ตอนที่ 84: ห้องสมุด
ตอนที่ 84: ห้องสมุด
เย่จิ่งชานยืนอยู่บนเวทีด้วยชุดเครื่องแบบของจัสทิสเต็มยศพร้อมใบหน้าเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง จากนั้นเขาก็ได้กระแอมออกมา 2-3 ครั้งแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูสง่างามว่า
“ขอยินดีต้อนรับทุกคนเข้าสู่ค่ายฝึกจัสทิสลีกเขตภูมิภาคดาวเอ็นดาโร่ ฉันชื่อว่าเย่จิ่งชานเป็นผู้บังคับบัญชาการของที่นี่”
“ปีนี้มีนักเรียนลงทะเบียนเข้ามาในค่ายฝึกทั้งสิ้น 13,174 คนซึ่งเป็นจำนวนมากที่สุดในประวัติการ แต่ผมต้องขอเตือนทุกคนเอาไว้ก่อนว่าผู้ที่สามารถสำเร็จการศึกษาภายใน 5 ปีมีอัตราส่วนแค่ 1 ต่อ 200 คนเท่านั้น!”
คำพูดที่เย็นชาของเย่จิ่งชานก็ไม่ต่างไปจากการตบหน้าแล้วราดน้ำเย็น ๆ ใส่นักเรียนใหม่ที่กำลังมีความหวัง
“ที่ค่ายแห่งนี้มีกฎสำคัญที่สุดข้อหนึ่งที่ทุกคนจะต้องจำใส่ใจและห้ามฝ่าฝืนอย่างเด็ดขาด นั่นก็คือห้ามใช้อาวุธร้อนทุกชนิด!! ใครก็ตามที่กล้าละเมิดกฎข้อนี้จะถูกไล่ออกจากค่ายฝึกทันที”
“สมาพันธ์จัสทิสคือหนึ่งในสมาพันธ์นักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในพันธมิตรมนุษย์ นักสู้ที่แท้จริงจะต้องพึ่งพาความแข็งแกร่งทางร่างกายของตัวเองเท่านั้น! ไม่จำเป็นที่จะต้องขอความช่วยเหลือจากสิ่งอำนวยความสะดวกภายนอก!!” เย่จิ่งชานกล่าวด้วยน้ำเสียงอันตื่นเต้นขณะที่ชูกำปั้นขึ้นไปบนท้องฟ้า
“ฉันเชื่อว่าทุกคนคงเคยได้ยินเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของอารยธรรมโบราณมาบ้าง ว่าทำไมอารยธรรมโบราณที่เคยรุ่งเรืองจึงได้หายไปภายในชั่วข้ามคืน นั่นก็เป็นเพราะมนุษย์ในเวลานั้นประเมินศักยภาพของตัวเองต่ำเกินไปจนพึ่งพาพวกเครื่องจักรและระบบอัจฉริยะมากเกินไป พวกเราจะไม่มีวันเผชิญหน้ากับโศกนาฏกรรมแบบเดิมอย่างเด็ดขาด”
“จำเอาไว้ว่าถ้ามนุษย์ต้องการยึดครองจักรวาลที่กว้างใหญ่และอันตรายนี้ พวกเราต้องพึ่งพาความแข็งแกร่งของตัวเองเท่านั้น!”
“ฉันยอมรับว่าอาวุธร้อนเป็นอาวุธที่ทรงพลังและอันตรายมาก ยิ่งไปกว่านั้นมันยังช่วยยกระดับการต่อสู้ของพวกเราได้เป็นอย่างดี แต่ถึงกระนั้นมันก็ได้มีการพิสูจน์ออกมาแล้วว่าเมื่อเหล่านักสู้สามารถพัฒนาตัวเองขึ้นมายืนในจุดสูงสุด พวกเขาก็จะสามารถชนะศัตรูได้อย่างสมบูรณ์แม้ว่าคนเหล่านั้นจะมีอาวุธเหล่านี้คอยสนับสนุนก็ตาม”
“หากพวกคุณต้องการเป็นเพียงแค่นักสู้ธรรมดา ๆ ที่นี่ก็ไม่เหมาะสำหรับพวกคุณ”
“แต่ถ้าหากว่าเป้าหมายของพวกคุณไม่ใช่เพียงแค่การเป็นนักสู้เท่านั้น แต่ต้องการเป็นนักสู้ชั้นยอดที่แท้จริง! ผมก็ขอยินดีต้อนรับพวกคุณเข้าสู่ค่ายฝึกสุดโหดของพวกเรา!!”
