บทที่ 133: เจ้าของบ้านไร่ต้องมีอำนาจมาก! มีคนถูกรางวัล!
ฉินหลินจูงมือจ้าวโม่ชิงออกจากห้องโถงเดินตรงไปทางซ้ายซึ่งมีป้ายบอกทางไปยังจุดเริ่มต้นของการล่องแก่ง
ทั้งสองเดินตามนักท่องเที่ยวไปยังพื้นที่รอซึ่งนักท่องเที่ยวจะเจอทางเลือกสองทาง
หนึ่งคือนั่งรถบัสชมวิวขึ้นเขาไปยังต้นทางการล่องแก่ง
สองคือการเลือกซื้อตั๋วรถไฟขนาดเล็กนั่งขึ้นไปตามทางรถไฟโดยจะได้ชมวิวสวนอุทยานทีทางอำเภอสร้างขึ้น
ฉินหลินกับจ้าวโม่ชิงเลือกรถบัสและ พวกเขาเห็นคนมามากเกินไปในมณฑลฝูเจี้ยน และสวนอุทะยานนั่นก็แค่พอดูได้เท่านั้น
ทั้งสองเดินตามนักท่องเที่ยวขึ้นไปบนรถบัส
“ยินดีต้อนรับทุกท่าน นี่คือรถบัสไปยังจุดต้นทางของการล่องแก่ง เราจะออกกันในอีกซักครู่” คนขับรถบัสพูดตามหน้าที่เมื่อเห็นฉินหลินกับจ้าวโม่ชิงกำลังเดินขึ้นมา
คนขับจำเถ้าแก่ของเขาได้อยู่แล้วและกำลังจะทักทาย แต่เห็นเถ้าแก่ยกมือขึ้นห้ามเลยได้แต่พยักหน้าและทำหน้าที่ต่อไป
ฉินหลินจูงมือจ้าวโม่ชิงไปนั่งที่ที่นั่งสองตัวสุดท้าย จากนั้นไม่นานรถบัสก็เต็ม คนขับจึงสตาร์ทรถและขับไปยังจุดต้นทางการล่องแก่ง
ในรถมีนักท่องเที่ยวกำลังพูดคุยกันอย่างคุ้นเคย
“มีใครถูกรางวัลบ้างยัง?”
“ฉันยังอะ วืดมาสามรอบละ”
“ฉันจองห้องบ่าวสาว ทะเลเฟื่องฟ้า ล่องแก่ง แต่กดไปเจ็ดรอบไม่ถูกอะ สงสัยอัตราการถูกรางวัลน่าจะโคตรต่ำ”
“ต่ำอยู่แล้ว วันละห้าคนเองนา แถมแต่ละรางวัลราคาตั้งหกหมื่น”
“...”
ทันใดนั้นก็มีเสียงถอนหายใจมากมาย
บางคนไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ที่พวกเขามาบ้านไร่ชิงหลินก็เพราะจะมาเที่ยวอยู่แล้ว ส่วนเรื่องการจับสลากรางวัลนั้นเป็นเพียงผลพลอยได้ที่บังเอิญมาถูกจังหวะพอดี
บางคนเริ่มคิดแล้วว่าต้องใช้จ่ายยังไงเพื่อเพิ่มสิทธิ์ในการจับสลาก นักท่องเที่ยวประเภทนี้มาเพื่อจับสลากโดยเฉพาะ เห็นได้ชัดว่าเป็นพวกติดการพนันงอมแงมและคิดว่าต้องเป็นตัวเองเท่านั้นที่ถูกรางวัล
ทันใดนั้นได้มีคนถามขึ้น “นายคิดว่าใครเป็นเจ้าของบ้านไร่ชิงหลินวะ ว่ากันว่าข้าวหลวงเสียงสุ่ยนี่หาซื้อโคตรยากเลยนา เศรษฐีเก้าสิบเปอร์เซ็นต์มีเงินแต่ไม่มีสิทธิ์ซื้อ บ้านไร่ชิงหลินไม่เพียงแต่หาซื้อได้แต่ยังเอาออกมาจัดอีเวนต์ด้วย”
อีกคนหนึ่งตอบว่า “แปลว่าบ้านไร่ชิงหลินน่าจะมีเจ้าของร่วมกันหลายคนหรือไม่ก็มีเส้นสายใหญ่กว่าคนรวยเก้าสิบเปอร์เซนต์พวกนั้น”
ซักพักก็มีการพูดคุยกันในรถอย่างครึกครื้น
ฉินหลินกับจ้าวโม่ชิงนั่งกันอยู่เฉย ๆ ไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วม ทั้งคู่แค่ตั้งใจฟังโดยทำเหมือนเรื่องที่คนพวกนี้คุยกันไม่ได้เกี่ยวข้องกับตนเอง
แต่คนขับกลับมองผ่านกระจกมองหลังด้วยอารมณ์ประมาณว่าอยากพูดแต่ก็พูดไม่ออก ได้แต่ทำสีหน้าไม่ถูกมุมปากกระตุกยิก ๆ ‘เถ้าแก่ก็นั่งอยู่ในรถไม่ใช่ไง?’
