บทที่ 949 (70) โลกมันแคบ(ตอนฟรี)
บทที่ 949 (70) โลกมันแคบ ฟรี
“งี่เง่า!”
เมื่อเห็นชายหัวล้านกรีดร้องอย่างต่อเนื่อง จางเล่ยก็เบะปากและสาปแช่ง
คนเรามีมากมายหลากหลายประเภท แต่แปลกที่คนประเภทนี้มักเป็นพวกมีอิทธิพลและกล้าออกมาอวดอ้างมันอย่างโง่เง่า
แต่จี้เฟิงยิ้มอย่างเฉยเมยและพูดว่า “ชายคนนี้ไม่ใช่คนงี่เง่าหรอก เขารู้จักใช้ชื่อหูอี้กุ้ยมาทำให้พวกเราตกใจ... แต่สิ่งที่ฉันอยากรู้คือเขาไปเอาความมั่นใจขนาดนี้มาจากที่ไหน? ไม่เผื่อใจบ้างเหรอว่าคนอื่นอาจมีคนรู้จักที่ใหญ่โตกว่า?”
มันค่อนข้างที่จะแปลกนิดหน่อยเมื่ออีกฝ่ายแสดงท่าทีที่เหนือกว่าอย่างมั่นใจขนาดนี้
ในแง่ของความรวย ชายหัวล้านคนนี้อาจเป็นคนที่มีเงินทองมากมายก็จริง แต่เขามั่นใจได้อย่างไรว่าคนอื่นไม่ได้รวยเท่าเขาหรืออาจจะรวยกว่า?
หรือไม่ ชายหัวล้านคนนี้อาจมีเส้นสายหรือมีอิทธิพลอยู่บ้าง แต่คำถามคือ เขามั่นใจได้อย่างไรว่าคนอื่นไม่มีอิทธิพลเช่นกัน?
ทำไมเขาถึงแสดงพลังต่อหน้าคนอื่นได้อย่างมั่นใจขนาดนี้?
ทำไมเขาถึงได้คิดว่าตัวเองเหนือกว่าผู้อื่นมากมาย? คิดว่าตัวเองประเสริฐยิ่งกว่าใคร?
“เฮอะ!” จางเล่ยเย้ยหยัน “จะอะไรซะอีก มันคงเห็นพวกเราแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าโนเนม ขับรถเก่าๆ มันก็เลยมั่นใจว่ามันรวยกว่าเรา แล้วเรื่องที่เราไม่มีห้องพักฟื้นให้ลุงเซียวอีก ก็เลยคิดว่าพวกเราเป็นแค่ตาสีตาสาไม่มีสังคม...”
“ได้เหรอ? ตัดสินคนอื่นจากการแต่งตัวและรูปลักษณ์ภายนอกของเขาเพียงอย่างเดียวเนี่ยนะ?” จี้เฟิงส่ายหัวเล็กน้อย “แปลกจริงๆ! คนแบบนี้ก้าวมาอยู่จุดนี้ได้ยังไง หรือพึ่งพาอาศัยแต่ครอบครัวจนเคยชิน? ... ฉันเข้าใจแล้ว รูปลักษณ์ภายนอกเป็นสิ่งแรกที่ผู้คนจะตัดสินกัน แต่ที่จริงเขาก็ไม่ควรจะทำตัวหยิ่งยโสขนาดนั้นสิ หรือค่านิยมมันทำให้ผู้คนมองโลกจนบิดเบือนไปหมดแล้ว”
หัวเราะเยาะคนจน แต่ไม่หัวเราะเยาะโสเภณี...
ประโยคนี้ช่วยให้เห็นภาพความในใจของคนในยุคปัจจุบันอย่างแท้จริง พวกเขาไม่สนว่าคุณจะได้เงินมาอย่างไร ตราบใดที่คุณมีเงิน คุณคือคนเก่งและมีความสามารถ
หากคุณสามารถอ้างชื่อคนใหญ่คนโตคนใดคนหนึ่งได้ มันก็เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่าคุณก็เป็นคนที่มีความสามารถเช่นกัน ... เงินที่คุณมี จะได้มาจากไหนไม่สำคัญ ไม่จำเป็นต้องขยันหรือซื่อสัตย์ ต่อให้ใครจะก่นด่าสาปแช่งมันก็แค่คำพูด ซึ่งไม่ได้ทำให้เงินในกระเป๋าคุณลดลง!
