ตอนที่ 83: พิธีเปิด
ตอนที่ 83: พิธีเปิด
ห้องฝึกอบรมของค่ายประกอบด้วยชั้นโลหะหนาและพื้นผิวของผนังยังติดตั้งแผ่นฉนวนกันเสียงเอาไว้อีกด้วย โดยสิ่งเหล่านี้มีวัตถุประสงค์เพื่อไม่ให้เหล่านักเรียนถูกรบกวนจากสภาพแวดล้อมภายนอกและสามารถทุ่มเทความสนใจไปกับการฝึกฝนได้อย่างเต็มที่
ปัจจุบันเซี่ยเฟยกำลังฝึกฝนวิชามนตราอสูรอย่างเคร่งครัด
วิชามนตราอสูรประกอบไปด้วยเนตรมนตราและการพินิจใจ ซึ่งการเรียนเนตรมนตราก็คือการจัดระเบียบยีนของผู้ฝึกเพื่อพัฒนาความสามารถในการมองเห็น
ทันใดนั้นเซี่ยเฟยก็สูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ พร้อมกับลืมตาขึ้นมาช้า ๆ ถ้าดูจากภายนอกดวงตาของเขาก็ไม่ได้ต่างไปจากปกติมากนักแต่ภาพที่เขาได้รับกลับคมชัดมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ตอนนี้สายตาของเขาแตกต่างจากปกติอย่างสิ้นเชิง เพราะมันเหมือนกับมีออร่าบางอย่างที่ทำให้ผู้ที่ถูกเขาจ้องรู้สึกหวาดกลัวคล้ายกับทะเลลึกที่พร้อมจะกลืนกินทุกสิ่งเข้าไปอย่างไม่รู้จบ
จากนั้นเขาก็ใช้ดวงตานี้เพื่อสำรวจบริเวณรอบ ๆ แต่หลังจากที่เขาหลับตาแล้วลืมตาขึ้นมาอีกครั้งทุกอย่างก็เข้าสู่สถานการณ์ปกติดังเดิม
“เป็นยังไงบ้าง?” อันธที่นอนตะแคงอยู่ข้าง ๆ บิดขี้เกียจขณะถามออกมา
“ตอนนี้ฉันฝึกฝนจนผ่านขั้นที่ 2 แล้ว อีกสักพักฉันจะเริ่มฝึกฝนขั้นที่ 3 และเรียนรู้การส่งพลังผ่านกระแสจิตได้” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
ในสองขั้นแรกของวิชามนตราอสูรจะทำให้ผู้ที่เรียนรู้สามารถส่งพลังผ่านทางสายตาได้ แต่หากใครต้องการส่งพลังผ่านกระแสจิตพวกเขาก็จำเป็นจะต้องเรียนรู้ให้ผ่านวิชาในขั้นที่ 3 ไปเสียก่อน
ปัจจุบันเซี่ยเฟยได้ฝึกฝนจนผ่านขั้นที่ 2 แล้วและถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่สามารถสื่อสารกับเหล่าสัตว์อสูรได้ แต่เขาก็สามารถใช้เนตรมนตราในการสังเกตดวงไฟวิญญาณในร่างของพวกมันได้แล้ว
การเห็นดวงไฟวิญญาณมันก็จะทำให้ชายหนุ่มสามารถตัดสินระดับของอสูรที่อยู่ตรงหน้าได้ แม้กระทั่งรับรู้ได้ถึงอาการป่วยหรือความรู้สึกของพวกมัน ซึ่งถ้าหากเขาได้พบกับอสูรที่ไม่แข็งแกร่งนักเขาก็สามารถใช้เนตรมนตราเพื่อบังคับให้พวกมันถอยไปได้อีกด้วย
“ดีมาก! จารึกมนตราอสูรเป็นจารึกลับระดับดวงดาวและยากที่จะฝึกฝน แต่นายสามารถฝึกฝนจนผ่านขั้นที่ 2 ได้ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 3 เดือน ถือว่าเป็นการพัฒนาที่ดีพอสมควร” อันธกล่าวด้วยความพึงพอใจ
พื้นที่สมองส่วนที่ 7 ของเซี่ยเฟยได้รับการปลดล็อกถึง 100% ด้วยน้ำยาปรับสภาพยีนปริศนา ซึ่งนอกจากประสบการณ์ที่น่าจดจำจนทำให้เขาเกือบตายแล้วมันยังทำให้เขาสูญเสียการเลื่อนระดับผ่านทางการฝึกฝนอีกด้วย
แต่ในความโชคร้ายของเขาก็ยังมีโชคดีอยู่บ้าง เพราะตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาข้อได้เปรียบของการปลดล็อกพื้นที่สมองส่วนที่ 7 อย่างสมบูรณ์ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว, สัญชาตญาณที่เฉียบคมหรือการตัดสินใจอย่างว่องไวที่เหนือเกินกว่าคนทั่วไปมาก
นี่คือสิ่งที่เรียกว่าโอกาส!!