อีกคนมีความเห็นว่า “ถ้าเส้นสายของบ้านไร่ชิงหลินไม่ใหญ่ล่ะก็ไม่มีทางจัดอีเวนต์รางวัลนี่ได้แน่นอน อยากรู้จริงว่าเจ้าของบ้านไร่หน้าตาเป็นยังไง”
ผู้หญิงคนหนึ่งที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหรามีความเห็นว่า “ต้องเป็นตาแก่คนใหญ่คนหนวดเคราดกหนาชัวร์เลย ก็ข้าวหลวงเสียงสุ่ยเป็นสิ่งที่หาซื้อยากเหมือนที่ในเน็ตว่าไว้ แปลว่าถ้าเป็นคนรุ่นเยาว์ล่ะก็ต่อให้มีอำนาจก็ยังไม่พอที่จะหาซื้อได้อะ”
เมื่อจ้าวโม่ชิงได้ยินก็กลั้นขำแล้วยื่นมือไปลูบคางของฉินหลินซึ่งก็ไม่เห็นจะมีเคราอะไรอย่างที่ผู้หญิงคนนั้นว่า
ไม่นานรถบัสก็มาถึงจุดหมาย ต้นทางการล่องแก่งได้มีการสร้างอาคารหลังเล็ก ๆ ขึ้นมาหลายหลังและได้มีพ่อค้าแม่ขายมากมายอยู่ข้างใน สินค้าคือห่วงยาง ผ้าเช็ดตัว แว่นกันแดด ถุงกันน้ำอะไรเทือกนี้
นักท่องเที่ยวที่มาล่องแก่งต้องมาที่นี่ซึ่งแปลว่ามันคือแหล่งรวมลูกค้า
สิ่งนี้ถูกจัดการและจัดระเบียบโดยทางอำเภอเพื่อสนับสนุนครัวเรือนที่ยากจนบางครอบครัวซึ่งมีสถานะการณ์ที่พิเศษให้พวกเขาหาได้เงินเล็ก ๆ น้อย ๆ แม้แต่เงินจากการรับสินค้ามาขายก็ได้ทางอำเภอสนับสนุนให้
ทางอำเภอได้เอาข้อมูลของคนเหล่านี้มาให้ฉินหลินดูแล้ว และหนึ่งในนั้นทำให้เขาประทับใจอย่างสุดซึ้ง เป็นแม่คนหนึ่งซึ่งสามีเสียชีวิตไปนานกว่า 10 ปี พึ่งพารายได้อันน้อยนิดของตนไม่ใช่แค่เลี้ยงดูลูกชายอย่างยากลำบากเท่านั้น แต่เพื่อสามีที่ตายไปแล้วเธอได้ดูแลแม่ที่ป่วยของสามีด้วย
ฉินหลินสามารถขายสิ่งเหล่านี้ในบ้านไร่ได้ก็จริงแต่กำไรของสิ่งเหล่านี้ก็น้อยเช่นกัน และเมื่อทางอำเภอเป็นผู้จัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองเขาเลยไม่ต้องยุ่ง
ก็ถือว่าสบายไปเพราะกำไรก้อนนี้สำหรับเขาแล้วไม่มีนัยสำคัญอะไร ทว่ามันกลับสามารถเป็นหลักประกันในการสนับสนุนครอบครัวยากจนเป็นพิเศษเหล่านี้ให้อยู่ได้
ฉินหลินพาจ้าวโม่ชิงไปที่ต้นทางการล่องแก่งโดยที่นั่นมีพนักงานให้บริการคอยรับผิดชอบโดยถือไมค์ประกาศอธิบายสิ่งสำคัญในการล่องแก่ง
ถัดมาเป็นพนักงานตรวจตั๋วและพนักงานที่ทำหน้าที่แจกเสื้อชูชีพและหมวกนิรภัย
ด้านล่างยังมีรองเท้าใส่เล่นน้ำอีก 2 คู่และเรือคายัคโดยมีเจ้าหน้าที่คอยช่วยเหลือนักท่องเที่ยวให้ขึ้นเรือ
ฉินหลินกับจ้าวโม่ชิงไปตรวจตั๋วและพนักงานย่อมจำได้ แต่ดูจากท่าทีของเขาแล้วพนักงานเองก็ไม่ได้โง่เลยไม่เปิดเผยตัวตนของฉินหลินต่อหน้านักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ
ทั้งสองลงเรือคายัคและหลังจากลงไปในน้ำแล้วจ้าวโม่ชิงก็พูดว่า “ฉินหลินแม่น้ำสายนี้มันเย็นไปหน่อยเรารีบพายกันดีกว่านะ”
เธอกับฉินหลินเคยไปล่องแก่งในหน้าหนาวมาเหมือนกัน ดังนั้นเธอจึงรู้ว่าในเวลานี้ต้องมีการเคลื่อนไหวร่างกายให้มาก ๆ ซึ่งจะทำให้ลดความหนาวจากการที่ร่างกายร้อนขึ้นจนต้องขับเหงื่อ
ฉินหลินพยักหน้าและพายไปพร้อมกับจ้าวโม่ชิง
ระหว่างทางเรือคายัคทุกลำเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวซึ่งล้วนมากันเป็นคู่ ๆ
เอาจริง ๆ ถึงแม้ว่าจะมาแค่คนเดียวก็ตาม แต่ทางพนักงานจะมีการจับคู่ให้เป็นพิเศษ เพราะว่าการเล่นคนเดียวอันตรายกว่าการเล่นสองคน
ถ้าหนุ่ม ๆ สาว ๆ ไปล่องแก่งคนเดียวและถูกจับคู่จนเกิดถูกใจเพศตรงข้ามขึ้นมาก็เรียกได้ว่าโอกาสมาเกยตื้นอยู่ตรงหน้าแล้ว เหลือแค่จะคว้าหรือไม่คว้าเท่านั้นเอง
บางทีเดินทางพันลี้อาจได้มีเนื้อคู่มาแต่งงานกันเลยก็เป็นได้