“จงทรมานร่างกาย! ทรมานจิตวิญญาณให้ถึงที่สุด! หลังจากนั้นคุณก็จะกลายเป็นนักสู้ที่แท้จริง เป็นนักสู้ที่สามารถจัดการศัตรูได้ด้วยสองมือของตัวเองโดยไม่ต้องการความช่วยเหลือจากอุปกรณ์ภายนอก”
เมื่อเหล่านักเรียนทั่วทั้งหอประชุมได้ยินคำปราศรัยจากเย่จิ่งชาน พวกเขาก็รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากและในตอนนี้เลือดนักสู้ภายในกายของพวกเขาก็ได้สูบฉีดอย่างบ้าคลั่งจนทำให้ใบหน้าของพวกเขาแดงก่ำและหน้าอกก็กระเพื่อมขึ้นลงอย่างรวดเร็ว
เมื่อพูดถึงระดับของเทคโนโลยีแล้วในปัจจุบันมันยังคงล้าหลังกว่าอารยธรรมโบราณอยู่อีกไกล แต่อารยธรรมโบราณเหล่านั้นก็ถูกสังหารโดยหุ่นยนต์ที่พวกเขาสร้างขึ้นมาเอง ด้วยเหตุนี้มันจึงสามารถกล่าวได้ว่าเทคโนโลยีชั้นสูงถือได้ว่าเป็นความเจ็บปวดที่ฝังใจมนุษย์มาอย่างยาวนาน
ถึงแม้ว่ามนุษย์ในยุคปัจจุบันจะเติบโตขึ้นมาจากซากปรักหักพังที่ถูกทิ้งไว้โดยหุ่นยนต์ แต่ในส่วนของประวัติศาสตร์แล้วพวกเขาก็มีความทรงจำที่ยากจะลืมเลือนเช่นเดียวกับปลาที่สามารถว่ายน้ำได้ตั้งแต่เกิด เพราะการเคลื่อนไหวเหล่านั้นถือได้ว่าเป็นสัญชาตญาณที่ถูกฝังลึกไว้ในไขกระดูกและไม่สามารถลบล้างมันออกไปได้
แต่ยิ่งเทคโนโลยีของมนุษย์ในปัจจุบันได้พัฒนาเข้าใกล้จุดสูงสุดของอารยธรรมโบราณมากเท่าไหร่ พวกเขาก็รับรู้ได้ถึงแผลเป็นที่ยังคงเจ็บปวดอยู่ภายในใจมากขึ้นเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้มันจึงมีความเชื่อว่านักรบที่ต่อสู้โดยใช้อาวุธร้อนจะเป็นได้เพียงแค่นักรบธรรมดาและไม่มีทางที่จะพัฒนากลายเป็นนักรบชั้นยอดได้เลยตลอดชีวิต
สิ่งที่ผู้คนให้ความเคารพคือนักสู้ชั้นยอดที่ต่อสู้ได้ด้วยศักยภาพของตนเองโดยใช้อาวุธเย็นที่เรียบง่ายเหมือนดั่งที่บรรพบุรุษของพวกเขาใช้
หลังจากพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ผ่านการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง พวกเขาก็ได้พิสูจน์แล้วว่านักรบชั้นยอดสามารถทำลายดวงดาวได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธร้อนเหล่านั้น
หากใครได้มีโอกาสได้ไปเยี่ยมชมสำนักงานใหญ่ของพันธมิตรมนุษย์ คน ๆ นั้นก็จะได้พบเจอคติพจน์ที่มีชื่อเสียงที่สุดที่กล่าวเอาไว้ว่า
‘พวกเรามีเทคโนโลยีและใช้เทคโนโลยี แต่พวกเราจะไม่ยอมเป็นทาสของมัน!’