โดยปกติผู้ที่มีพรสวรรค์ที่แท้จริงจะสามารถปลดล็อกพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ได้ด้วยการฝึกฝนด้วยตัวเอง ดังนั้นมันจึงมีเฉพาะผู้ที่มีพรสวรรค์ระดับต่ำเท่านั้นที่ต้องการความช่วยเหลือจากน้ำยาปรับสภาพยีน
ผู้คนบนดาวที่มีอารยธรรมระดับสูงจะเลือกดื่มน้ำยาปรับสภาพยีนเป็นทางเลือกสุดท้าย เพราะถึงแม้ว่าการดื่มน้ำยานี้จะสามารถช่วยปลดล็อกพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ได้ แต่ผลข้างเคียงของมันก็ทำให้ผู้ใช้น้ำยาไปถึงสภาพคอขวดอย่างรวดเร็ว
ถึงแม้ว่าเซี่ยเฟยจะรู้ดีถึงความเป็นจริงในข้อนี้แต่เขาก็ไม่สามารถเพิกเฉยต่อความเสี่ยงต่าง ๆ และความพยายามทุ่มเททำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้
ท้ายที่สุดความพยายามอย่างหนักและความพากเพียรก็คือรากฐานที่ทำให้ชายหนุ่มสำเร็จได้มาจนถึงทุกวันนี้
ทันใดนั้นไฟสีเขียวในห้องฝึกฝนก็สว่างขึ้นมาซึ่งมันก็แสดงให้รู้ว่ามีคนกดกริ่งเรียกเขาจากข้างนอก
เมื่อพวกเขาเข้ามาภายในห้องฝึก พวกเขาจะถูกตัดขาดการสื่อสารจากภายนอกโดยสิ้นเชิง มันจึงทำให้ภายในห้องได้ติดตั้งไฟไว้ 2 ดวง โดยไฟดวงแรกมีไว้สำหรับการกดกริ่งที่ประตูและไฟอีกดวงมีไว้สำหรับเครื่องสื่อสาร
“ใครอีกล่ะเนี่ย?” เซี่ยเฟยพึมพำออกมาเมื่อได้เห็นว่าตอนนี้คือเวลาตี 4 จากนั้นเขาก็ได้ลุกขึ้นยืนและเดินออกจากห้องฝึกไป
เมื่อชายหนุ่มได้เปิดประตูเขาก็ได้พบกับเยว่เกอที่กำลังตื่นเต้นกับอะไรซักอย่าง โดยข้างหลังของเธอนั้นคือ เป๋ยไฮ่, หมานจุนและเฉินตง
หญิงสาวได้สวมชุดนอนสีฟ้าทำให้เธอดูน่ารักยิ่งกว่าเมื่อตอนกลางวัน ในขณะที่เป๋ยไฮ่ก็สวมชุดนอนหลวม ๆ และเอนกายพิงหมานจุนอย่างงุนงง โดยพวกเขาทั้งสองยังคงตาแดงด้วยความง่วงนอนและการหาวแต่ละครั้งก็เกือบที่จะมีน้ำตาไหลออกมา
ทางด้านของเฉินตงก็สวมเพียงแค่กางเกงขาสั้นตัวเดียวและถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ดูง่วงมากเหมือนเป๋ยไฮ่และหมานจุนแต่เขาก็ยังคงดูง่วงอยู่ดี จากนั้นเขาก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้และยักไหล่ให้กับเซี่ยเฟย