ฉินหลินกับจ้าวโม่ชิงใช้เวลากว่าสองชั่วโมงกว่าจะถึงจุดปลายทางของการล่องแก่ง ซึ่งไม่พบปัญหาใด ๆ ยิ่งไปกว่านั้นโครงการพึ่งจะเริ่มต้น เงินเดือนพนักงานก็สูงกว่าเงินเดือนเฉลี่ยของชาวโหยวเฉิงทุกคน ทำให้พนักงานมีความกระตือรือร้นในการทำงานให้ทั้งคู่สูงมาก
หลังจากอาบน้ำและกลับไปที่บ้านไร่แล้วก็เห็นว่าบ้านไร่ก็มีเสียงดังจอแจและเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว
เมื่อมองไปรอบ ๆ จะเห็นว่าจำนวนนักท่องเที่ยวนั้นมากันหนาแน่นมาก และดูท่าจำนวนจะสูงกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า จนบางจุดสัมผัสได้ถึงความแออัดไปแล้วด้วย
สงสัยแพ็คเกจสูงสุดระดับฮ่องเต้จะดึงดูดใจของคนทั่วไปอย่างมากและยังทำให้เขายิ่งกลัวว่ามื้ออาหารของฮ่องเต้ในสมัยโบราณจะถูกคนอื่นช่วงชิงไปซะก่อน
จะว่าไปแล้วในสายตาของคนเหล่านี้แพ็คเกจสูงสุดระดับฮ่องเต้นี่คล้ายกับมื้ออาหารที่ฮ่องเต้ในสมัยโบราณกินจริง ๆ งั้นเหรอ?
ฉินหลินกับจ้าวโม่ชิงพึ่งจะกลับมาถึงห้องประธานก็เห็นเกาเหยาเหยาวิ่งเหยาะ ๆ เข้ามาหา “เถ้าแก่ พี่โม่ชิงคะ ตั๋วทะเลเฟื่องฟ้ากับล่องแก่งที่จำกัดในตอนเช้าขายหมดตั้งแต่ชั่วโมงก่อนแล้วค่ะ เราเพิ่มตั๋วดีมั้ยคะ?”
ฉินหลินรู้ว่าวันนี้ต้องเกิดปัญหาแบบนี้ขึ้น แต่เขาไม่ได้คิดว่าตัวทะเลเฟื่องฟ้ากับล่องแก่งจะขายหมดเร็วเกินถึงขนาดนี้
นี่ยังเป็นตัวแสดงให้เห็นว่าจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาวันนี้เยอะมากจนเกินความจุของบ้านไร่ไปมากแล้ว ถ้าแก้ไม่ได้บรรดานักท่องเที่ยวคงคอมเมนต์กันอย่างหนักแน่ ๆ
ความแออัดจะทำให้ได้รับประสบการณ์การเที่ยวได้ไม่เต็มที่และยังน่ารำคาญที่สุดด้วย
ที่ห้องโถงล่องแก่งและด้านนอกทะเลเฟื่องฟ้าตอนนี้มีนักท่องเที่ยวหลายคนเริ่มบ่นกันแล้ว
“แบบนี้ก็ได้เหรอ คนมาซื้อตั๋วตั้งเยอะแยะแต่ดันมีการจำกัดจำนวนซะงั้น”
“อยากจับรางวัลแต่ใช้เงินไม่ได้ พึ่งจะได้เจอก็วันนี้แหล่ะอยากใช้เงินแต่ไม่มีที่ให้ใช้ โอ๊ยยยอยากถูกรางวัลโว้ยยยยยยย!”
“...”
“กิจกรรมของบ้านไร่ชิงหลินน่าดึงดูดจริง แต่บ้านไร่ดันมีอะไรให้เล่นน้อยเกิ๊น!”
“คราวก่อนมารอคราวนี้มาก็รออีก ทรมานแท้~”
ในสำนักงาน
ฉินหลินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “เมื่อวานก็ปล่อยการสั่งจองออนไลน์ไปแล้ว ส่วนที่ทะเลเฟื่องฟ้าก็จะไม่เพิ่มจำนวนตั๋วแน่ ๆ งั้นเอางี้ ให้ขนเรือคายัคกลับคืนข้างบนเร็วหน่อย จะได้ขายตั๋วล่องแก่งได้มากขึ้นอีกนิด”
เกาเหยาเหยาพยักหน้า “เถ้าแก่คะยังเหลืออีกเรื่องนึงค่ะ แผนเดิมของเราคือรับคนสองสามพันคน ตอนนี้กะดูด้วยสายตาแค่ช่วงเช้าก็น่าจะสองพันห้าแล้วนะคะ เผลอ ๆ ตอนบ่ายน่าจะมีเยอะกว่านี้ด้วย หนูคิดว่าไม่น่าปล่อยให้นักท่องเที่ยวลอยชายโดยไม่ทำอะไร นักท่องเที่ยวที่รู้ว่าไปซื้อของที่ศูนย์การขายก็สามารถหาสิทธิ์จับรางวัลได้คงไม่ใช่ทุกคนหรอกค่ะ”
เมื่อฉินหลินได้ยินสิ่งนี้เขาก็ยิ้มชมเชย “เยี่ยมมากเหยาเหยา มองสถานการณ์เก่งจริง ๆ”
“ทั้งหมดนี้ก็ได้เถ้าแก่กับพี่โม่ชิงสอนแหล่ะค่า” เกาเหยาเหยารับคำชมในทันที
ฉินหลินคิดอยู่ครู่หนึ่งก็บอกว่า “งั้นก็มีแต่ต้องขอความช่วยเหลือจากคนนอกอะนะ เด๋วฉันจะบอกอธิบดีเฉินขอให้เขาช่วยจัดงานซื้อตั๋วสถานที่ท่องเที่ยวระหว่างกิจกรรม โดยจะขายตั๋วสถานที่ท่องเที่ยวอีกสองแห่งด้วยเพื่อกระจายนักท่องเที่ยวไปยังสถานที่ท่องเที่ยวอื่น”
จ้าวโม่ชิงขมวดคิ้ว “แล้วนักท่องเที่ยวจะยอมซื้อเหรอ?”
