ตอนที่แล้วบทที่ 132: พลาดโอกาสครั้งใหญ่! ซูเปอร์ป็อบปูลาร์!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 134: จ่ายเงินเพื่อชัยชนะ! พร็อบใหม่: เครื่องแปรรูป!

บทที่ 133: เจ้าของบ้านไร่ต้องมีอำนาจมาก! มีคนถูกรางวัล!


ฉินหลินจูงมือจ้าวโม่ชิงออกจากห้องโถงเดินตรงไปทางซ้ายซึ่งมีป้ายบอกทางไปยังจุดเริ่มต้นของการล่องแก่ง

ทั้งสองเดินตามนักท่องเที่ยวไปยังพื้นที่รอซึ่งนักท่องเที่ยวจะเจอทางเลือกสองทาง

หนึ่งคือนั่งรถบัสชมวิวขึ้นเขาไปยังต้นทางการล่องแก่ง

สองคือการเลือกซื้อตั๋วรถไฟขนาดเล็กนั่งขึ้นไปตามทางรถไฟโดยจะได้ชมวิวสวนอุทยานทีทางอำเภอสร้างขึ้น

ฉินหลินกับจ้าวโม่ชิงเลือกรถบัสและ  พวกเขาเห็นคนมามากเกินไปในมณฑลฝูเจี้ยน  และสวนอุทะยานนั่นก็แค่พอดูได้เท่านั้น

ทั้งสองเดินตามนักท่องเที่ยวขึ้นไปบนรถบัส

“ยินดีต้อนรับทุกท่าน  นี่คือรถบัสไปยังจุดต้นทางของการล่องแก่ง  เราจะออกกันในอีกซักครู่” คนขับรถบัสพูดตามหน้าที่เมื่อเห็นฉินหลินกับจ้าวโม่ชิงกำลังเดินขึ้นมา

คนขับจำเถ้าแก่ของเขาได้อยู่แล้วและกำลังจะทักทาย  แต่เห็นเถ้าแก่ยกมือขึ้นห้ามเลยได้แต่พยักหน้าและทำหน้าที่ต่อไป

ฉินหลินจูงมือจ้าวโม่ชิงไปนั่งที่ที่นั่งสองตัวสุดท้าย  จากนั้นไม่นานรถบัสก็เต็ม  คนขับจึงสตาร์ทรถและขับไปยังจุดต้นทางการล่องแก่ง

ในรถมีนักท่องเที่ยวกำลังพูดคุยกันอย่างคุ้นเคย

“มีใครถูกรางวัลบ้างยัง?”

“ฉันยังอะ  วืดมาสามรอบละ”

“ฉันจองห้องบ่าวสาว  ทะเลเฟื่องฟ้า  ล่องแก่ง  แต่กดไปเจ็ดรอบไม่ถูกอะ  สงสัยอัตราการถูกรางวัลน่าจะโคตรต่ำ”

“ต่ำอยู่แล้ว  วันละห้าคนเองนา  แถมแต่ละรางวัลราคาตั้งหกหมื่น”

“...”

ทันใดนั้นก็มีเสียงถอนหายใจมากมาย

บางคนไม่ได้สนใจอะไรมากนัก  ที่พวกเขามาบ้านไร่ชิงหลินก็เพราะจะมาเที่ยวอยู่แล้ว  ส่วนเรื่องการจับสลากรางวัลนั้นเป็นเพียงผลพลอยได้ที่บังเอิญมาถูกจังหวะพอดี

บางคนเริ่มคิดแล้วว่าต้องใช้จ่ายยังไงเพื่อเพิ่มสิทธิ์ในการจับสลาก  นักท่องเที่ยวประเภทนี้มาเพื่อจับสลากโดยเฉพาะ  เห็นได้ชัดว่าเป็นพวกติดการพนันงอมแงมและคิดว่าต้องเป็นตัวเองเท่านั้นที่ถูกรางวัล

ทันใดนั้นได้มีคนถามขึ้น “นายคิดว่าใครเป็นเจ้าของบ้านไร่ชิงหลินวะ  ว่ากันว่าข้าวหลวงเสียงสุ่ยนี่หาซื้อโคตรยากเลยนา  เศรษฐีเก้าสิบเปอร์เซ็นต์มีเงินแต่ไม่มีสิทธิ์ซื้อ  บ้านไร่ชิงหลินไม่เพียงแต่หาซื้อได้แต่ยังเอาออกมาจัดอีเวนต์ด้วย”

อีกคนหนึ่งตอบว่า “แปลว่าบ้านไร่ชิงหลินน่าจะมีเจ้าของร่วมกันหลายคนหรือไม่ก็มีเส้นสายใหญ่กว่าคนรวยเก้าสิบเปอร์เซนต์พวกนั้น”

ซักพักก็มีการพูดคุยกันในรถอย่างครึกครื้น

ฉินหลินกับจ้าวโม่ชิงนั่งกันอยู่เฉย ๆ ไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วม  ทั้งคู่แค่ตั้งใจฟังโดยทำเหมือนเรื่องที่คนพวกนี้คุยกันไม่ได้เกี่ยวข้องกับตนเอง

แต่คนขับกลับมองผ่านกระจกมองหลังด้วยอารมณ์ประมาณว่าอยากพูดแต่ก็พูดไม่ออก  ได้แต่ทำสีหน้าไม่ถูกมุมปากกระตุกยิก ๆ ‘เถ้าแก่ก็นั่งอยู่ในรถไม่ใช่ไง?’