แต่ถ้าคุณไม่มีเงิน ค่าของความเป็นคนของคุณจะลดลง.. ขยันซื่อสัตย์แล้วยังไง? ไม่มีใครสนใจว่าคุณจะจิตใจดีมีเมตตาหรือไม่ มันไม่ใช่สิ่งที่สามารถวัดกันได้ด้วยผลลัพธ์ สุดท้ายคุณจะเป็นเพียงแค่คนไร้ค่าที่ต่ำต้อยกว่า
ในสายตาของคนชั้นสูง คนจนคือคนที่ห่วยแตก!
แม้ว่าสิ่งที่เรียกว่าสังคมชั้นสูงในความคิดของใครๆหลายๆคนจะสกปรก แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็มีชีวิตที่สะดวกสบายและมีความสุขทางวัตถุ ในขณะที่คุณไม่มี!
“เอาล่ะ อย่าคิดมาก...” จางเล่ยโบกมือ “สมัครห้องพักก่อน”
“โอยย...”
ชายหัวล้านถูกประคองให้นอนลงบนเตียง ตัวของเขาสั่นเพราะความเจ็บปวด แต่เขายังกัดฟันและพูดว่า “พวกแกยังคิดที่จะหาห้องพักอีกเหรอ เอาเวลานี้ไปเตรียมปูเสื่อนอนที่ถนน... โอ๊ย!”
ผู้หญิงที่แต่งหน้าหนาตกใจและรีบพูดว่า “ที่รัก หยุดพูดก่อน ท้องของคุณมีเลือดออกแล้ว ไปหาหมอกันเถอะ!”
“ห๊ะ? เลือดออก?!” ชายหัวล้านที่รู้สึกเจ็บอยู่แล้วพอได้ยินว่าท้องของเขามีเลือดออกก็เหมือนจะยิ่งรู้สึกเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น เขารีบพูดทันที “ไปเร็ว! รีบพาฉันไปหาหมอเร็วเข้าสิ!”
“ไอ้สารเลวสองตัว แกรอฉันก่อน เดี๋ยวฉันจะกลับมาจัดการกับพวกแก!” ชายหัวล้านทิ้งประโยคข่มขู่ไว้ก่อนที่จะถูกพยาบาลสาวเข็นเตียงออกไป ในตอนนี้แผลที่ท้องของเขาได้เปิดออกแล้ว และแผลผ่าตัดที่ปริแตกแบบนี้ การทำแผลและการเย็บจะลำบากกว่าตอนที่เย็บตอนแรกมาก
เมื่อเห็นคนสองสามคนรีบร้อนจากไป จี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวเล็กน้อย “น่าเหนื่อยใจจริงๆ”
เขาไม่อยากอารมณ์เสียกับคนประสาทแดกแบบนี้ เขาจึงพักเรื่องนี้เอาไว้ก่อน อย่างไรก็ตาม จี้เฟิงยังคงให้ความสนใจกับชื่อที่ชายหัวล้านพูด ‘หูอี้กุ้ย’
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จี้เฟิงได้ยินชื่อนี้!
ในความเป็นจริง เมื่อประมาณปีที่แล้ว จี้เฟิงเคยจัดการกับหูอี้กุ้ยทางอ้อมมาแล้ว
จนถึงตอนนี้จี้เฟิงยังจำได้ชัดเจนว่าตอนที่คังหยวนสลิมมิ่งพาวเดอร์ที่ผลิตโดยโรงงานเซียวฟามาซูติคอลได้ริเริ่มทำการโปรโมตเป็นครั้งแรกที่โรงพยาบาลเฟิร์สพีเพิลเจียงโจวมันพบกับปัญหาอย่างไร
ผู้ที่มีบทบาทสำคัญของปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือหูอี้กุ้ยรองคณบดีและหม่าเต๋อหว่องผู้อำนวยการฝ่ายจัดซื้อ ตามความเข้าใจของจี้เฟิง ดูเหมือนว่าสองคนนี้จะมีความสัมพันธ์บางอย่างกับอดีตรองผู้อำนวยการสำนักงานอาหารและยา และดูเหมือนว่าพวกเขาจะเกลียดจี้เฟิงเพราะเหตุนี้
เดิมทีจี้เฟิงมัวยุ่งอยู่กับการโปรโมตคังหยวนสลิมมิ่งพาวเดอร์ ดังนั้นเขาจึงไม่มีเวลามาใส่ใจสองคนนี้ และหลังจากนั้นเขาก็ไม่มีธุระใดๆที่จะต้องติดต่อกับโรงพยาบาลเฟิร์สพีเพิล ดังนั้นเขาจึงค่อยๆลืมเรื่องสองคนนี้ไป
แต่ตอนนี้ ชายหัวล้านได้ข่มขู่โดยพูดชื่อของหูอี้กุ้ยออกมา มันทำให้จี้เฟิงกลับมานึกขึ้นได้อีกครั้ง
“เจ้าบ้า นายกำลังคิดอะไรอยู่ รีบสมัครสิ!” จางเล่ยเห็นว่าจี้เฟิงมัวแต่ยืนนิ่ง ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะสะกิดจี้เฟิง “อย่ามัวแต่ยืนงง!”
จี้เฟิงส่ายหัวและยิ้ม “ฉันกำลังคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ชายหัวล้านพูดเมื่อกี้!”
“ไอ้หัวล้านนั้นพูดแต่เรื่องไร้สาระ แพร่มไปเรื่อย” จางเล่ยหน้าบึ้ง “นายจะไปสนใจคำพูดมันทำไม?”
จี้เฟิงส่ายหัวเล็กน้อยและกล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าฉันสนใจคำพูดเพ้อเจ้อของเขา แต่ฉันสนใจคนที่เขาพูดถึงต่างหาก หูอี้กุ้ยน่ะ เขาเป็นรองคณบดีของโรงพยาบาลเฟิร์สพีเพิลแห่งนี้ มันทำให้ฉันนึกขึ้นมาได้ว่าตอนที่ฉันวางแผนจะมาโปรโมตยาลดความอ้วนคังหยวนที่โรงพยาบาลนี้ ปรากฏว่าคนที่ชื่อหูอี้กุ้ยกับผู้ชายอีกคนนี้เป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ของฉัน จนทำให้ฉันต้องล้มเลิกแผนการนี้ไป”
จางเล่ยเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ “โลกมันแคบไปมั้ยเนี่ย?”
“ก็ถ้าผู้ชายหัวล้านไม่พูดถึง ฉันคงลืมชื่อหูอี้กุ้ยไปแล้ว...” จี้เฟิงส่ายหัว “อย่าพูดถึงเรื่องนี้เลย เนื่องจากลุงเซียวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลนี้ ไม่ช้าก็เร็วเราคงได้พบกับเขา และถ้าผู้ชายคนนี้กล้ายืนหยัดเพื่อผู้ชายหัวล้านคนนั้น ฉันจะทำให้เขาได้รู้ว่าจุดจบของการทำตัวเป็นผู้นำพวกโง่เง่ามันเป็นยังไง!”
เนื่องจากทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกันอยู่แล้ว จี้เฟิงจึงไม่จำเป็นที่จะต้องแสดงความเมตตาหรือใจอ่อนเลย หากไม่ใช่เพราะยาลดน้ำหนักคังหยวนมีคุณภาพที่ดีเยี่ยม ความล้มเหลวในการโปรโมตกับโรงพยาบาลเฟิร์สพีเพิลแห่งเดียวอาจจะทำให้แผนการส่งเสริมการตลาดของเขาต้องพังทลาย
“คุณพยาบาล ตอนนี้พอจะมีห้องว่างมั้ยครับ?” จี้เฟิงมาที่เคาน์เตอร์และถามอย่างสุภาพ
“ขออภัย ตอนนี้ห้องพักสำหรับผู้ป่วยทั่วไป ทั้งแบบรวมและแบบเดี่ยวไม่ว่างเลยค่ะ ไม่ทราบว่าแพทย์เจ้าของไข้ได้เตรียมการใดๆไว้หรือเปล่าคะ?” พยาบาลถาม
จี้เฟิงส่ายหัว ตามระเบียบแล้วโรงพยาบาลจะจัดหอพักทั่วไปให้แก่ผู้ป่วย แต่เนื่องจากห้องทั่วไปเต็มหมดแล้วและหมอก็แจ้งมาอย่างชัดเจนแล้วว่าเขาจัดหาได้แค่เพียงห้องพักที่เป็นโถงรวมเท่านั้นในตอนนี้ ไม่มีห้องพักเดี่ยวเหลือเลย เขาจึงไม่สามารถจัดการให้ได้
“ผมต้องการสมัครห้องพักสำหรับผู้ป่วยหนัก ไม่ทราบว่ามันพอจะเป็นไปได้มั้ย?” จี้เฟิงถาม
จากที่หมอแอบบอกเขา ห้องพักผู้ป่วยหนักมีไว้สำหรับผู้ป่วยอาการหนักและบุคคลพิเศษเท่านั้น
“ขออภัย ห้องผู้ป่วยหนักก็เต็มเช่นกัน” พยาบาลกล่าว “ช่วงนี้มีผู้ป่วยเยอะมาก ไม่ว่าจะห้องพักแบบไหนก็เต็มหมดเลย ขอโทษด้วยค่ะ”
จี้เฟิงขมวดคิ้ว แน่นอนว่าสำหรับห้องพักผู้ป่วยหนัก คนทั่วไปไม่สามารถสมัครได้
“เจ้าบ้า! แล้วเราจะเอายังไง? ให้ฉันโทรหาลุงรองของฉันมั้ย? เผื่อว่าเขาพอจะมีคนรู้จักอยู่ที่นี่....”
“ไม่ว่าห้องพักแบบไหนพวกแกก็หาไม่ได้หรอก!” จู่ๆก็มีเสียงหนึ่งดังมาจากทางด้านหลัง ขัดจังหวะคำพูดของจางเล่ย
จี้เฟิงและจางเล่ยหันหน้าไปมองทันทีและเห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังเดินมาทางพวกเขาด้วยใบหน้าบูดบึ้ง ผู้ชายคนนี้มีใบหน้าหล่อเหลาแต่รูปร่างค่อนข้างท้วม เขาหวีผมเรียบแปล้เสยไปด้านหลังสวมชุดสูทดูเหมือนผู้นำที่น่านับถือ คนที่เดินตามหลังเขามาติดๆเป็นชายวัยกลางคนที่ผอมกว่าเขาเล็กน้อย
“คุณเป็นใคร?” จางเล่ยถามพร้อมกับขมวดคิ้วเมื่อเขาได้ยินน้ำเสียงไม่ดีของอีกฝ่าย
“รองคณบดีหู!” ก่อนที่ชายคนนั้นจะทันได้ตอบ พยาบาลสาวที่เคาน์เตอร์ก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและร้องเรียก
จี้เฟิงและจางเล่ยรู้ทันทีว่าบุคคลที่อยู่ข้างหน้าเขาในเวลานี้เป็นเพื่อนที่ชายหัวล้านเคยกล่าวอ้าง เขาคือ หูอี้กุ้ย รองคณบดีของโรงพยาบาลเจียงโจวเฟิร์สพีเพิล
“พวกคุณคือคนที่ทำให้คุณหลิวบาดเจ็บใช่มั้ย?” หูอี้กุ้ยถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตร
จี้เฟิงยิ้มเยาะ “ตาข้างไหนของคุณที่เห็นว่าพวกเราทำให้คุณหลิวอะไรนั่นบาดเจ็บ? คุณเป็นถึงรองคณบดี พูดอะไรออกมาต้องรับผิดชอบสิ่งที่คุณพูดด้วยนะครับ!”
“ฮึ่ม!”
หูอี้กุ้ยแค่นเสียงอย่างเย็นชา แต่ก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีก เขาได้เห็นบันทึกจากกล้องวงจรปิดของโรงพยาบาลแล้วก่อนที่เขาจะมาที่นี่ จู่ๆเตียงผู้ป่วยก็ลอยขึ้น มันเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก!
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหูอี้กุ้ยจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่มันจะต้องเกี่ยวข้องกับชายหนุ่มสองคนนี้แน่นอน!
ประกอบกับความสัมพันธ์ของเขากับนายหลิว ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจแล้วว่าต้องจัดการชายหนุ่มสองคนนี้!
“คุณสองคนเป็นญาติของผู้ป่วยที่มารักษาตัวที่นี่ใช่มั้ย?” หูอี้กุ้ยถามเสียงทุ้ม “ผู้ป่วยชื่ออะไร?”
“คุณจะรู้ไปทำไม?” จางเล่ยเย้ยหยัน
“นี่!” หูอี้กุ้ยตะคอกอย่างเย็นชา “ฉันมาที่นี่เพื่อแจ้งให้คุณทราบว่าห้องพักทั้งหมดเต็มแล้ว และจะไม่มีห้องไหนว่างเลยภายในครึ่งปี นอกจากนี้เราไม่สามารถรักษาญาติของคุณที่นี่ได้ คุณควรย้ายเขาไปที่โรงพยาบาลอื่นทันที!”
“อา...”
แทนที่จะโกรธ จี้เฟิงกลับยิ้ม “หูอี้กุ้ย คุณกระโดดออกมาเองนะ...”
การแสดงออกของหูอี้กุ้ยเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน “คุณหมายความว่าไง?”
“หมายความว่าไงเหรอ?” จางเล่ยเย้ยหยัน “อีกไม่นานเดี๋ยวก็รู้!”
จบบทที่ 749~