เซี่ยเฟยเคยได้ยินเรื่องราวเหล่านี้มาจากอันธบ้างและเขายังได้ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับอารยธรรมโบราณมาแล้วบ้างเช่นกัน
เทคโนโลยีก็เปรียบเสมือนกับดาบสองคม มนุษย์ในสมัยก่อนคิดเพียงว่าพวกเขาจะได้รับความสะดวกสบายจากเทคโนโลยีที่ทันสมัย แต่มันกลับกลายเป็นความเสี่ยงที่มีมากขึ้นเรื่อย ๆ
ดังนั้นเมื่อเกิดวิกฤติสังคมมนุษย์ที่ไม่ได้เตรียมตัวจึงพังทลายลงในทันที แม้ว่าการสร้างอารยธรรมโบราณจะใช้เวลามานานหลายหมื่นปีแต่การทำลายล้างใช้เวลาเพียงแค่คืนเดียวเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้สมาพันธ์จัสทิสและสมาพันธ์เฮอร์มิท ซึ่งเป็นสมาพันธ์นักสู้ที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติจึงได้บ่มเพาะนักสู้ชั้นยอดที่ทรงพลังเพื่อที่จะสามารถปกป้องอารยธรรมของมนุษย์ได้ด้วยมือของพวกเขาเอง
มันจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมค่ายฝึกจัสทิสลีกจึงมีกฎบังคับที่เด็ดขาดสำหรับการใช้อาวุธร้อน
เย่จิ่งชานรู้สึกพอใจกับจิตวิญญาณนักสู้ของเหล่านักเรียนใหม่ เขาจึงยื่นมือออกมาเพื่อส่งสัญญาณให้ผู้ติดตามทั้งสี่เดินมาหาเขา
“ตามธรรมเนียมปฏิบัติแล้วเพื่อสนับสนุนการทำงานของค่ายฝึก ทางสมาพันธ์จัสทิสจะจัดส่งกลุ่มนักสู้ชั้นยอดมาที่นี่ในทุก ๆ ปีเพื่อให้คำแนะนำและถ่ายทอดประสบการณ์จริงให้กับเหล่าจัสทิสฝึกหัด”
“ผมเชื่อว่าทุกคนจะต้องเคยได้ยินชื่อทีม 13 ของแผนกบริหารมาบ้างใช่ไหม?” เย่จิ่งชานถาม
“ทีม 13 ที่โด่งดังนั่นน่ะหรอ!?”
“ทีม 13 ที่มีอัตราความสำเร็จ 99% อ่ะนะ!!”
“ฉันรู้จัก! พวกเขาโคตรสุดยอดเลย!!”
เหล่านักเรียนใหม่กระซิบกระซาบกันและนักเรียนส่วนใหญ่ก็รู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่เมื่อได้ยินชื่อทีม 13
“ใช่แล้ว! ในปีนี้ทางสมาพันธ์จัสทิสได้ส่งทีม 13 เป็นตัวแทนของกลุ่มนักสู้ชั้นยอดเพื่อมาให้คำแนะนำจัสทิสฝึกหัด พวกเขาจะทำงานภายในค่ายเป็นเวลา 4 เดือน ผมหวังว่าทุกคนจะคว้าโอกาสนี้และขอคำแนะนำจากพวกเขาให้ได้มากที่สุด”
—
ในช่วงหลังของพิธีเปิดเซี่ยเฟยไม่ได้ตั้งใจฟังมากนักเนื่องจากเขารู้สึกได้ถึงความกังวลภายในใจที่ไม่สามารถอธิบายได้
ไม่ว่าจะเป็นการหายตัวไปของเซียวรั่วหยู, การถูกซุ่มโจมตีจากเซียวหยงและคนวงในลึกลับที่บอกตำแหน่งของพวกเขา
ถึงแม้ว่าเงื่อนงำทั้งหมดเหล่านี้จะไม่ได้ชี้โดยตรงไปที่เซียวไห่ลี่ แต่เซี่ยเฟยก็มักที่จะรู้สึกไม่สบายใจกับชายคนนี้ด้วยเหตุผลบางอย่าง ยิ่งเขาพยายามคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเท่าไหร่เขาก็จะยิ่งรู้สึกสับสนมากขึ้นเท่านั้นจนทำให้เขากลายเป็นคนใจร้อนมากขึ้นกว่าเดิม