อีกคนมีความเห็นว่า “ถ้าเส้นสายของบ้านไร่ชิงหลินไม่ใหญ่ล่ะก็ไม่มีทางจัดอีเวนต์รางวัลนี่ได้แน่นอน  อยากรู้จริงว่าเจ้าของบ้านไร่หน้าตาเป็นยังไง”

ผู้หญิงคนหนึ่งที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหรามีความเห็นว่า “ต้องเป็นตาแก่คนใหญ่คนหนวดเคราดกหนาชัวร์เลย  ก็ข้าวหลวงเสียงสุ่ยเป็นสิ่งที่หาซื้อยากเหมือนที่ในเน็ตว่าไว้  แปลว่าถ้าเป็นคนรุ่นเยาว์ล่ะก็ต่อให้มีอำนาจก็ยังไม่พอที่จะหาซื้อได้อะ”

เมื่อจ้าวโม่ชิงได้ยินก็กลั้นขำแล้วยื่นมือไปลูบคางของฉินหลินซึ่งก็ไม่เห็นจะมีเคราอะไรอย่างที่ผู้หญิงคนนั้นว่า

ไม่นานรถบัสก็มาถึงจุดหมาย  ต้นทางการล่องแก่งได้มีการสร้างอาคารหลังเล็ก ๆ ขึ้นมาหลายหลังและได้มีพ่อค้าแม่ขายมากมายอยู่ข้างใน  สินค้าคือห่วงยาง  ผ้าเช็ดตัว  แว่นกันแดด  ถุงกันน้ำอะไรเทือกนี้

นักท่องเที่ยวที่มาล่องแก่งต้องมาที่นี่ซึ่งแปลว่ามันคือแหล่งรวมลูกค้า

สิ่งนี้ถูกจัดการและจัดระเบียบโดยทางอำเภอเพื่อสนับสนุนครัวเรือนที่ยากจนบางครอบครัวซึ่งมีสถานะการณ์ที่พิเศษให้พวกเขาหาได้เงินเล็ก ๆ น้อย ๆ แม้แต่เงินจากการรับสินค้ามาขายก็ได้ทางอำเภอสนับสนุนให้

ทางอำเภอได้เอาข้อมูลของคนเหล่านี้มาให้ฉินหลินดูแล้ว  และหนึ่งในนั้นทำให้เขาประทับใจอย่างสุดซึ้ง  เป็นแม่คนหนึ่งซึ่งสามีเสียชีวิตไปนานกว่า 10 ปี  พึ่งพารายได้อันน้อยนิดของตนไม่ใช่แค่เลี้ยงดูลูกชายอย่างยากลำบากเท่านั้น  แต่เพื่อสามีที่ตายไปแล้วเธอได้ดูแลแม่ที่ป่วยของสามีด้วย

ฉินหลินสามารถขายสิ่งเหล่านี้ในบ้านไร่ได้ก็จริงแต่กำไรของสิ่งเหล่านี้ก็น้อยเช่นกัน  และเมื่อทางอำเภอเป็นผู้จัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองเขาเลยไม่ต้องยุ่ง

ก็ถือว่าสบายไปเพราะกำไรก้อนนี้สำหรับเขาแล้วไม่มีนัยสำคัญอะไร  ทว่ามันกลับสามารถเป็นหลักประกันในการสนับสนุนครอบครัวยากจนเป็นพิเศษเหล่านี้ให้อยู่ได้

ฉินหลินพาจ้าวโม่ชิงไปที่ต้นทางการล่องแก่งโดยที่นั่นมีพนักงานให้บริการคอยรับผิดชอบโดยถือไมค์ประกาศอธิบายสิ่งสำคัญในการล่องแก่ง

ถัดมาเป็นพนักงานตรวจตั๋วและพนักงานที่ทำหน้าที่แจกเสื้อชูชีพและหมวกนิรภัย

ด้านล่างยังมีรองเท้าใส่เล่นน้ำอีก 2 คู่และเรือคายัคโดยมีเจ้าหน้าที่คอยช่วยเหลือนักท่องเที่ยวให้ขึ้นเรือ

ฉินหลินกับจ้าวโม่ชิงไปตรวจตั๋วและพนักงานย่อมจำได้  แต่ดูจากท่าทีของเขาแล้วพนักงานเองก็ไม่ได้โง่เลยไม่เปิดเผยตัวตนของฉินหลินต่อหน้านักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ

ทั้งสองลงเรือคายัคและหลังจากลงไปในน้ำแล้วจ้าวโม่ชิงก็พูดว่า “ฉินหลินแม่น้ำสายนี้มันเย็นไปหน่อยเรารีบพายกันดีกว่านะ”

เธอกับฉินหลินเคยไปล่องแก่งในหน้าหนาวมาเหมือนกัน  ดังนั้นเธอจึงรู้ว่าในเวลานี้ต้องมีการเคลื่อนไหวร่างกายให้มาก ๆ ซึ่งจะทำให้ลดความหนาวจากการที่ร่างกายร้อนขึ้นจนต้องขับเหงื่อ

ฉินหลินพยักหน้าและพายไปพร้อมกับจ้าวโม่ชิง

ระหว่างทางเรือคายัคทุกลำเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวซึ่งล้วนมากันเป็นคู่ ๆ

เอาจริง ๆ ถึงแม้ว่าจะมาแค่คนเดียวก็ตาม  แต่ทางพนักงานจะมีการจับคู่ให้เป็นพิเศษ  เพราะว่าการเล่นคนเดียวอันตรายกว่าการเล่นสองคน