“เข้ามาเร็ว! ฉันมีเรื่องจะคุยกับพวกนายทุกคน” เยว่เกอผลักเซี่ยเฟยหลบและหันไปพูดกับผู้ชายทั้งสามคนนอกประตู
หลังจากนั้นเหยื่อผู้บริสุทธิ์ทั้งสามคนก็เดินโซซัดโซเซเข้ามาในห้องและนอนพับกันบนโซฟาของเซี่ยเฟย
เป๋ยไฮ่นั่งพร้อมกับกอดแขนของเฉินตง ในขณะที่หมานจุนพาดขาของเขาไว้บนหน้าอกของเป๋ยไฮ่ ซึ่งสภาพของพวกเขาทั้งสามก็ดูน่าเวทนาเป็นอย่างมาก
“เยว่เกอทำไมเธอไม่คุยตอนกลางวัน นี่มันเวลานอนนะ! ฉันง่วง” หมานจุนพูดอย่างไม่พอใจ
“นายจะไปรู้อะไร! นี่มันแผนการแข่งที่ฉันวางแผนอย่างรอบคอบมานานกว่า 10 ชั่วโมงเลยนะ! พวกนายนั่งลงแล้วตั้งใจฟังฉันดี ๆ นายก็ด้วยเซี่ยเฟย” เยว่เกอหัวเราะออกมาเบา ๆ
เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้าเซี่ยเฟยก็ถอนหายใจออกมาและเขาก็ไม่รู้จะจัดการการกระทำที่ไร้สาระของหญิงสาวตรงหน้านี้อย่างไรดี เขาจึงเดินไปชงกาแฟแล้วเดินมานั่งข้าง ๆ เฉินตง
เยว่เกอเปิดคอมพิวเตอร์อย่างตื่นเต้นพร้อมกับเรียกไฟล์ข้อมูลที่เตรียมไว้และแสดงพวกมันบนหน้าจอ
“นี่คือรายการการแข่งขันรถแข่งเอ็กซ์ตรีมครั้งนี้รวมถึงลักษณะเฉพาะของแต่ละทีมด้วย” เยว่เกอกล่าวขณะที่หยิบแตงกวาออกมาจากกระเป๋าเสื้อและชี้ไปที่หน้าจอ
“การแข่งขันครั้งนี้จะแตกต่างจากครั้งก่อน ๆ เพราะทางค่ายฝึกได้เชิญทีมนักแข่งมืออาชีพมาแข่งร่วมกับพวกเราด้วย”
“พวกนายรู้จักทีมมังกรสองหัวไหม? พวกเขาคือแชมป์ภูมิภาค 5 สมัยติดต่อกัน” เยว่เกอกล่าวอย่างภาคภูมิใจ เนื่องจากเธอใช้ความพยายามอย่างมากในการรวบรวมข้อมูลเหล่านี้
“แต่ทีมมังกรสองหัวไม่ใช่สิ่งสำคัญเพราะผลการแข่งขันของพวกเขาจะไม่ได้ส่งผลกระทบถึงพวกเรา ฉันว่าเธอไม่ต้องสนใจมันก็ได้” เซี่ยเฟยกล่าวอธิบายพร้อมกับขมวดคิ้ว
“เซี่ยเฟย! ตอนนี้คนที่กำลังพูดคือฉันหรือนาย!?” เยว่เกอกล่าวและจ้องมองไปยังเซี่ยเฟยด้วยความหงุดหงิด
“เธอพูด” เซี่ยเฟยตอบเบา ๆ ขณะจิบกาแฟแล้วพิงโซฟา
ในอีกด้านหนึ่งเป๋ยไฮ่และหมานจุนก็ผล็อยหลับอย่างรวดเร็ว เยว่เกอจึงเดินเข้าไปหยิกต้นขาของพวกเขาอย่างรุนแรง
“นี่มันเรื่องจริงจังนะ! พวกเรากำลังจะคุยกันเรื่องแผนการแข่งขัน ตื่นมาตั้งใจฟังเดี๋ยวนี้!”