จากการรวบรวมข้อมูลของสตาร์เน็ตเวิร์กเซี่ยเฟยก็ได้รู้ว่าเซียวไห่ลี่และเซียวหยงเป็นเพียงแค่ญาติห่าง ๆ กันเท่านั้น นอกจากนี้ถ้ามองแบบผิวเผินเซียวไห่ลี่ก็ถือได้ว่าเป็นจัสทิสที่ใจดีและมีชื่อเสียงที่โด่งดัง
แต่เซี่ยเฟยรู้สึกเสมอว่าสิ่งที่คนคนนี้ทำนั้นดีเกินไป หากเทียบความดีเป็นความสมบูรณ์แบบแล้ว ในโลกนี้มันก็ไม่มีสิ่งของหรือบุคคลใดที่จะสมบูรณ์แบบจนไม่มีข้อบกพร่อง
ยิ่งเซียวไห่ลี่มีพฤติกรรมที่สมบูรณ์แบบมากเท่าไหร่ชายหนุ่มก็ยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับบุคคลนี้มากขึ้นเท่านั้น
เมื่อออกมาจากหอประชุมเซี่ยเฟยก็ไม่ได้กลับไปที่หอพักพร้อมกับเฉินตงและคนอื่น ๆ แต่เขาเลือกที่จะเดินหลีกเลี่ยงฝูงชนที่แออัดแล้วเดินไปเรื่อย ๆ ตามถนนที่เงียบสงบและไม่คุ้นเคย
สองข้างทางของถนนเส้นนี้เต็มไปด้วยต้นมะเดื่อจำนวนมากและในตอนนี้มันก็เป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วง มันจึงมีเศษใบไม้ที่เหี่ยวเฉาร่วงหล่นลงมาอยู่เต็มไปหมด
ถนนที่ถูกปกคลุมไปด้วยใบไม้เหี่ยว ๆ สีเหลืองเหล่านี้ไม่ได้รับการดูแลจากใครเลย มันจึงให้ความรู้สึกที่ดูเงียบเหงาและน่ากลัว
โดยไม่รู้ตัวชายหนุ่มก็ได้เดินมาถึงสุดถนนและข้างหน้าเขาก็ได้ปรากฎเป็นอาคารสีขาวทรงหกเหลี่ยมที่สูงประมาณ 3 ชั้น
“ห้องสมุด?” เซี่ยเฟยอ่านข้อความบนอาคาร
ห้องสมุดขนาดใหญ่นี้ไม่มีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตใด ๆ เลย ส่วนบันไดก็เต็มไปด้วยใบไม้ที่แห้งกรอบและขยะจำนวนมากซึ่งแสดงให้เห็นถึงการไม่ได้รับการดูแลมาเป็นเวลานาน ในขณะที่ผนังสีขาวก็มีรอยด่างที่ฝังลึกมานานเผยให้เห็นความอ้างว้างและความเปล่าเปลี่ยว
ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารสามารถค้นหาได้ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ห้องสมุดแบบเก่าประเภทนี้จึงได้รับความสนใจน้อยลงเรื่อย ๆ จนแทบที่จะถูกละทิ้ง
เซี่ยเฟยตัดสินใจเดินขึ้นบันได 12 ขั้นเพื่อมุ่งหน้าไปยังทางเข้าหลักของห้องสมุด
เมื่อมาถึงทางเข้าตรงประตูก็ได้มีป้ายประกาศรับสมัครบรรณารักษ์ติดอยู่
มันไม่มีใครรู้ว่าป้ายนี้ถูกแขวนมานานแค่ไหนแล้ว เพราะแม้แต่เขาเองก็ต้องจ้องมองอย่างพินิจพิจารณาเป็นเวลานานกว่าที่จะสามารถมองเห็นข้อความบนป้ายได้อย่างชัดเจน
ชายหนุ่มเลือกที่จะผลักประตูและเดินเข้าไปในห้องสมุด ซึ่งเขาก็ได้กลิ่นกระดาษและกลิ่นหมึกของเหล่าหนังสือโชยเข้ามาภายในจมูก