ถ้าหนุ่ม ๆ สาว ๆ ไปล่องแก่งคนเดียวและถูกจับคู่จนเกิดถูกใจเพศตรงข้ามขึ้นมาก็เรียกได้ว่าโอกาสมาเกยตื้นอยู่ตรงหน้าแล้ว  เหลือแค่จะคว้าหรือไม่คว้าเท่านั้นเอง

บางทีเดินทางพันลี้อาจได้มีเนื้อคู่มาแต่งงานกันเลยก็เป็นได้

ฉินหลินกับจ้าวโม่ชิงใช้เวลากว่าสองชั่วโมงกว่าจะถึงจุดปลายทางของการล่องแก่ง  ซึ่งไม่พบปัญหาใด ๆ ยิ่งไปกว่านั้นโครงการพึ่งจะเริ่มต้น  เงินเดือนพนักงานก็สูงกว่าเงินเดือนเฉลี่ยของชาวโหยวเฉิงทุกคน  ทำให้พนักงานมีความกระตือรือร้นในการทำงานให้ทั้งคู่สูงมาก

หลังจากอาบน้ำและกลับไปที่บ้านไร่แล้วก็เห็นว่าบ้านไร่ก็มีเสียงดังจอแจและเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว

เมื่อมองไปรอบ ๆ จะเห็นว่าจำนวนนักท่องเที่ยวนั้นมากันหนาแน่นมาก  และดูท่าจำนวนจะสูงกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า  จนบางจุดสัมผัสได้ถึงความแออัดไปแล้วด้วย

สงสัยแพ็คเกจสูงสุดระดับฮ่องเต้จะดึงดูดใจของคนทั่วไปอย่างมากและยังทำให้เขายิ่งกลัวว่ามื้ออาหารของฮ่องเต้ในสมัยโบราณจะถูกคนอื่นช่วงชิงไปซะก่อน

จะว่าไปแล้วในสายตาของคนเหล่านี้แพ็คเกจสูงสุดระดับฮ่องเต้นี่คล้ายกับมื้ออาหารที่ฮ่องเต้ในสมัยโบราณกินจริง ๆ งั้นเหรอ?

ฉินหลินกับจ้าวโม่ชิงพึ่งจะกลับมาถึงห้องประธานก็เห็นเกาเหยาเหยาวิ่งเหยาะ ๆ เข้ามาหา “เถ้าแก่  พี่โม่ชิงคะ  ตั๋วทะเลเฟื่องฟ้ากับล่องแก่งที่จำกัดในตอนเช้าขายหมดตั้งแต่ชั่วโมงก่อนแล้วค่ะ  เราเพิ่มตั๋วดีมั้ยคะ?”

ฉินหลินรู้ว่าวันนี้ต้องเกิดปัญหาแบบนี้ขึ้น  แต่เขาไม่ได้คิดว่าตัวทะเลเฟื่องฟ้ากับล่องแก่งจะขายหมดเร็วเกินถึงขนาดนี้

นี่ยังเป็นตัวแสดงให้เห็นว่าจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาวันนี้เยอะมากจนเกินความจุของบ้านไร่ไปมากแล้ว  ถ้าแก้ไม่ได้บรรดานักท่องเที่ยวคงคอมเมนต์กันอย่างหนักแน่ ๆ

ความแออัดจะทำให้ได้รับประสบการณ์การเที่ยวได้ไม่เต็มที่และยังน่ารำคาญที่สุดด้วย

ที่ห้องโถงล่องแก่งและด้านนอกทะเลเฟื่องฟ้าตอนนี้มีนักท่องเที่ยวหลายคนเริ่มบ่นกันแล้ว

“แบบนี้ก็ได้เหรอ  คนมาซื้อตั๋วตั้งเยอะแยะแต่ดันมีการจำกัดจำนวนซะงั้น”

“อยากจับรางวัลแต่ใช้เงินไม่ได้  พึ่งจะได้เจอก็วันนี้แหล่ะอยากใช้เงินแต่ไม่มีที่ให้ใช้  โอ๊ยยยอยากถูกรางวัลโว้ยยยยยยย!”

“...”

“กิจกรรมของบ้านไร่ชิงหลินน่าดึงดูดจริง  แต่บ้านไร่ดันมีอะไรให้เล่นน้อยเกิ๊น!”

“คราวก่อนมารอคราวนี้มาก็รออีก  ทรมานแท้~”

ในสำนักงาน

ฉินหลินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “เมื่อวานก็ปล่อยการสั่งจองออนไลน์ไปแล้ว  ส่วนที่ทะเลเฟื่องฟ้าก็จะไม่เพิ่มจำนวนตั๋วแน่ ๆ งั้นเอางี้  ให้ขนเรือคายัคกลับคืนข้างบนเร็วหน่อย  จะได้ขายตั๋วล่องแก่งได้มากขึ้นอีกนิด”

เกาเหยาเหยาพยักหน้า “เถ้าแก่คะยังเหลืออีกเรื่องนึงค่ะ  แผนเดิมของเราคือรับคนสองสามพันคน  ตอนนี้กะดูด้วยสายตาแค่ช่วงเช้าก็น่าจะสองพันห้าแล้วนะคะ  เผลอ ๆ ตอนบ่ายน่าจะมีเยอะกว่านี้ด้วย  หนูคิดว่าไม่น่าปล่อยให้นักท่องเที่ยวลอยชายโดยไม่ทำอะไร  นักท่องเที่ยวที่รู้ว่าไปซื้อของที่ศูนย์การขายก็สามารถหาสิทธิ์จับรางวัลได้คงไม่ใช่ทุกคนหรอกค่ะ”