เป๋ยไฮ่และหมานจุนกรีดร้องอย่างเจ็บปวดและรีบลุกขึ้นมานั่งโดยไม่กล้าแอบงีบอีกต่อไป แต่เปลือกตาของพวกเขายังคงต่อสู้กับความง่วงอย่างสิ้นหวัง
“อย่างที่เซี่ยเฟยพูดเมื่อกี้ เราไม่ต้องสนใจทีมมังกรสองหัวก็ได้ แต่สองคนนี้คือคู่แข่งคนสำคัญของพวกเรา” เยว่เกอกล่าวต่อ
หลังจากที่หญิงสาวได้กล่าวจบมันก็ได้ปรากฏภาพของชายที่มีเคราขนาดใหญ่และชายหนุ่มที่มีผมหยิกขึ้นบนหน้าจอ
“ผู้ชายที่มีเคราชื่อว่า ‘หนี่เว่ย’ เขาคือนักแข่งรถที่เก่งที่สุดในแผนกเครื่องกล ส่วนผู้ชายที่มีผมหยิกชื่อว่า ‘คาร์ล’ เขาเป็นนักประกอบรถที่ดีที่สุดในแผนกเครื่องกล โดยพวกเขาเป็นสมาชิกของทีม 73 และเป็นคู่แข่งคนสำคัญของเราในครั้งนี้”
“เยว่เกอ เธอช่วยสรุปแผนการเลยได้ไหม?” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับส่ายหัว
“ทำไมนายถึงชอบขัดจังหวะตอนคนอื่นพูดตลอดเลยนะ นี่มันเป็นข้อมูลที่ฉันค้นหามาทั้งคืน ถ้านายใจร้อนขนาดนั้นนายก็มาพูดเองเลยไหม” เยว่เกอกอดอกและจ้องมองไปที่เซี่ยเฟยด้วยใบหน้าที่เย็นชา
“ไม่มีปัญหา” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเยว่เกอได้ยินคำตอบของชายหนุ่มเธอจึงก้าวถอยหลังออกไปอย่างสงสัยเพื่อหลบให้ชายหนุ่มสามารถใช้หน้าจอคอมพิวเตอร์ได้
“ฉันขอเวลาแค่ 5 นาทีก็พอ” เซี่ยเฟยกล่าว
“ก่อนอื่นเลยฉันอยากจะบอกพวกนายทุกคนว่า การแข่งขันครั้งนี้เจ้ามือรับพนันได้เสนออัตราค่าเดิมพันที่หลากหลาย ซึ่งเราอยู่ในอันดับแรกของอัตราเดิมพันที่ห่วยที่สุด”
“สาเหตุที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่าเจ้ามือเชื่อว่ารถของเราจะต้องมีปัญหาและมีความเป็นไปได้สูงที่พวกเราจะไม่สามารถแข่งขันจนจบรายการได้”
เซี่ยเฟยเริ่มต้นการประชุมด้วยข้อมูลที่น่าสนใจส่งผลให้มันมีประสิทธิภาพมากกว่าวิธีการข่มขู่ของเยว่เกอ
การเปิดหัวข้อของเซี่ยเฟยทำให้พวกเขาอยากรู้เกี่ยวกับแผนการรับมือของชายหนุ่มเป็นอย่างมาก ซึ่งแม้แต่เป๋ยไฮ่และหมานจุนก็กำลังพยายามขยี้ตาอย่างหนักและตั้งใจฟังทุกคำพูด
เมื่อได้ยินคำอธิบายของเซี่ยเฟยมันก็ถึงกับทำให้เยว่เกออ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง เพราะข้อมูลที่เธอคิดว่ารวบรวมมาอย่างละเอียดและครบถ้วนแล้วนั้นกลับไม่มีข้อมูลของเจ้ามือรับพนันเลย
‘เป็นไปได้ไหมว่าเซี่ยเฟยจะแอบเตรียมการไว้อยู่แล้ว’ เยว่เกอแอบคิดในใจ
จากนั้นเซี่ยเฟยก็จุดบุหรี่และพ่นควันออกมาเบา ๆ แล้วเคาะนิ้วของเขาบนหน้าจอ 2-3 ครั้งเพื่อเรียกรูปถ่ายและข้อมูลของผู้เข้าแข่งขันทั้งห้ากลุ่ม
“ทีมพวกนี้เป็นทีมที่ค่อนข้างแข็งแกร่งโดยทีม 21, 73 และ 149 เป็นทีมที่มาจากแผนกเครื่องกล ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วทั้งสามทีมนี้เรียกได้ว่าไม่มีจุดอ่อนเลย นอกจากนี้พวกเขายังทำงานร่วมกันและรู้จักกันเป็นอย่างดี”
“ข้อได้เปรียบของเราคือรถแข่งของเรามีประสิทธิภาพที่ดีกว่า แต่ข้อได้เปรียบของพวกเขาคือประสบการณ์, ความคุ้นเคยในการแข่งขัน, สภาพแวดล้อมและทักษะในการทำงานร่วมกัน”
“ตราบใดก็ตามที่เราใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบของการเร่งความเร็วของรถให้เป็นประโยชน์ เราก็จะสามารถแซงพวกเขาได้อย่างแน่นอน ส่วนการรับมือและหน้าที่ของแต่ละคนฉันจะบอกทีหลัง”
“นอกจากนี้ทีม 201 หรือทีมของไป๋เย่ก็เป็นอีกหนึ่งทีมที่พวกเราต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะจากข้อมูลที่ฉันสืบค้นมา เจ้ามือรับพนันจัดทีมของเขาอยู่ในอัตราต่อรองที่ต่ำมาก ซึ่งเป็นไปได้ว่าพวกเขาน่าจะได้รับข้อมูลวงในว่าทีมนี้มีโอกาสชนะสูง”
“พวกเขาคือคู่ต่อสู้ที่พวกเราไม่คุ้นเคยเพราะพวกเราและพวกเขาต่างก็แข่งขันในสนามนี้เป็นครั้งแรก ด้วยการที่เราไม่รู้จักเขาและพวกเขาก็ไม่รู้จักเรานี่เอง การจัดการกับพวกเขาจึงต้องอาศัยการปรับตัวและการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า”
“ส่วนทีม 33 ของเฉียนเฟิงก็น่าสนใจเหมือนกัน แต่พวกเขายังขาดคนขับที่เหมาะสม ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นภัยคุกคามที่น้อยที่สุด” เซี่ยเฟยกล่าว
เมื่อเยว่เกอได้ฟังข้อมูลทั้งหมดของเซี่ยเฟยเธอก็กัดริมฝีปากอย่างขมขื่น เพราะเหตุการณ์ตรงหน้าได้แสดงอย่างชัดเจนแล้วว่าชายคนนี้ได้วางแผนและหาข้อมูลเกี่ยวกับการแข่งขันเรียบร้อยแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีข้อมูลรายละเอียดมากยิ่งกว่าที่เธอพยายามเก็บรวบรวมมาทั้งคืนเสียอีก
“ในการแข่งขันครั้งนี้มีทีมจากแผนกเครื่องกลเข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด 40 ทีม ดังนั้นพวกเขาจะต้องพร้อมใจกันกำจัดคู่แข่งคนอื่นอย่างแน่นอน นี่เป็นความท้าทายที่ยากที่สุดที่เราจะต้องเผชิญ ถ้าหากพวกเราต้องการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นในสถานการณ์เช่นนี้ ทุก ๆ คนจะต้องร่วมมือร่วมใจรายงานการแข่งขันอย่างละเอียดเพื่อที่เราจะได้ใช้ข้อมูลเหล่านี้มาประกอบการพิจารณา”
“เอาล่ะต่อไปนี้ฉันจะมอบหมายงานให้กับพวกนายทุกคน” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยเสียงทุ้ม
“การแข่งขันนี้มีระยะทางยาว 1,355 กิโลเมตรและแบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 ส่วน แม้ว่าภายในตัวรถจะมีระบบตรวจสอบเส้นทางในการขับขี่แล้ว แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะให้คนขับจดจ่ออยู่กับการสังเกตเส้นทางในขณะที่ขับด้วยความเร็วสูง ด้วยเหตุนี้มันจึงจำเป็นที่จะต้องมีคนคอยสังเกตการณ์ 3 คนเพื่อรายงานสิ่งที่เกิดขึ้น”
“เป๋ยไฮ่นายรับผิดชอบพื้นที่ส่วนที่ 1, หมานจุนจะอยู่ในส่วนที่ 2, ส่วนเฉินตงจะอยู่ในส่วนที่ 3 ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญมากที่สุด เนื่องจากพื้นที่ส่วนนี้จะมีโค้งต่อเนื่องถึง 128 โค้งและมันก็เป็นส่วนที่ยากที่สุดของสนามเช่นกัน ดังนั้นนายต้องจับตาดูมันอย่างใกล้ชิด” เซี่ยเฟยกล่าว
เป๋ยไฮ่, หมานจุนและเฉินตงพยักหน้ารับคำสั่งด้วยความตั้งใจ
“ฉันจะรับผิดชอบในการดัดแปลงรถและการขับขี่ พวกนายแค่ต้องตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด หลังจากนี้ฉันจะส่งสำเนารายละเอียดของสนาม ซึ่งภายในฉันได้ทำเครื่องหมายตรงตำแหน่งที่สำคัญไว้หมดแล้วรวมถึงข้อควรปฏิบัติในกรณีฉุกเฉินด้วย…จบการประชุม!”