ฉินหลินยิ้ม “ซื้อสิถ้าเราให้การซื้อตั๋วสถานที่ท่องเที่ยวทั้งสองแล้วจะได้รับสิทธิ์ในการจับสลาก น่าจะถ่ายเทคนออกไปได้พอสมควรเลย เพราะยังไงสำหรับเราก็เป็นไปไม่ได้ที่จะรองรับคนจำนวนมากขึ้นถึงวันละหกเจ็ดเท่า”
หลังจากพูดจบฉินหลินก็หยิบมือถือออกมาโทรหาเฉินหลี่
อีกด้านหนึ่งเฉินหลี่อยู่ในห้องประชุม นายอำเภอซุนกำลังถ่ายทอดคำสั่งให้แก่ผู้คนในสำนักงานการท่องเที่ยวเกี่ยวกับแผนการพึ่งพาบ้านไร่ชิงหลินเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจของอำเภอ แผนการนี้ลงมติอนุมัติแล้วตั้งแต่ให้กองทุนสนับสนุนแก่อีกฝ่าย
ตอนนี้บ้านไร่ชิงหลินกำลังขาขึ้นและนายอำเภอซุนก็โฟกัสกับอีกสองวันที่เหลือ
อย่างอื่นยังไม่ต้องพูดถึงมาก เอาแค่ตามแนวโน้มนี้อย่างน้อยในปีใหม่นี้ GDP ของบางอุตสาหกรรมในอำเภอต้องมีการพุ่งกระฉูด
มือถือของเฉินหลี่ดังขึ้นมาเขาก็เอาออกมากำลังจะปิดเสียงพร้อมกับพูดขอโทษนายอำเภอซุน แต่ขณะที่กำลังจะพูดกลับเห็นว่าเป็นเบอร์ของฉินหลินเขาเลยยื่นให้นายอำเภอดูก่อน
“รับสาย!” เมื่อเห็นว่าเป็นฉินหลินที่โทรมานายอำเภอเลยหยุดพูดทันที
เฉินหลี่พยักหน้าพร้อมกดสปีกเกอร์โฟน “ไงครับเถ้าแก่ฉิน ทำไมถึงมีเวลาว่างโทรมาได้ล่ะ?”
ฉินหลินพูดตรงประเด็นเลยว่า “ผมมีเรื่องจะถามหน่อยน่ะครับท่านอธิบดี คือตอนนี้บ้านไร่ของผมคนเต็มหมดแล้ว งานนี้มีคนมาเยอะกว่าตอนราชาแตงโมอีกผมเลยอยากให้คุณช่วยเบนคนไปที่ภูเขาจิ่วหยุนกับสวนวัฒนธรรมจูสื่อให้หน่อยน่ะครับ”
เฉินหลี่ผงะไปจากนั้นก็ถามว่า “นักท่องเที่ยวเขามาเที่ยวบ้านไร่ชิงหลินกันแล้วพวกเขาจะซื้อตั๋วของที่อื่นเหรอครับ?”