เมื่อฉินหลินได้ยินสิ่งนี้เขาก็ยิ้มชมเชย “เยี่ยมมากเหยาเหยา  มองสถานการณ์เก่งจริง ๆ”

“ทั้งหมดนี้ก็ได้เถ้าแก่กับพี่โม่ชิงสอนแหล่ะค่า” เกาเหยาเหยารับคำชมในทันที

ฉินหลินคิดอยู่ครู่หนึ่งก็บอกว่า “งั้นก็มีแต่ต้องขอความช่วยเหลือจากคนนอกอะนะ  เด๋วฉันจะบอกอธิบดีเฉินขอให้เขาช่วยจัดงานซื้อตั๋วสถานที่ท่องเที่ยวระหว่างกิจกรรม  โดยจะขายตั๋วสถานที่ท่องเที่ยวอีกสองแห่งด้วยเพื่อกระจายนักท่องเที่ยวไปยังสถานที่ท่องเที่ยวอื่น”

จ้าวโม่ชิงขมวดคิ้ว “แล้วนักท่องเที่ยวจะยอมซื้อเหรอ?”

ฉินหลินยิ้ม “ซื้อสิถ้าเราให้การซื้อตั๋วสถานที่ท่องเที่ยวทั้งสองแล้วจะได้รับสิทธิ์ในการจับสลาก  น่าจะถ่ายเทคนออกไปได้พอสมควรเลย  เพราะยังไงสำหรับเราก็เป็นไปไม่ได้ที่จะรองรับคนจำนวนมากขึ้นถึงวันละหกเจ็ดเท่า”

หลังจากพูดจบฉินหลินก็หยิบมือถือออกมาโทรหาเฉินหลี่

อีกด้านหนึ่งเฉินหลี่อยู่ในห้องประชุม  นายอำเภอซุนกำลังถ่ายทอดคำสั่งให้แก่ผู้คนในสำนักงานการท่องเที่ยวเกี่ยวกับแผนการพึ่งพาบ้านไร่ชิงหลินเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจของอำเภอ  แผนการนี้ลงมติอนุมัติแล้วตั้งแต่ให้กองทุนสนับสนุนแก่อีกฝ่าย

ตอนนี้บ้านไร่ชิงหลินกำลังขาขึ้นและนายอำเภอซุนก็โฟกัสกับอีกสองวันที่เหลือ

อย่างอื่นยังไม่ต้องพูดถึงมาก  เอาแค่ตามแนวโน้มนี้อย่างน้อยในปีใหม่นี้ GDP ของบางอุตสาหกรรมในอำเภอต้องมีการพุ่งกระฉูด

มือถือของเฉินหลี่ดังขึ้นมาเขาก็เอาออกมากำลังจะปิดเสียงพร้อมกับพูดขอโทษนายอำเภอซุน  แต่ขณะที่กำลังจะพูดกลับเห็นว่าเป็นเบอร์ของฉินหลินเขาเลยยื่นให้นายอำเภอดูก่อน

“รับสาย!” เมื่อเห็นว่าเป็นฉินหลินที่โทรมานายอำเภอเลยหยุดพูดทันที

เฉินหลี่พยักหน้าพร้อมกดสปีกเกอร์โฟน “ไงครับเถ้าแก่ฉิน  ทำไมถึงมีเวลาว่างโทรมาได้ล่ะ?”

ฉินหลินพูดตรงประเด็นเลยว่า “ผมมีเรื่องจะถามหน่อยน่ะครับท่านอธิบดี  คือตอนนี้บ้านไร่ของผมคนเต็มหมดแล้ว  งานนี้มีคนมาเยอะกว่าตอนราชาแตงโมอีกผมเลยอยากให้คุณช่วยเบนคนไปที่ภูเขาจิ่วหยุนกับสวนวัฒนธรรมจูสื่อให้หน่อยน่ะครับ”

เฉินหลี่ผงะไปจากนั้นก็ถามว่า “นักท่องเที่ยวเขามาเที่ยวบ้านไร่ชิงหลินกันแล้วพวกเขาจะซื้อตั๋วของที่อื่นเหรอครับ?”

ฉินหลินอธิบายว่า “ให้ตั๋วเข้าชมทั้งสองแห่งเข้าร่วมสิทธิ์จับรางวัลในกิจกรรมนี้ด้วย  แล้วจะให้จำนวนผู้ถูกรางวัลเพิ่มขึ้นอีกวันละสองคน  แบบนี้ต้องมีนักท่องเที่ยวซื้ออย่างแน่นอนครับ  แล้วเดี๋ยวผมจะแอบเล่นตุกติกให้นักท่องเที่ยวที่ซื้อตั๋วจากทั้งสองที่ถูกรางวัลก่อนซักคนหนึ่งเพื่อกระตุ้นยอดขายให้”

เฉินหลี่เงยหน้ามองนายอำเภอซุน

นายอำเภอซุนพยักหน้าทันทีด้วยใบหน้าที่มีความสุข  ครั้งก่อนบ้านไร่ชิงหลินจัดกิจกรรมทั้ง ๆ ที่ยังไม่ทันได้เปิดบริการโครงการใหม่ก็ล่อคนมาเข้าได้ตั้ง 5,086 คนแล้วโดยไม่ได้โทรให้ทางอำเภอช่วย