เซี่ยเฟยเป็นเหมือนผู้บังคับบัญชาที่มอบหมายงานให้แก่ลูกน้อง เขาได้พิจารณาทุกสถานการณ์ที่เป็นไปได้และคำสั่งของเขาก็ชัดเจน มีรายละเอียดที่ครบถ้วน นอกจากนี้ยังมีคำเตือนพิเศษสำหรับหน้าที่ที่รับผิดชอบที่แตกต่างกันของแต่ละคน
ความเป็นจริงเซี่ยเฟยได้วางแผนทุกอย่างเรียบร้อยก่อนที่เยว่เกอจะเข้ามาแล้ว ซึ่งเขาตั้งใจที่จะแจ้งรายละเอียดทั้งหมดให้ทุกคนฟังในวันพรุ่งนี้ แต่ในเมื่อหญิงสาวได้ลากทุกคนออกจากเตียงเพื่อมาประชุม เขาจึงตัดสินใจแจ้งให้ทุกคนได้ทราบเกี่ยวกับแผนการที่เขาวางไว้
เยว่เกอแอบเหลือบมองไปยังเซี่ยเฟยอย่างลับ ๆ แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจเขาเลย ในทางกลับกันเธอยังชื่นชมทัศนคติที่จริงจังของชายหนุ่มมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
เซี่ยเฟยกำหนดตำแหน่งของเขาในฐานะผู้นำด้วยการกระทำของเขาเอง ซึ่งบทบาทของบุคคลภายในกลุ่มนั้น ๆ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่พวกเขากล่าวอ้างออกไป แต่มันขึ้นอยู่กับการกระทำที่พวกเขาได้พิสูจน์ออกมา
เดิมทีการเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ไม่ใช่ความคิดของเซี่ยเฟยเลย แต่เมื่อทีมประสบกับปัญหาเขาก็รับผิดชอบด้วยการประกอบรถแข่ง, รวบรวมข้อมูลที่จำเป็น, วางแผนการแข่งและมอบหมายงานให้กับสมาชิกภายในทีม
ด้วยสถานการณ์เหล่านี้ทุกคนต่างก็รู้สึกชื่นชมชายหนุ่มอยู่ภายในใจ ดังนั้นเมื่อเซี่ยเฟยมอบหมายงานให้กับทุกคนในฐานะผู้นำทีม มันจึงไม่มีใครกล่าวคัดค้าน เนื่องจากความสามารถและทัศนคติที่จริงจังของชายหนุ่มเป็นสิ่งที่พวกเขารับรู้ได้อย่างชัดเจน
“เอาละพรุ่งนี้พวกเราต้องไปเข้าร่วมพิธีเปิดการศึกษาแล้ว ทุกคนแยกย้ายกันไปนอนได้” เซี่ยเฟยกล่าวขณะที่กดบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่หลังจากที่ได้มอบหมายงานให้กับสมาชิกภายในทีมแล้ว
“ง่าย ๆ แค่นี้หรอ? แล้วฉันล่ะมีหน้าที่ทำอะไร?” เยว่เกอที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ถามขณะที่ทำหน้าบึ้งตึง
เซี่ยเฟยรู้สึกผงะเล็กน้อยเพราะเขาไม่ได้นึกถึงเยว่เกอเลย แม้ว่าสตรีคนนี้จะรู้สึกกระตือรือร้นในการแข่งขันครั้งนี้อยู่ตลอดเวลา แต่เขาก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยถ้าหากจะมอบหมายเรื่องต่าง ๆ ให้เธอเป็นคนคอยดูแล
“เยว่เกองานของเธอสำคัญมาก เพราะเธอจะต้องรับผิดชอบในการหาน้ำและอาหารสำหรับสมาชิกทุก ๆ คนเพื่อให้พวกเราอิ่มท้องและมีแรงอยู่เสมอ” เซี่ยเฟยกล่าวอย่างเคร่งขรึมหลังจากที่คิดหาข้ออ้างได้
“แน่นอนพวกนายไว้ใจฉันได้เลย! เอ๊ะ…” เยว่เกอพยักหน้ารับและพูดอย่างตื่นเต้น
แต่เมื่อหญิงสาวได้พูดไปเพียงแค่ครึ่งเดียวเธอก็นึกขึ้นได้และพูดอย่างโกรธเคืองว่า
“เซี่ยเฟยนี่นายเห็นฉันเป็นพนักงานเสิร์ฟงั้นหรอ!”
—
พิธีเปิดค่ายฝึกอบรมจัสทิสลีกจัดขึ้นในหอประชุมขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับผู้คนได้ถึง 100,000 คน
ในปัจจุบันเซี่ยเฟยเปลี่ยนมาสวมใส่ชุดเครื่องแบบของค่ายฝึกเรียบร้อยแล้ว โดยเขาได้มาที่หอประชุมพร้อมกับเฉินตงและคนอื่น ๆ
เท่าที่เขาจำได้พิธีนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่ผู้นำ 2-3 คนจะขึ้นไปบนเวทีแล้วพูดเรื่องไร้สาระ จากนั้นก็จะมีตัวแทนนักเรียน 2-3 คนที่มีชื่อเสียงพูดเรื่องมโนธรรมบางอย่างที่แม้แต่พวกเขาเองก็ไม่เคยพบเห็น
โชคดีที่นักเรียนทุกคนต่างก็มีประสบการณ์ในสิ่งเหล่านี้มาบ้างแล้วและพวกเขาเกือบทุกคนก็มีไมโครคอมพิวเตอร์เป็นของตัวเอง มันจึงทำให้คนส่วนใหญ่เลือกที่จะปรับหน้าจอไมโครคอมพิวเตอร์ให้เหลือน้อยที่สุดแล้วแอบใช้ช่วงเวลาที่น่าเบื่อนี้ในการท่องโลกอินเตอร์เน็ต
แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือในบรรดานักเรียนกว่า 10,000 คนนี้มีคนที่หน้าตาดีไม่มากนักและผู้หญิงส่วนใหญ่ก็มักที่จะรายล้อมอยู่ใกล้ ๆ กับไป๋เย่
อันที่จริงแล้วรูปร่างหน้าตาของเยว่เกอก็ไม่ได้แย่นัก แต่น่าเสียดายที่เธอกำลังโกรธเนื่องจากได้รับหน้าที่คอยเสิร์ฟน้ำและอาหารให้กับเพื่อน ๆ ดังนั้นเธอจึงไม่ได้คุยกับเซี่ยเฟยมากนักและออกจะดูเมินเฉยเขาอีกด้วย นอกจากนี้ชายหนุ่มก็ไม่ได้คิดที่จะสนใจความรู้สึกของเพื่อนชายรูปร่างหญิงคนนี้ด้วยเช่นกัน
หลังจากนั้นไม่นานเย่จิ่งชานและคนกลุ่มหนึ่งก็ได้เดินขึ้นไปบนเวที
เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้าเซี่ยเฟยก็แสดงใบหน้าออกมาอย่างจริงจัง จากนั้นเขาก็หรี่ตาลงเล็กน้อยและประมวลความคิดภายในหัวของเขาด้วยความรวดเร็ว
นอกเหนือจากข้าง ๆ เย่จิ่งชานจะมีหัวหน้าแผนกแต่ละแผนกแล้วมันยังมีชายอีกสามคนที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดีอีกด้วย
สมาชิกทีม 13 ทั้ง เซียวไห่ลี่, เควรอซและโบซิงวาล้วนอยู่ที่นี่!!
เนื่องจากการกระทำของเซียวหยงในการประเมินระดับวิกฤตที่ผ่านมา ชายหนุ่มจึงตั้งข้อสงสัยในตัวของเซียวไห่ลี่ภายในใจและในตอนนี้เขาก็ได้มาพบกับชายผู้ต้องสงสัยคนนี้อีกครั้ง
“ทำไมพวกเขาถึงมาอยู่ที่นี่?” เซี่ยเฟยกระซิบกับตัวเอง
***************