ภายในอาคารนี้ได้เต็มไปด้วยตู้หนังสือขนาดใหญ่เรียงกันเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบและมีหนังสือเก่า ๆ วางอยู่ข้างในเป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้บริเวณเคาน์เตอร์ของผู้ดูแลก็ไม่มีใครอยู่เลยยกเว้นเพียงแต่แมวดำตัวหนึ่งที่กำลังนอนอยู่บนโต๊ะอย่างเกียจคร้าน ซึ่งรูปร่างของมันก็เกินกว่าคำว่าแมวไปไกลเพราะมันก็มีลักษณะที่เหมือนกับลูกบอลที่ถูกสูบลมจนกลม
แมวดำตัวนี้กำลังงีบหลับอยู่บนโต๊ะและเมื่อมันได้ยินการมาถึงของเซี่ยเฟย มันก็หรี่ตาขึ้นมาเล็กน้อยแล้วใช้ดวงตาสีทองของมันเหลือบมองไปยังชายหนุ่มด้วยความงัวเงีย จากนั้นมันก็ล้มตัวลงนอนฝันหวานอีกครั้งหนึ่ง
ตอนนี้เซี่ยเฟยรู้สึกอยากรู้มากว่าค่ายฝึกจัสทิสลีกที่ถือว่ามีแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในจักรวาลจะมีหนังสือเกี่ยวกับอะไรอยู่ภายในห้องสมุดบ้าง
ชายหนุ่มตัดสินใจสุ่มหยิบหนังสือโบราณที่มีขนาดหนากว่าพจนานุกรมออกมาจากชั้นหนังสือแล้วพลิกดู 2-3 หน้า ซึ่งมันก็เป็นเนื้อหาที่ให้คำแนะนำเกี่ยวกับแร่ต่าง ๆ ตั้งแต่ระดับต่ำสุดไปจนถึงระดับสูงสุด นอกจากนี้มันยังมีคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการขุดและหลอมพวกมันด้วย
ทันใดนั้นมันก็ได้ปรากฏชายชราที่มีรูปร่างอ้วนกลมพอ ๆ กับแมวดำขึ้นมาภายในห้องสมุด จากนั้นเขาก็เดินไปที่โต๊ะทำงานอย่างช้า ๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมากล่าวกับเซี่ยเฟยว่า
“ไอ้หนุ่มมานี่” ชายชรากล่าวอย่างเหนื่อยหอบ
“สวัสดีครับคุณตา คุณเรียกผมหรอครับ?” เซี่ยเฟยตอบขณะที่วางหนังสือในมือแล้วเดินเข้าไปหาชายชรา
ชายชราพยักหน้าแล้วชี้ไปที่ป้ายบนโต๊ะด้วยนิ้วแข็ง ๆ และกล่าวออกมาว่า
“10 แต้มต่อชั่วโมง ถ้าอ่านมากกว่า 6 ชั่วโมงได้ส่วนลด 20%”
เซี่ยเฟยถึงกับผงะไปครู่นึงเพราะเขาไม่เคยคิดเลยว่าการอ่านหนังสือในห้องสมุดแห่งนี้จะต้องใช้คะแนนที่สูงถึง 10 แต้ม เพราะด้วยคะแนนจำนวนนี้เขาสามารถใช้เช่าห้องฝึกอบรมขนาดใหญ่ในค่ายฝึกอบรมได้เลยทีเดียว
“ผมขอโทษด้วยครับ แต่ผมพึ่งมาถึงค่ายฝึกแล้วยังไม่มีคะแนนเลย” เซี่ยเฟยกล่าวอธิบายขณะที่กางแขนออกอย่างช่วยไม่ได้
“เฮ้อ! นาน ๆ ทีฉันจะเจอคนที่หลงมาอ่านหนังสือแต่นายก็กลายเป็นคนจนไปซะได้” ชายชราอ้วนถอนหายใจและลูบแมวสีดำที่อยู่ตรงหน้า
“การที่มีคนมาอ่านหนังสือน้อยอาจจะเป็นเพราะค่าธรรมเนียมที่สูงไปก็ได้นะครับ ถ้าคุณตาลดราคาลงอีกหน่อยน่าจะมีคนมาเยี่ยมห้องสมุดมากขึ้น” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับหัวเราะแห้ง ๆ
“นี่นายคิดว่าที่นี่เป็นตลาดรึไงไอ้หนุ่ม ถ้านายบอกว่ามันแพงฉันก็ต้องลดราคาให้งั้นหรอ? หนังสือทั้งหมดที่อยู่ที่นี่มีคุณค่าในตัวของมันเอง ถ้าพวกนายไม่ยินดีที่จะจ่าย 10 แต้มให้ฉัน การเก็บมันไว้สวย ๆ บนชั้นก็ถือได้ว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด” ชายชราอ้วนอธิบายด้วยความฉุนเฉียว
เซี่ยเฟยถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะเขาจึงเลือกที่จะหยิบบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าและจุดมันโดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
“คนหนุ่มสาวสมัยนี้ไม่ไหวเลยจริง ๆ พวกเขาไม่เข้าใจทรัพยากรที่มีค่าพวกนี้เลย” ชายชราอ้วนพึมพำกับตัวเอง
“แล้วทำไมคุณตาถึงไม่เผยแพร่หนังสือเหล่านี้ผ่านทางอินเตอร์เน็ตหรอครับ ถ้าทำแบบนั้นมันจะทำให้ใครก็ตามสามารถหยิบมันมาอ่านได้ทุกเมื่อ” เซี่ยเฟยถามหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ไอ้หนุ่มเอ้ยไอ้หนุ่ม! ถ้าสมมติว่านายมีสมบัติอยู่เต็มบ้านแล้วนายจะเอาสมบัติพวกนั้นไปตั้งโชว์ให้คนอื่นดูทางอินเตอร์เน็ตหรือเปล่าล่ะ?” ชายชราอ้วนกล่าวขณะกรอกตาใส่เซี่ยเฟย
“ไม่ครับ สมบัติของผมก็ต้องถูกซ่อนไว้ที่บ้านของผม แต่จากที่ผมสำรวจดูแม้ว่าหนังสือเหล่านี้จะมีค่ามากแต่มันก็ไม่ได้เกินจริงอย่างที่คุณตาพูดเอาไว้” เซี่ยเฟยกล่าวขณะขมวดคิ้ว
เมื่อได้ยินคำตอบของชายหนุ่มแล้วชายชราอ้วนก็รู้สึกโกรธมาก เขาจึงกระดิกนิ้วแล้วส่งสัญญาณให้เซี่ยเฟยเดินตามเขามา
ห้องสมุดแบ่งออกเป็นชั้นบนและชั้นล่างซึ่งในตอนนี้ชายชรากำลังพาเซี่ยเฟยเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นที่ 2 ด้วยความยากลำบาก
ในชั้นที่ 2 มีตู้หนังสือเพียงแค่ 12 ตู้เท่านั้นและแต่ละตู้ก็มีขนาดค่อนข้างใหญ่ ซึ่งตู้หนังสือ 12 ตู้นี้ก็ได้กินพื้นที่ของชั้นบนไปจนหมดแล้ว
ตู้หนังสือทั้งหมดถูกสร้างขึ้นมาจากโลหะสีแดงเข้มและหนังสือแต่ละเล่มก็ถูกวางไว้อย่างเรียบร้อยในฝาครอบกระจกใส
นอกจากนี้ระบบระบายอากาศยังช่วยให้ตู้หนังสือมีอากาศถ่ายเทตลอดเวลา ซึ่งแม้แต่อุณหภูมิก็ได้รับการปรับให้เหมาะสมอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นในตู้หนังสือแต่ละตู้ยังมีรหัสล็อกเพื่อป้องกันไม่ให้ใครมาเปิดได้ตามต้องการ
เซี่ยเฟยรู้สึกสงสัยมากว่าทำไมแค่เพียงการเก็บหนังสือถึงต้องมีระบบการบำรุงรักษาและความปลอดภัยที่ซับซ้อนมากมายขนาดนี้
จากนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะเดินไปสำรวจหนังสือแต่ละเล่มในตู้อย่างละเอียด ซึ่งมันก็ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ
หนังสือที่อยู่ตรงหน้าของชายหนุ่มมันเป็นบันทึกเกี่ยวกับอารยธรรมโบราณ ซึ่งบางเล่มมีข้อมูลเกี่ยวกับยานรบ, บางเล่มมีข้อมูลเกี่ยวกับหุ่นยนต์หรืออาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าหนังสือเหล่านี้เป็นหนังสือที่มีข้อมูลของอารยธรรมโบราณทุกประเภท!!