แต่ตอนนี้เถ้าแก่ฉินโทรมาขอความช่วยเหลือจากทางอำเภอ  ซึ่งหมายความว่ามีคนมากกว่าครั้งที่แล้ว และจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาในวันนี้อาจมากกว่า 6,000 คน

เหตุการณ์แบบนี้นี่แหล่ะความสุข

ลองคิดดูว่าวันละ 6,000 คน  หากบ้านไร่งชิงหลินสามารถรักษาจำนวนนี้ไว้ได้ทุกวันแปลว่าในหนึ่งปีจะมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวถึง 2.2 ล้านคน

ทว่านายอำเภอซุนก็รู้อยู่ว่ามันเป็นไปไม่ได้  พวกเขาไม่อาจโลภมากและใช้งานบ้านไร่ชิงหลินไปในแนวทางนั้นได้  ขอแค่เฉลี่ยวันละ 3,000 คนก็เท่ากับปีละ 1.1 ล้านคนแล้ว  แบบนี้ก็พอที่จะทำให้ทั้งอำเภอเพลิดเพลินได้

เมื่อเห็นนายอำเภอพยักหน้าเฉินหลี่จึงพูดกับฉินหลินทันทีว่า “เถ้าแก่ฉินไม่ต้องเป็นห่วง  เดี๋ยวผมจะช่วยคุณจัดการให้ทันที  แล้วผมจะจัดการปันกำไรสี่สิบเปอร์เซ็นต์จากสถานที่ท่องเที่ยวทั้งสองให้กับบ้านไร่ชิงหลินด้วย”

ฉินหลินพูดทันทีว่า “เอาสี่สิบเปอร์เซ็นต์นี่ไปบริการนักท่องเที่ยวดีกว่าครับ  ถ้านักท่องเที่ยวซื้อตั๋วแหล่งท่องเที่ยวทั้งสองก็ให้ทั้งสองบริการรับส่งนักท่องเที่ยวให้ด้วย  หรือไม่ก็แปลงเป็นพวกของขวัญอย่างผลิตภัณฑ์จากไม้ไผ่หรือไม่ก็ส้มสีทองอะไรแบบนั้น”

“โอเค  เดี๋ยวจะทำตามที่เถ้าแก่ว่าให้ครับ” เฉินหลี่ไม่ปฏิเสธ

หลังจากวางสายนายอำเภอก็อดชื่นชมไม่ได้ “เถ้าแก่ฉินคนนี้ใจกว้างจริง ๆ รู้จักมองภาพรวมเป็นสำคัญอันเป็นสัญลักษณ์ของผู้ที่ยิ่งใหญ่  เมื่อจัดการเรื่องราวแล้วย่อมทำตามที่พูดและอาจหาญในการแจกของขวัญ  ครั้งนี้ให้เน้นการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวทั้งสองมากกว่าการหาเงินนะ”

“ทราบแล้วครับ” เฉินหลี่พยักหน้าแล้วเดินออกนอกห้องประชุมเพื่อไปโทรหาใครบางคน

......................................................................................................

หลังจากฉินหลินโทรหาเฉินหลี่เสร็จแล้วเขาก็เข้าแอปชิงโชค  หากจะให้มีคนถูกรางวัลขึ้นมา 2 คนล่ะก็ต้องมีการตั้งค่าแอปใหม่

ยิ่งไปกว่านั้นทุกคนกังวลว่านักท่องเที่ยวจะไม่ซื้อตั๋วเข้าชมของอีกสองแห่งดังนั้นเขาเลยต้องแอบกระตุ้นซักหน่อย

เขาเคยฟังบรรยายในมหาวิทยาลัยเรื่องจิตวิทยาในการโฆษณาชวนเชื่อซึ่งเป็นทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับที่เขากำลังแอบทำอยู่ตอนนี้

ประมาณว่าตราบใดที่นักท่องเที่ยวที่ซื้อตั๋วเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวทั้งสองแห่งได้เป็นคนแรกที่ถูกรางวัลได้รับแพ็คเกจสูงสุดระดับฮ่องเต้ล่ะก็  มันจะส่งผลกระทบต่อจิตใจของผู้อื่นคือจะเป็นการชักชวนให้ผู้อื่นคิดไปเองว่าถ้าซื้อตั๋วของทั้งสองแห่งนั้นแล้วโอกาสถูกรางวัลจะสูงขึ้นไปโดยปริยาย

ด้วยความคิดแบบนี้จะทำให้มีหลาย ๆ คนซื้อตามแน่นอน  และเมื่อซื้อไปแล้วหากไม่ไปก็จะรู้สึกเสียดายเงิน  แล้วคนเหล่านั้นก็จะถูกเบนออกจากบ้านไร่ให้ไปที่แหล่งท่องเที่ยวทั้งสองแห่งนั่นเอง

ในเวลานั้นคนเหล่านี้ที่ยังไม่ได้เที่ยวชมบ้านไร่ชิงหลินก็จะต้องพักในตัวอำเภออีกหนึ่งคืนเพื่องที่จะมาเที่ยวบ้านไร่ใหม่ในวันพรุ่งนี้  แปลว่าคืนนี้ทางอำเภอจะมีความสุขกับการรีดกระเป๋านักท่องเที่ยวมาก ๆ

การตั้งค่าแอปไม่ใช่เรื่องยาก  แม้ราคาตั๋วเข้าชมอีก 2 แห่งจะไม่เท่ากันก็ตาม  แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครจะเป็นผู้โชคดี

