ผู้หญิงคนนั้นและเห็นว่าเธอกำลังชี้นู่นชี้นี่พร้อมกับพูดคุยอะไรอยู่ส่วนพวกผู้ชายข้าง ๆ ก็ขีด ๆ เขียน ๆ อะไรลงบนสมุดบันทึกเล่มเล็ก ๆ
ฉากนี้ความหัวสูงนี้ทำให้ถังเจิ้นหัวเราะเบา ๆ เพราะดูเหมือนจะได้เห็นผู้หญิงที่เก่งและไม่ยอมแพ้ผู้ชายซะแล้ว
การตกแต่งห้างสรรพสินค้ามีเสียงดังเกินไปทำให้คุยกันไม่ได้ยิน ดังนั้นอาซุนเลยพาถังเจิ้นไปที่บันใดหนีไฟเพื่อออกจากไซด์งาน และถังเจิ้นก็รู้สึกเหมือนโลกได้สงบสุขลงอีกครั้ง
เขาหยิบเงินออกมาจากกระเป๋าและยื่นให้อาซุนพร้อมบอกให้อีกฝ่ายนับเงิน
อาซุนผงะไปแป๊บหนึ่งก่อนจะผลักเงินคืนโดยยืนยันว่าไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้
เขารู้ดีว่าถังเจิ้นนั้นยากลำบากขนาดไหนกับการวิ่งหาเงินไปทั่วเพื่อช่วยให้น้องสาวได้เรียนพร้อมปลดหนี้ให้พ่อบุญธรรมไปด้วย
หากไม่ใช่เพราะครอบครัวของตนเองก็ยากลำบากเหมือนกันล่ะก็ ตอนถังเจิ้นคืนเงินเดือนต่อเดือนเขาก็คงจะไม่รับหรอก
“เดิมทีเงินนี้เป็นเงินของอา ผมแค่เอามาคืนแทนพ่อ ตอนนี้ผมมีธุรกิจเป็นของตัวเองแล้วแต่ละเดือนหาเงินได้มากมาย เพราะงั้นอาไม่ต้องห่วงหรอกครับ”
อาซุนรับยอมเงินคืนไปหลังจากที่ถังเจิ้นว่ามาแบบนั้น แต่เขาก็ยังปฏิเสธค่าขอบคุณที่ถังเจิ้นซึ่งจะให้โดยถือว่าเป็น ‘ดอกเบี้ย’
อาซุนถอนหายใจสองสามเฮือกใหญ่แล้วก็ดุขึ้นประมาณว่าพ่อบุญธรรมของถังเจิ้นนี่ก็ไม่ไหวจริง ๆ ที่ปล่อยให้ลูกสองคน ให้ถังเจิ้นกับน้องสาวซึ่งทั้งคู่ต่างก็เป็นคนมีเหตุผลต้องทนทุกข์
ถังเจิ้นทำได้เพียงแค่ตอบด้วยรอยยิ้มโดยไม่ได้พูดอะไรอีก