ฉินหลินอธิบายว่า “ให้ตั๋วเข้าชมทั้งสองแห่งเข้าร่วมสิทธิ์จับรางวัลในกิจกรรมนี้ด้วย แล้วจะให้จำนวนผู้ถูกรางวัลเพิ่มขึ้นอีกวันละสองคน แบบนี้ต้องมีนักท่องเที่ยวซื้ออย่างแน่นอนครับ แล้วเดี๋ยวผมจะแอบเล่นตุกติกให้นักท่องเที่ยวที่ซื้อตั๋วจากทั้งสองที่ถูกรางวัลก่อนซักคนหนึ่งเพื่อกระตุ้นยอดขายให้”
เฉินหลี่เงยหน้ามองนายอำเภอซุน
นายอำเภอซุนพยักหน้าทันทีด้วยใบหน้าที่มีความสุข ครั้งก่อนบ้านไร่ชิงหลินจัดกิจกรรมทั้ง ๆ ที่ยังไม่ทันได้เปิดบริการโครงการใหม่ก็ล่อคนมาเข้าได้ตั้ง 5,086 คนแล้วโดยไม่ได้โทรให้ทางอำเภอช่วย
แต่ตอนนี้เถ้าแก่ฉินโทรมาขอความช่วยเหลือจากทางอำเภอ ซึ่งหมายความว่ามีคนมากกว่าครั้งที่แล้ว และจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาในวันนี้อาจมากกว่า 6,000 คน
เหตุการณ์แบบนี้นี่แหล่ะความสุข
ลองคิดดูว่าวันละ 6,000 คน หากบ้านไร่งชิงหลินสามารถรักษาจำนวนนี้ไว้ได้ทุกวันแปลว่าในหนึ่งปีจะมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวถึง 2.2 ล้านคน
ทว่านายอำเภอซุนก็รู้อยู่ว่ามันเป็นไปไม่ได้ พวกเขาไม่อาจโลภมากและใช้งานบ้านไร่ชิงหลินไปในแนวทางนั้นได้ ขอแค่เฉลี่ยวันละ 3,000 คนก็เท่ากับปีละ 1.1 ล้านคนแล้ว แบบนี้ก็พอที่จะทำให้ทั้งอำเภอเพลิดเพลินได้
เมื่อเห็นนายอำเภอพยักหน้าเฉินหลี่จึงพูดกับฉินหลินทันทีว่า “เถ้าแก่ฉินไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวผมจะช่วยคุณจัดการให้ทันที แล้วผมจะจัดการปันกำไรสี่สิบเปอร์เซ็นต์จากสถานที่ท่องเที่ยวทั้งสองให้กับบ้านไร่ชิงหลินด้วย”
ฉินหลินพูดทันทีว่า “เอาสี่สิบเปอร์เซ็นต์นี่ไปบริการนักท่องเที่ยวดีกว่าครับ ถ้านักท่องเที่ยวซื้อตั๋วแหล่งท่องเที่ยวทั้งสองก็ให้ทั้งสองบริการรับส่งนักท่องเที่ยวให้ด้วย หรือไม่ก็แปลงเป็นพวกของขวัญอย่างผลิตภัณฑ์จากไม้ไผ่หรือไม่ก็ส้มสีทองอะไรแบบนั้น”
“โอเค เดี๋ยวจะทำตามที่เถ้าแก่ว่าให้ครับ” เฉินหลี่ไม่ปฏิเสธ
หลังจากวางสายนายอำเภอก็อดชื่นชมไม่ได้ “เถ้าแก่ฉินคนนี้ใจกว้างจริง ๆ รู้จักมองภาพรวมเป็นสำคัญอันเป็นสัญลักษณ์ของผู้ที่ยิ่งใหญ่ เมื่อจัดการเรื่องราวแล้วย่อมทำตามที่พูดและอาจหาญในการแจกของขวัญ ครั้งนี้ให้เน้นการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวทั้งสองมากกว่าการหาเงินนะ”
“ทราบแล้วครับ” เฉินหลี่พยักหน้าแล้วเดินออกนอกห้องประชุมเพื่อไปโทรหาใครบางคน
......................................................................................................
หลังจากฉินหลินโทรหาเฉินหลี่เสร็จแล้วเขาก็เข้าแอปชิงโชค หากจะให้มีคนถูกรางวัลขึ้นมา 2 คนล่ะก็ต้องมีการตั้งค่าแอปใหม่
ยิ่งไปกว่านั้นทุกคนกังวลว่านักท่องเที่ยวจะไม่ซื้อตั๋วเข้าชมของอีกสองแห่งดังนั้นเขาเลยต้องแอบกระตุ้นซักหน่อย
เขาเคยฟังบรรยายในมหาวิทยาลัยเรื่องจิตวิทยาในการโฆษณาชวนเชื่อซึ่งเป็นทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับที่เขากำลังแอบทำอยู่ตอนนี้
ประมาณว่าตราบใดที่นักท่องเที่ยวที่ซื้อตั๋วเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวทั้งสองแห่งได้เป็นคนแรกที่ถูกรางวัลได้รับแพ็คเกจสูงสุดระดับฮ่องเต้ล่ะก็ มันจะส่งผลกระทบต่อจิตใจของผู้อื่นคือจะเป็นการชักชวนให้ผู้อื่นคิดไปเองว่าถ้าซื้อตั๋วของทั้งสองแห่งนั้นแล้วโอกาสถูกรางวัลจะสูงขึ้นไปโดยปริยาย
ด้วยความคิดแบบนี้จะทำให้มีหลาย ๆ คนซื้อตามแน่นอน และเมื่อซื้อไปแล้วหากไม่ไปก็จะรู้สึกเสียดายเงิน แล้วคนเหล่านั้นก็จะถูกเบนออกจากบ้านไร่ให้ไปที่แหล่งท่องเที่ยวทั้งสองแห่งนั่นเอง
ในเวลานั้นคนเหล่านี้ที่ยังไม่ได้เที่ยวชมบ้านไร่ชิงหลินก็จะต้องพักในตัวอำเภออีกหนึ่งคืนเพื่องที่จะมาเที่ยวบ้านไร่ใหม่ในวันพรุ่งนี้ แปลว่าคืนนี้ทางอำเภอจะมีความสุขกับการรีดกระเป๋านักท่องเที่ยวมาก ๆ
การตั้งค่าแอปไม่ใช่เรื่องยาก แม้ราคาตั๋วเข้าชมอีก 2 แห่งจะไม่เท่ากันก็ตาม แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครจะเป็นผู้โชคดี
หลังจากที่ตั้งค่าแอปเสร็จแล้วฉินหลินจึงได้ถอนหายใจออกมา
ในสถานการณ์เช่นนี้เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสร้างทะเลดอกไม้รวมกับฟาร์มปศุสัตว์เสร็จสมบูรณ์เร็ว ๆ และหากมีอความเรี่ยมที่เคยคิดไว้เพิ่มไปด้วยแล้วล่ะก็จำนวนนักท่องเที่ยวในวันนี้เขาสามารถรองรับได้อย่างง่ายดาย
หลังจากนั้นไม่นาน
เฉินหลี่นำชายวัยกลางคน 2 คนมาที่ห้องสำนักงานของฉินหลิน และเมื่อเขาเห็นฉินหลินเขาก็แนะนำทั้งสองให้รู้จัก “เถ้าแก่ฉินสองคนนี้หลี่จงกับหวงจงเป็นผู้รับผิดชอบภูเขาจิ่วหยุนกับสวนวัฒนธรรมจูสื่อ ทั้งสองได้นำพนักงานมาเพื่อให้ร่วมมือกับคุณพร้อมนำตั๋วเข้าชมของทั้งสองแห่งมาขายด้วย”
เมื่อคนทั้งสองเห็นฉินหลินก็เข้ามาจับมือทักทายอย่างกระตือรือร้น
“ผมชื่นชมหลินจงมานานแล้วในที่สุดก็ได้พบตัวจริงซักที”
“ขอบคุณหลินจงมากจริง ๆ ที่ช่วยสนับสนุนเรา วันนี้ถ้าคุณมีอะไรจะสั่งล่ะก็เชิญสั่งมาได้เลยครับ”
ทัศนคติของทั้งสองดีมาก
ภูเขาจิ่วหยุนกับสวนวัฒนธรรมจูสื่อเป็นสัญญาแบบกึ่งทางการทำให้แรงกดดันในการทำงานสูงมาก นักท่องเที่ยวที่ไปก็ไม่ได้เยอะอะไรทำให้ไม่มีทางพัฒนาและเรียกความสนใจจากนักท่องเที่ยวหน้าใหม่ได้
เมื่อเห็นว่าหุบเขาต้าเซี่ยมีการประชาสัมพันธ์บนติ๊กต็อกแถมยังมีประสิทธิภาพทำให้มีผู้ติดตามถึงล้านกว่าคนทำให้พวกเขาอยากเรียนรู้เรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน แต่บนแพลตฟอร์มเดียวกันโอกาสที่จะไม่เป็นที่นิยมนั้นมีมากเกินไปอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้โชคดีแบบหุบเขาต้าเซี่ย จำนวนนักท่องเที่ยวแค่พอไปวัดไปวาไม่ได้เติบโตอะไรมาก
สิ่งที่พวกเขาทั้งสองไม่คาดคิดก็คือบ้านไร่ชิงหลินแห่งนี้จู่ ๆ ก็กำลังจะยัดข้าวเข้าปากพวกเขาอยู่ และนอกจากการคารวะฉินจงผู้เป็นเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งผู้นี้แล้วพวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรยังไงอีก
ฉินหลินยังกล่าวกับทั้งสองว่า “ตอนนี้ผมต้องขอความร่วมมือจากคุณทั้งสองจริง ๆ และหวังว่าคุณสองคนจะได้รับประสบการณ์ที่ดี ไม่ว่าจะเป็นบ้านไร่ชิงหลินของผม ทางอำเภอ หรือสถานที่ท่องเที่ยวของพวกคุณทั้งสองก็ไม่อาจทำเสียชื่อเสียงของตัวเองได้”
หลี่จงพูดทันที “ฉินจงไม่ต้องเป็นห่วง พวกเราไม่ใช่คนที่ไม่รู้เรื่องพวกนี้”
หวงจงเองก็พยักหน้าเห็นด้วย
เฉินหลี่มองดูด้วยความชื่นชม
เขาชื่นชมเถ้าแก่ฉินคนนี้จริง ๆ การมองภาพรวมของอีกฝ่ายทำให้หลี่จงกับหวงจงทำเหมือนเขาเป็นผู้นำไปแล้ว
ฉินหลินเรียกเกาเหยาเหยามาสั่งให้ออกไปร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ของสถานที่ท่องเที่ยวทั้งสองแห่ง
โถงขายตั๋วทะเลเฟื่องฟ้า
หวางหยางกับคู่นอนอาบน้ำเรียบร้อยแล้วและออกจากพื้นที่ล่องแก่ง เขาพาเธอไปที่ศูนย์การขายเพื่อซื้อน้ำผึ้งชงสมุนไพร 2 แก้ว สตรอเบอร์รี่เลเวล 2 อีก 200 หยวนซึ่งรวมแล้ว 600 หยวน ได้สิทธิ์จับสลากมา 6 สิทธิ์แต่ก็น่าเสียดายที่วืดหมด
หญิงสาวขมวดคิ้วถาม “พี่หยาง ตั๋วทะเลดอกเฟื่องฟ้าตอนเช้าขายหมดแล้วต่อไปเราจะทำไงต่ออะ?”
หวางหยางเองก็ทุกข์ใจเช่นกัน ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีเงิน แต่ตอนนี้เขามีเงินแต่ไม่มีที่จะใช้ ถึงจะไปซื้อของที่ศูนย์การขายก็เถอะ แต่พอดื่มน้ำผึ้งชงสมุนไพร 1 แก้วกับสตรอว์เบอร์รี่พวกนี้เข้าไปแล้วก็กินต่อไม่ไหวอีก
เขาไม่ใช่คนจน เมื่อก่อนเขาไปดูการแสดงกลางคืนบ่อย ๆ ต้องจ่ายอย่างน้อยก็ที่ละ 1,200 ถ้าเกิดเหงา ๆ ก็เปย์สาวมาแก้เหงาคืนละ 3,000 สบาย ๆ
แต่ที่บ้านไร่ชิงหลินนี่มันยังไง? อยากเปย์เงินจับสลากแทบตายแต่ได้แค่ 800
คนรอบข้างก็บ่นกันเยอะเหมือนกัน
ความจริงที่ว่าบ้านไร่ชิงหลินสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากได้แปลว่าสถานที่แห่งนี้เป็นที่นิยมมาก
แต่ทำไมเถ้าแก่บ้านไร่ไม่รู้จักพัฒนาโครงการเพิ่มเติม? ทำให้เขามีส่วนร่วมแค่อย่างสองอย่างเท่านั้นเอง แล้วแบบนี้จะมีโอกาสจากไหนได้กินข้าวหลวงเสียงสุ่ย?
..........................................................................................................................
ณ ขณะนี้
มีพนักงานขายคนหนึ่งเดินมาพร้อมกับลำโพงตัวเล็ก ๆ “ก่อนอื่นในนามของบ้านไร่ชิงหลินทางเราต้องขอโทษทุก ๆ คนด้วยนะคะ เพราะการทำงานที่ไม่สมบูรณ์ของบ้านไร่ทำให้ทุกคนไม่พอใจ และตอนนี้เราจะขายตั๋วเข้าชมภูเขาจิ่วหยุนและสวนวัฒนธรรมจูสื่อด้วยค่ะ”
“ทั้งสองแห่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของอำเภอโหยวเฉิงเรา มีทิวทัศน์ที่ไม่เหมือนใครอีกมากมายให้เพลิดเพลิน สวนวัฒนธรรมจูสื่อมีสถาบันหนานซีที่จู่สื่อเคยศึกษา มีบ่อน้ำสี่เหลี่ยมขนาดครึ่งหมู่ มองเห็นท้องฟ้าและก้อนเมฆที่เกาะเกี่ยวกัน บ่อน้ำใสมากเนื่องจากมี...”
เห็นได้ชัดว่าการแนะนำของพนักงานขายคนนี้เก่งมาก แต่ดูเหมือนจะว่ามีนักท่องเที่ยวไม่มากนักที่ซื้อ เพราะทุก ๆ คนต่างมาเที่ยวบ้านไร่ชิงหลินเพื่อจับรางวัล แล้วใครมันจะอยากไปที่ภูเขาจิ่วหยุนกับสวนวัฒนธรรมจูสื่อกันล่ะ?
หลังจากพนักงานขายแนะนำเสร็จเสร็จแล้วเธอก็พูดต่อว่า “และข่าวดีก็คือ การซื้อตั๋วของทั้งสองแห่งนี้ก็มีสิทธิ์ในการจับรางวัลเช่นเดียวกันค่า~”
คำนี้ทำให้ผู้คนต่างก็หูผึ่ง
“โคตรเลยเว้ย ซื้อตั๋วของสองแห่งนั้นก็ได้สิทธิ์จับรางวัลด้วย”
หวางหยางพึมพำและถามคู่นอนว่า “ในเมื่อซื้อตั๋วเข้าชมบ้านไร่ชิงหลินไม่ได้งั้นเราไปอีกสองที่นั่นดูปะ?”
“แล้วแต่พี่หยางเลยจ้า~” หญิงสาวพยักหน้า
มีบางคนที่คิดเหมือนหวางหยางและไปเข้าคิวซื้อตั๋ว
หวางหยางซื้อตั๋วเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวทั้งสองแห่ง ตั๋วเข้าชมแต่ละแห่งราคาแค่ 50 หยวน “ตั๋วสี่ใบก็สองร้อยหยวนกับสิทธิ์การจับสลากสองครั้ง”
พูดไปพลางกดจับสลากไปพลางและได้ขอบคุณที่เข้าร่วมทั้งสองครั้ง
“ไอ้...” หวางหยางหงุดหงิด
ไม่สามารถชนะหนึ่ง?
นักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ ที่ซื้อตั๋วเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวทั้งสองก็กดสุ่มรางวัลเหมือนกัน
หลังจากผ่านไปได้สองสามคนแล้วก็ถึงตาของชายคนหนึ่งที่พาเมียมาเที่ยวและคิดว่าการสุ่มรางวัลเป็นแค่ผลพลอยได้โดยไม่ได้สนใจมากนัก
“ขอแสดงความยินดี ได้รับแพ็คเกจสูงสุดระดับฮ่องเต้!”
“???” คือกับปล่อยมือถือแต่ก็รีบจับเอาไว้ได้ทันทั้ง ๆ ที่ยังรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
กูแค่กดเล่น ๆ เองนาเว่ยโอเค้?
“มีอะไรเหรอ” ฝ่ายภรรยาถามอย่างสงสัย
“ถะ... ถูก!” ชายคนนั้นพูดติดอ่าง
“จริงเหรอ... จริงเร้อ~~~~~~~~”
ฝ่ายภรรยาตกใจสุดขีดพร้อมมองหน้าจอมือถือของสามีเพื่อเช็คดูให้แน่ใจแล้วก็ยิ่งแหกปากดังลั่นยิ่งกว่าเดิม “ถูกจริง ๆ ด้วยคุณ สุดยอดไปเลยถูกรางวัลจริง ๆ ด้วย~~~~~~”
เสียงของเธอทำให้ผู้คนรอบข้างต่างหันไปมอง
หวางหยางเองก็มองด้วยความอิจฉา ‘เชี่ยนิทีเดียวได้เลยเหรอวะ! แม่งไร้เหตุผลชิบหาย!’
เกิดความโกลาหลไปทั่ว
“โหโคตรโชคดีอะ”
“เรากดรอบละเป็นสิบสิทธิ์แต่หมอนั่นแค่ซื้อตั๋วไปที่อื่นก็ได้แล้ว?”
“หรือว่าเพราะมีคนใช้เงินในบ้านไร่ชิงหลินเยอะเกินไปเลยทำให้อัตราถูกรางวัลต่ำลงไปด้วย แต่อีกสองแห่งยังไม่มีคนซื้อเลยมีอัตราถูกรางวัลสูงกว่า”
“เป็นไปได้ เพราะพึ่งจะเอาตั๋วของสองที่นั่นมาขายเลยทำให้ระบบคำนวณเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมา เพราะงั้นคนที่ซื้อตั๋วของสองที่นั่นเลยถูกรางวัลแทน”
“...”
เป็นไปตามที่คาดไว้เลยคือมีหลายคนเริ่มวิเคราะห์แล้วหาเหตุผลเชื่อมโยงแปลก ๆ ขึ้นมา
ดังนั้นจึงมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากแห่กันไปซื้อตั๋วเข้าชมภูเขาจิ่วหยุนและสวนวัฒนธรรมจูสื่อ
ห้องสำนักงานของฉินหลิน
หลี่จง หวงจง และเฉินหลี่ต่างกำลังอึ้งกับจำนวนยอดขายที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้นจากข้อมูลหลังบ้าน เห็นได้ชัดเลยว่าไอเดียของฉินหลินประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่
หลี่จงกับหวงจงฉีกยิ้มจนแทบจะถึงหู จากนี้ไปพวกเขาได้ตัดสินใจแล้วว่าจะสานสัมพันธ์อันดีกับเถ้าแก่ฉิน และถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกซักสองสามครั้งล่ะก็คงจะดีไม่น้อย
ข้างนอก
คู่รักที่ถูกรางวันได้มีผู้คนจับตามองมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะนี่คือคู่แรกที่ถูกรางวัล
พนักงานเสิร์ฟรีบเข้าไปพูดกับคนทั้งคู่ “ยินดีกับทั้งสองท่านด้วยที่ถูกรางวัลค่ะ ตอนนี้คุณสามารถลงทะเบียนข้อมูลไอดีกับฉันได้เลย แล้วเราจะแจ้งให้ทราบถึงขั้นตอนการรับรางวัล”
ทั้งคู่ยังสับสนกันอยู่เล็กน้อยดังนั้นจึงได้แต่พยักหน้าและเดินตามเธอไป
แล้วจู่ ๆ ก็มีเสียงตะโกนดังขึ้น “รอสักครู่ครับ!”
ชายหนุ่มในชุดสูทวิ่งเข้ามาถามทั้งคู่ “คุณทั้งสองต้องการขายรางวัลนี้หรือไม่ครับ ประธานของเราต้องการซื้อในราคาหกหมื่นหนึ่งพันหยวนพร้อมโอนเดี๋ยวนี้เลย”
เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มรีบมาก ประธานไม่มีเวลามาเองเลยต้องส่งเขามา และเขาก็มารอตั้งแต่เช้าแล้วโดยกำชับเขาว่าต้องซื้อมาให้ได้อย่างน้อยซักสองชุด
วินาทีต่อมาได้มีหญิงสาวอีกคนที่แต่งตัวชุดสูทเหมือนเป็นเลขาประธานบริษัทวิ่งเข้ามา “คุณสองคนช่วยพิจารณาข้อเสนอของประธานของฉันด้วยค่ะ ท่านยินดีจ่ายหกหมื่นสองพันหยวนซื้อรางวัลของคุณ”
เอาจริงดิ!
คนรอบข้างทนไม่ไหวต้องอุทานเสียงดังออกมา
“เชี่ย! มีคนมาซื้อต่อจริง ๆ ด้วยเว่ยเฮ่ย!!”
“แถมราคาเพิ่มเป็นหกหมื่นสองด้วย”
“ทำไมไม่เป็นกูว้า~ กูอะอยู่หน้าไอ้หมอนั่นแท้ ๆ รู้งี้กูจะให้มันแซงคิวไปเลย”
“...”
ความหงุดหงิน ความอิจฉา และเสียงอุทานเข้าผสมปนเปกัน
ข่าวเรื่องที่มีคนถูกรางวัลและมีคนมาซื้อต่อจริง ๆ นั้นได้แพร่กระจายไปทั่วบ้านไร่ในช่วงเวลาสั้น ๆ ทำให้มีนักท่องเที่ยวที่รู้เรื่องนี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
ทำให้บ้านไร่ชิงหลินตกอยู่ในบรรยากาศครึกครื้นไม่สงบไปครู่ใหญ่