หลังจากที่ตั้งค่าแอปเสร็จแล้วฉินหลินจึงได้ถอนหายใจออกมา

ในสถานการณ์เช่นนี้เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสร้างทะเลดอกไม้รวมกับฟาร์มปศุสัตว์เสร็จสมบูรณ์เร็ว ๆ และหากมีอความเรี่ยมที่เคยคิดไว้เพิ่มไปด้วยแล้วล่ะก็จำนวนนักท่องเที่ยวในวันนี้เขาสามารถรองรับได้อย่างง่ายดาย

หลังจากนั้นไม่นาน

เฉินหลี่นำชายวัยกลางคน 2 คนมาที่ห้องสำนักงานของฉินหลิน  และเมื่อเขาเห็นฉินหลินเขาก็แนะนำทั้งสองให้รู้จัก “เถ้าแก่ฉินสองคนนี้หลี่จงกับหวงจงเป็นผู้รับผิดชอบภูเขาจิ่วหยุนกับสวนวัฒนธรรมจูสื่อ  ทั้งสองได้นำพนักงานมาเพื่อให้ร่วมมือกับคุณพร้อมนำตั๋วเข้าชมของทั้งสองแห่งมาขายด้วย”

เมื่อคนทั้งสองเห็นฉินหลินก็เข้ามาจับมือทักทายอย่างกระตือรือร้น

“ผมชื่นชมหลินจงมานานแล้วในที่สุดก็ได้พบตัวจริงซักที”

“ขอบคุณหลินจงมากจริง ๆ ที่ช่วยสนับสนุนเรา  วันนี้ถ้าคุณมีอะไรจะสั่งล่ะก็เชิญสั่งมาได้เลยครับ”

ทัศนคติของทั้งสองดีมาก

ภูเขาจิ่วหยุนกับสวนวัฒนธรรมจูสื่อเป็นสัญญาแบบกึ่งทางการทำให้แรงกดดันในการทำงานสูงมาก  นักท่องเที่ยวที่ไปก็ไม่ได้เยอะอะไรทำให้ไม่มีทางพัฒนาและเรียกความสนใจจากนักท่องเที่ยวหน้าใหม่ได้

เมื่อเห็นว่าหุบเขาต้าเซี่ยมีการประชาสัมพันธ์บนติ๊กต็อกแถมยังมีประสิทธิภาพทำให้มีผู้ติดตามถึงล้านกว่าคนทำให้พวกเขาอยากเรียนรู้เรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน  แต่บนแพลตฟอร์มเดียวกันโอกาสที่จะไม่เป็นที่นิยมนั้นมีมากเกินไปอย่างเห็นได้ชัด  ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้โชคดีแบบหุบเขาต้าเซี่ย  จำนวนนักท่องเที่ยวแค่พอไปวัดไปวาไม่ได้เติบโตอะไรมาก

สิ่งที่พวกเขาทั้งสองไม่คาดคิดก็คือบ้านไร่ชิงหลินแห่งนี้จู่ ๆ ก็กำลังจะยัดข้าวเข้าปากพวกเขาอยู่  และนอกจากการคารวะฉินจงผู้เป็นเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งผู้นี้แล้วพวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรยังไงอีก

ฉินหลินยังกล่าวกับทั้งสองว่า “ตอนนี้ผมต้องขอความร่วมมือจากคุณทั้งสองจริง ๆ และหวังว่าคุณสองคนจะได้รับประสบการณ์ที่ดี  ไม่ว่าจะเป็นบ้านไร่ชิงหลินของผม  ทางอำเภอ  หรือสถานที่ท่องเที่ยวของพวกคุณทั้งสองก็ไม่อาจทำเสียชื่อเสียงของตัวเองได้”

หลี่จงพูดทันที “ฉินจงไม่ต้องเป็นห่วง  พวกเราไม่ใช่คนที่ไม่รู้เรื่องพวกนี้”

หวงจงเองก็พยักหน้าเห็นด้วย

เฉินหลี่มองดูด้วยความชื่นชม

เขาชื่นชมเถ้าแก่ฉินคนนี้จริง ๆ การมองภาพรวมของอีกฝ่ายทำให้หลี่จงกับหวงจงทำเหมือนเขาเป็นผู้นำไปแล้ว

ฉินหลินเรียกเกาเหยาเหยามาสั่งให้ออกไปร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ของสถานที่ท่องเที่ยวทั้งสองแห่ง

โถงขายตั๋วทะเลเฟื่องฟ้า

หวางหยางกับคู่นอนอาบน้ำเรียบร้อยแล้วและออกจากพื้นที่ล่องแก่ง  เขาพาเธอไปที่ศูนย์การขายเพื่อซื้อน้ำผึ้งชงสมุนไพร 2 แก้ว  สตรอเบอร์รี่เลเวล 2 อีก 200 หยวนซึ่งรวมแล้ว 600 หยวน  ได้สิทธิ์จับสลากมา 6 สิทธิ์แต่ก็น่าเสียดายที่วืดหมด

หญิงสาวขมวดคิ้วถาม “พี่หยาง  ตั๋วทะเลดอกเฟื่องฟ้าตอนเช้าขายหมดแล้วต่อไปเราจะทำไงต่ออะ?”