ในขณะเดียวกันชายชราอ้วนก็กำลังจับบันไดด้วยมือข้างเดียวและยืนพักหลังจากหอบอย่างหนัก ซึ่งมันเห็นได้ชัดว่าเขาเหนื่อยมากจากการเดินขึ้นบันไดเพียงไม่กี่สิบขั้น
“ใช่แล้วทั้งหมดนี้เป็นหนังสือเกี่ยวกับอารยธรรมโบราณ เนื่องจากพันธมิตรมนุษย์มีกฎว่าข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีหุ่นยนต์ของอารยธรรมโบราณ หรือหนังสือที่เกี่ยวข้องกับหุ่นยนต์จะไม่สามารถเผยแพร่ในสตาร์เน็ตเวิร์กได้ แต่นายจะสามารถหาข้อมูลพวกนั้นได้ที่ห้องสมุดแห่งนี้” ชายชราอ้วนกล่าวอธิบายอย่างภาคภูมิใจ
“เขาพูดถูกแล้ว อารยธรรมโบราณถูกทำลายโดยหุ่นยนต์ ดังนั้นพันธมิตรมนุษย์จึงรังเกียจหุ่นยนต์มาก ด้วยเหตุนี้ข้อมูลของพวกมันจึงถือได้ว่าเป็นข้อห้ามภายในพันธมิตร” อันธกล่าวเมื่อโผล่ตัวออกมาจากหินมัวร์แล้วมองดูตู้หนังสือเหล่านี้เป็นเวลานาน
“นานมาแล้วมันได้มีกลุ่มคนต้องการฟื้นฟูความรุ่งเรืองของเทคโนโลยีในสมัยโบราณ แต่เนื่องจากข้อมูลเหล่านี้ไม่สามารถเผยแพร่ในระบบอินเตอร์เน็ตได้ พวกเขาจึงจัดทำข้อมูลออกมาเป็นหนังสือและเผยแพร่มันออกมาเป็นวงกว้าง”
“ต่อมาหลังจากที่พันธมิตรมนุษย์ได้รู้เรื่อง พวกเขาก็ทำการกวาดล้างและทำลายหนังสือพวกนี้ไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งหนังสือที่อยู่ในตู้ก็คงจะเป็นหนึ่งในหนังสือสมัยนั้นที่ถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี” อันธอธิบาย
เมื่อชายชราอ้วนได้อวดสมบัติเหล่านี้ให้เซี่ยเฟยได้เห็นแล้ว เขาก็ไล่ชายหนุ่มออกจากห้องสมุดไปอย่างรวดเร็วโดยอ้างว่าชายหนุ่มไม่มีคะแนนเขาจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะอยู่ที่นี่
แต่เมื่อเซี่ยเฟยได้มองเห็นป้ายรับสมัครบรรณารักษ์ เขาจึงหันหลังแล้วกลับไปยังห้องสมุดอีกครั้ง
“อันธนายคิดยังไงกับห้องสมุดนี่” เซี่ยเฟยถาม
“ยิ่งมันมีข้อห้ามมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งมีค่ามากเท่านั้น!” อันธตอบ
***************
บรรณารักษ์เซี่ยเฟย!?
เข้าค่ายฝึกมาเพื่อสมัครเป็นบรรณารักษ์!?