หวางหยางเองก็ทุกข์ใจเช่นกัน  ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีเงิน  แต่ตอนนี้เขามีเงินแต่ไม่มีที่จะใช้  ถึงจะไปซื้อของที่ศูนย์การขายก็เถอะ  แต่พอดื่มน้ำผึ้งชงสมุนไพร 1 แก้วกับสตรอว์เบอร์รี่พวกนี้เข้าไปแล้วก็กินต่อไม่ไหวอีก

เขาไม่ใช่คนจน  เมื่อก่อนเขาไปดูการแสดงกลางคืนบ่อย ๆ ต้องจ่ายอย่างน้อยก็ที่ละ 1,200 ถ้าเกิดเหงา ๆ ก็เปย์สาวมาแก้เหงาคืนละ 3,000 สบาย ๆ

แต่ที่บ้านไร่ชิงหลินนี่มันยังไง?  อยากเปย์เงินจับสลากแทบตายแต่ได้แค่ 800

คนรอบข้างก็บ่นกันเยอะเหมือนกัน

ความจริงที่ว่าบ้านไร่ชิงหลินสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากได้แปลว่าสถานที่แห่งนี้เป็นที่นิยมมาก

แต่ทำไมเถ้าแก่บ้านไร่ไม่รู้จักพัฒนาโครงการเพิ่มเติม?  ทำให้เขามีส่วนร่วมแค่อย่างสองอย่างเท่านั้นเอง  แล้วแบบนี้จะมีโอกาสจากไหนได้กินข้าวหลวงเสียงสุ่ย?

..........................................................................................................................

ณ ขณะนี้

มีพนักงานขายคนหนึ่งเดินมาพร้อมกับลำโพงตัวเล็ก ๆ “ก่อนอื่นในนามของบ้านไร่ชิงหลินทางเราต้องขอโทษทุก ๆ คนด้วยนะคะ  เพราะการทำงานที่ไม่สมบูรณ์ของบ้านไร่ทำให้ทุกคนไม่พอใจ  และตอนนี้เราจะขายตั๋วเข้าชมภูเขาจิ่วหยุนและสวนวัฒนธรรมจูสื่อด้วยค่ะ”

“ทั้งสองแห่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของอำเภอโหยวเฉิงเรา  มีทิวทัศน์ที่ไม่เหมือนใครอีกมากมายให้เพลิดเพลิน  สวนวัฒนธรรมจูสื่อมีสถาบันหนานซีที่จู่สื่อเคยศึกษา  มีบ่อน้ำสี่เหลี่ยมขนาดครึ่งหมู่  มองเห็นท้องฟ้าและก้อนเมฆที่เกาะเกี่ยวกัน  บ่อน้ำใสมากเนื่องจากมี...”

เห็นได้ชัดว่าการแนะนำของพนักงานขายคนนี้เก่งมาก  แต่ดูเหมือนจะว่ามีนักท่องเที่ยวไม่มากนักที่ซื้อ  เพราะทุก ๆ คนต่างมาเที่ยวบ้านไร่ชิงหลินเพื่อจับรางวัล  แล้วใครมันจะอยากไปที่ภูเขาจิ่วหยุนกับสวนวัฒนธรรมจูสื่อกันล่ะ?

หลังจากพนักงานขายแนะนำเสร็จเสร็จแล้วเธอก็พูดต่อว่า “และข่าวดีก็คือ  การซื้อตั๋วของทั้งสองแห่งนี้ก็มีสิทธิ์ในการจับรางวัลเช่นเดียวกันค่า~”

คำนี้ทำให้ผู้คนต่างก็หูผึ่ง

“โคตรเลยเว้ย  ซื้อตั๋วของสองแห่งนั้นก็ได้สิทธิ์จับรางวัลด้วย”

หวางหยางพึมพำและถามคู่นอนว่า “ในเมื่อซื้อตั๋วเข้าชมบ้านไร่ชิงหลินไม่ได้งั้นเราไปอีกสองที่นั่นดูปะ?”

“แล้วแต่พี่หยางเลยจ้า~” หญิงสาวพยักหน้า

มีบางคนที่คิดเหมือนหวางหยางและไปเข้าคิวซื้อตั๋ว

หวางหยางซื้อตั๋วเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวทั้งสองแห่ง  ตั๋วเข้าชมแต่ละแห่งราคาแค่ 50 หยวน “ตั๋วสี่ใบก็สองร้อยหยวนกับสิทธิ์การจับสลากสองครั้ง”

พูดไปพลางกดจับสลากไปพลางและได้ขอบคุณที่เข้าร่วมทั้งสองครั้ง

“ไอ้...” หวางหยางหงุดหงิด

ไม่สามารถชนะหนึ่ง?

นักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ ที่ซื้อตั๋วเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวทั้งสองก็กดสุ่มรางวัลเหมือนกัน

หลังจากผ่านไปได้สองสามคนแล้วก็ถึงตาของชายคนหนึ่งที่พาเมียมาเที่ยวและคิดว่าการสุ่มรางวัลเป็นแค่ผลพลอยได้โดยไม่ได้สนใจมากนัก

“ขอแสดงความยินดี  ได้รับแพ็คเกจสูงสุดระดับฮ่องเต้!”

“???” คือกับปล่อยมือถือแต่ก็รีบจับเอาไว้ได้ทันทั้ง ๆ ที่ยังรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ

กูแค่กดเล่น ๆ เองนาเว่ยโอเค้?

“มีอะไรเหรอ” ฝ่ายภรรยาถามอย่างสงสัย

“ถะ...  ถูก!” ชายคนนั้นพูดติดอ่าง

“จริงเหรอ...  จริงเร้อ~~~~~~~~”

ฝ่ายภรรยาตกใจสุดขีดพร้อมมองหน้าจอมือถือของสามีเพื่อเช็คดูให้แน่ใจแล้วก็ยิ่งแหกปากดังลั่นยิ่งกว่าเดิม “ถูกจริง ๆ ด้วยคุณ  สุดยอดไปเลยถูกรางวัลจริง ๆ ด้วย~~~~~~”

เสียงของเธอทำให้ผู้คนรอบข้างต่างหันไปมอง

หวางหยางเองก็มองด้วยความอิจฉา ‘เชี่ยนิทีเดียวได้เลยเหรอวะ!  แม่งไร้เหตุผลชิบหาย!’

เกิดความโกลาหลไปทั่ว

“โหโคตรโชคดีอะ”

“เรากดรอบละเป็นสิบสิทธิ์แต่หมอนั่นแค่ซื้อตั๋วไปที่อื่นก็ได้แล้ว?”

“หรือว่าเพราะมีคนใช้เงินในบ้านไร่ชิงหลินเยอะเกินไปเลยทำให้อัตราถูกรางวัลต่ำลงไปด้วย  แต่อีกสองแห่งยังไม่มีคนซื้อเลยมีอัตราถูกรางวัลสูงกว่า”

“เป็นไปได้  เพราะพึ่งจะเอาตั๋วของสองที่นั่นมาขายเลยทำให้ระบบคำนวณเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมา  เพราะงั้นคนที่ซื้อตั๋วของสองที่นั่นเลยถูกรางวัลแทน”

“...”

เป็นไปตามที่คาดไว้เลยคือมีหลายคนเริ่มวิเคราะห์แล้วหาเหตุผลเชื่อมโยงแปลก ๆ ขึ้นมา

ดังนั้นจึงมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากแห่กันไปซื้อตั๋วเข้าชมภูเขาจิ่วหยุนและสวนวัฒนธรรมจูสื่อ

ห้องสำนักงานของฉินหลิน

หลี่จง  หวงจง  และเฉินหลี่ต่างกำลังอึ้งกับจำนวนยอดขายที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้นจากข้อมูลหลังบ้าน  เห็นได้ชัดเลยว่าไอเดียของฉินหลินประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่

หลี่จงกับหวงจงฉีกยิ้มจนแทบจะถึงหู  จากนี้ไปพวกเขาได้ตัดสินใจแล้วว่าจะสานสัมพันธ์อันดีกับเถ้าแก่ฉิน  และถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกซักสองสามครั้งล่ะก็คงจะดีไม่น้อย

ข้างนอก

คู่รักที่ถูกรางวันได้มีผู้คนจับตามองมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะนี่คือคู่แรกที่ถูกรางวัล

พนักงานเสิร์ฟรีบเข้าไปพูดกับคนทั้งคู่ “ยินดีกับทั้งสองท่านด้วยที่ถูกรางวัลค่ะ  ตอนนี้คุณสามารถลงทะเบียนข้อมูลไอดีกับฉันได้เลย  แล้วเราจะแจ้งให้ทราบถึงขั้นตอนการรับรางวัล”

ทั้งคู่ยังสับสนกันอยู่เล็กน้อยดังนั้นจึงได้แต่พยักหน้าและเดินตามเธอไป

แล้วจู่ ๆ ก็มีเสียงตะโกนดังขึ้น “รอสักครู่ครับ!”

ชายหนุ่มในชุดสูทวิ่งเข้ามาถามทั้งคู่ “คุณทั้งสองต้องการขายรางวัลนี้หรือไม่ครับ  ประธานของเราต้องการซื้อในราคาหกหมื่นหนึ่งพันหยวนพร้อมโอนเดี๋ยวนี้เลย”

เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มรีบมาก  ประธานไม่มีเวลามาเองเลยต้องส่งเขามา  และเขาก็มารอตั้งแต่เช้าแล้วโดยกำชับเขาว่าต้องซื้อมาให้ได้อย่างน้อยซักสองชุด

วินาทีต่อมาได้มีหญิงสาวอีกคนที่แต่งตัวชุดสูทเหมือนเป็นเลขาประธานบริษัทวิ่งเข้ามา “คุณสองคนช่วยพิจารณาข้อเสนอของประธานของฉันด้วยค่ะ  ท่านยินดีจ่ายหกหมื่นสองพันหยวนซื้อรางวัลของคุณ”

เอาจริงดิ!

คนรอบข้างทนไม่ไหวต้องอุทานเสียงดังออกมา

“เชี่ย!  มีคนมาซื้อต่อจริง ๆ ด้วยเว่ยเฮ่ย!!”

“แถมราคาเพิ่มเป็นหกหมื่นสองด้วย”

“ทำไมไม่เป็นกูว้า~  กูอะอยู่หน้าไอ้หมอนั่นแท้ ๆ รู้งี้กูจะให้มันแซงคิวไปเลย”

“...”

ความหงุดหงิน  ความอิจฉา  และเสียงอุทานเข้าผสมปนเปกัน

ข่าวเรื่องที่มีคนถูกรางวัลและมีคนมาซื้อต่อจริง ๆ นั้นได้แพร่กระจายไปทั่วบ้านไร่ในช่วงเวลาสั้น ๆ ทำให้มีนักท่องเที่ยวที่รู้เรื่องนี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

ทำให้บ้านไร่ชิงหลินตกอยู่ในบรรยากาศครึกครื้นไม่สงบไปครู่ใหญ่

4 1 โหวต
Article Rating
1 Comment
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด