ตอนที่ 78: คนบ้า 2+1
ตอนที่ 78: คนบ้า 2+1
เยว่เกอเดินเข้าไปภายในห้องของเซี่ยเฟยด้วยท่าทางสบาย ๆ พร้อมกับเปิดทีวี, ถอดรองเท้าและเอนกายลงมาบนโซฟา
“เชิญพวกนายตามสบายได้เลย คิดซะว่าฉันไม่อยู่ที่นี่” เยว่เกอพูดขณะหยิบแตงกวาส่วนที่เหลือออกมาแทะ
ขณะเดียวกันเฉินตงก็เดินเข้ามาภายในห้อง แต่เขาเลือกที่จะนั่งบริเวณขอบโซฟาเพื่อให้ห่างจากเยว่เกอมากที่สุด
เมื่อเซี่ยเฟยเห็นการกระทำของคนทั้งสองเขาจึงปิดประตูและหยิบที่เขี่ยบุหรี่ขนาดใหญ่ในแหวนมิติออกมาวางไว้บนโต๊ะภายในห้องนั่งเล่น โดยที่เขี่ยบุหรี่นี้ทำขึ้นมาจากปลอกกระสุนมันจึงมีภาพลักษณ์ที่ดุดันเล็กน้อย
ถึงแม้ว่าเซี่ยเฟยจะมีอายุเพียงแค่ 17 ปีแต่เขาก็เป็นคนที่ค่อนข้างสูบบุหรี่จัด เมื่อเขาสูบบุหรี่เขาจะคุ้นเคยกับการถือบุหรี่ระหว่างนิ้วเพื่อให้มันไหม้อย่างช้า ๆ ในขณะเดียวกันใบหน้าของเขาก็จะแสดงออกมาอย่างผ่อนคลาย
หากเขาต้องการทิ้งขี้บุหรี่เขาก็เพียงแค่ต้องใช้นิ้วโป้งสะกิดปลายตัวกรอง แล้วขี้เถ้าสีเทาจะตกลงไปในที่เขี่ยบุหรี่เหมือนกับเกล็ดหิมะ
ทันใดนั้นดวงตาของเยว่เกอก็เปล่งประกายขึ้นมา เนื่องจากที่เขี่ยบุหรี่อันแปลกประหลาดและท่าทางการสูบบุหรี่ของเซี่ยเฟยได้ดึงดูดความสนใจของเธอ
“เฮ่เพื่อน! ตัวนายมีกลิ่นเหมือนคนแก่เลยแล้วนี่นายสูบอะไรอยู่ ฉันขอลองด้วยได้ไหม?” เยว่เกอพูดอย่างตื่นเต้นเหมือนลูกแมวจอมซนที่เพิ่งค้นพบลูกบอลไหมพรม
เซี่ยเฟยถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า เนื่องจากเขาอายุเพียงแค่ 17 ปีเท่านั้นคำว่ามีกลิ่นตัวเหมือนคนแก่จึงไม่ถือว่าเป็นคำชมสำหรับเขาเลย
จากนั้นเขาจึงยืนขึ้นและเดินเข้าไปหาเยว่เกอพร้อมกับสะบัดกล่องบุหรี่เบา ๆ
วู้ววว~
พริบตาต่อมามันก็ได้มีบุหรี่ 4 ตัวยื่นออกมาจากกล่องและความยาวของบุหรี่แต่ละตัวที่ยื่นออกมานั้นก็แตกต่างกัน โดยอันที่ยาวที่สุดโผล่ออกจากกล่องจนเกือบหมดแท่ง
เซี่ยเฟยได้เรียนรู้วิชานี้มาจากหมอดูข้างถนนคนหนึ่ง โดยหมอดูได้เล่าให้เขาฟังว่าวิชาการดีดบุหรี่ออกจากกล่องแบบนี้เป็นวิชาที่ตกทอดมาจากแก๊งค์ฉิน
เยว่เกอดึงบุหรี่ยี่ห้อหงตะชานออกจากกล่องอย่างระมัดระวังและถือไว้ในมือของเธอราวกับว่าเธอกำลังได้ครอบครองสมบัติบางอย่าง
ในขณะเดียวกันเฉินตงที่อยู่ข้าง ๆ ก็กำลังกลั้นรอยยิ้มและตั้งตารอคอยฉากต่อไป เนื่องจากเขารู้อยู่แล้วว่าเซี่ยเฟยสูบบุหรี่ที่มีลักษณะยังไง เขาจึงกำลังรอโศกนาฏกรรมของหญิงสาวอย่างเงียบ ๆ
พรึบ!
เซี่ยเฟยควงไฟแช็กภายในมือ 2-3 ครั้ง จากนั้นเขาก็จุดมันด้วยนิ้วโป้ง เรียกเปลวไฟสีส้มขนาดเล็กส่องสว่างขึ้นมาจากไฟแช็ก
เมื่อเยว่เกอเห็นฉากอันน่าอัศจรรย์ข้างหน้าเธอก็เบิกตากว้างและเกือบที่จะกระโดดขึ้นจากโซฟาด้วยความตื่นเต้น
“ยอดไปเลย! นายต้องสอนวิชานี้ให้ฉันด้วย!!”
เซี่ยเฟยเผยรอยยิ้มออกมาและพยักหน้ารับแต่ไม่ได้พูดอะไรตอบกลับไป
เยว่เกอก็วางบุหรี่ไว้ตรงริมฝีปากแล้วเอนตัวไปข้างหน้าให้บุหรี่โดนเปลวไฟ จากนั้นเธอก็สูดหายใจเข้าไปลึก ๆ
เซี่ยเฟยรู้สึกไม่ค่อยชอบผู้หญิงที่สูบบุหรี่สักเท่าไหร่ แต่เนื่องจากเยว่เกอไม่ใช่ผู้หญิงของเขาและไม่ใช่ญาติพี่น้องที่เขาจำเป็นต้องใส่ใจ เขาจึงปล่อยให้เธอทำตามที่ตัวเองต้องการ
ในที่สุดฉากที่เฉินตงและเซี่ยเฟยรอคอยมานานก็ได้เกิดขึ้น เนื่องจากเยว่เกอได้ปิดปากแล้วไอสำลักออกมา 2-3 ครั้ง
“แค่ก ๆ ๆ นี่มันบ้าอะไรกันวะ!!” เยว่เกอพูดอย่างโกรธจัดขณะที่โยนบุหรี่ออกไปจากมือ
“ครั้งแรกก็เป็นแบบนี้แหละ เธอสามารถหาซื้อพวกมันได้ในราคา 1 แอลไลคอยน์เอง ว่าแต่เธอชอบมันไหม?” เซี่ยเฟยเผยรอยยิ้มเล็กน้อย
ขณะเดียวกันเฉินตงที่พยายามบังคับตัวเองไม่ให้หัวเราะออกมาก็มีใบหน้าที่แดงก่ำ
เยว่เกอหยิบแตงกวาขนาดใหญ่ที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมากัดและจ้องมองไปที่เซี่ยเฟยอย่างดุเดือดราวกับว่าเธอยากจะฆ่าแกงชายคนนี้
“พวกนายกำลังจะมีอะไรกันไม่ใช่รึไง! ทำต่อสิฉันอยากดูแล้ว!” เยว่เกอตะโกนออกมาแล้วนั่งไขว่ห้างบนโซฟา
“พวกเราเป็นผู้ชาย ไม่ได้เป็นเกย์” เซี่ยเฟยส่ายหัวตอบกลับไป
“แล้วถ้าพวกนายหงี่ พวกนายทำกันยังไงอ่ะ?” เยว่เกอกระพริบตาอย่างใสซื่อ
เซี่ยเฟยถึงกับพูดไม่ออกเมื่อได้ยินคำถาม เขาจึงถามกลับไปว่า
“แล้วเธอล่ะ เวลาเธอหงี่เธอทำยังไง?”
“ฉันก็มีไอ้นี้ไง! นายอยากลองดูไหม?” เยว่เกอจับแตงกวาชูขึ้นมาแล้วพูดอย่างภาคภูมิใจ
มุมปากของเซี่ยเฟยกระตุกเล็กน้อย จากนั้นเขาจึงยกมือทั้งสองข้างขึ้นไปในอากาศก่อนจะทำท่าเล่นว่าวและพูดด้วยรอยยิ้มว่า
“เธอมีแตงกวา ส่วนพวกฉันก็มีมือทั้งสองข้างนี่ไง”
คราวนี้ถึงตาของเยว่เกอที่ถึงกับพูดไม่ออกบ้าง เธอจึงโยนแตงกว่าอีกครึ่งที่เหลือลงไปในที่เขี่ยบุหรี่และพูดพึมพำกับตัวเอง
เซี่ยเฟยสังเกตเห็นว่าใบหน้าของเยว่เกอเปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อย แต่มันก็กลับมาเป็นปกติด้วยความรวดเร็ว
อุ๊บ!
ในที่สุดเฉินตงที่อยู่ข้าง ๆ ก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป เขาจึงหัวเราะออกมาเสียงดังพร้อมกับทรุดตัวลงไปนอนกลิ้งกับพื้น
“ไอ้โรคจิต! นี่แกจะหัวเราะทำไม!? ถ้ายังไม่หยุดฉันจะตัดดู๋ของนายแล้วเอาไปโยนให้เป็ดกิน!” เยว่เกอหันไปพูดกับเฉินตงอย่างโหดร้าย
ถึงแม้ว่าเฉินตงจะเป็นผู้ชายที่มีรูปร่างใหญ่โตแต่เขาก็ไม่คุ้นเคยกับอารมณ์ของผู้หญิงนัก เขาจึงรีบควบคุมอารมณ์ในทันที
เยว่เกอตระหนักได้ว่าเธอไม่สามารถต่อล้อต่อเถียงกับเซี่ยเฟยได้ เธอจึงรีบเปลี่ยนเรื่องและพูดคุยเกี่ยวกับหัวข้ออื่น
“นี่เจ้าเบิ้ม หัวของนายไปโดนประตูหนีบมารึไง?” เยว่เกอชี้ไปที่หัวของเฉินตงและถามออกมาด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินคำถามจากหญิงสาวเฉินตงก็ยืนขึ้นพร้อมกับยืดอกด้วยความภาคภูมิใจ ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“เมื่อวานนี้ฉันไปท้านักเรียนจากค่ายชั้นในมา บาดแผลนี้ถือเป็นเกียรติยศสำหรับนักสู้ แน่นอนว่าถ้าฉันหายดีแล้วฉันจะต้องกลับไปท้าทายเขาอีกครั้ง”
เฉินตงกล่าวอย่างตรงไปตรงมาด้วยท่าทีที่ไม่ยอมแพ้ ซึ่งข้อดีอย่างหนึ่งก็คือเขาไม่เคยขุ่นเคืองคู่ต่อสู้ของเขาเลย
การท้าทายก็คือการท้าทายมันเป็นการแข่งขันที่ตรงไปตรงมา ดังนั้นแม้ว่าเขาจะถูกทุบตีจนตายในระหว่างการต่อสู้เขาก็จะไม่มีทางปริปากบ่นออกมาแม้แต่นิดเดียว
หากว่าใครได้ศึกษาประวัติของเฉินตงอย่างละเอียดก็จะรู้ว่าชายคนนี้ชื่นชอบที่จะท้าทายผู้แข็งแกร่งกว่าอยู่เสมอและเขาก็ถือได้ว่าเป็นนักสู้ที่อยู่ในเส้นทางแห่งการท้าทายอย่างแท้จริง
“นายท้าใครในค่ายชั้นใน?” เซี่ยเฟยกล่าวถามด้วยความสงสัยหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ทุกคน!” เฉินตงพูดอย่างเคร่งขรึม
เมื่อได้ยินคำตอบจากเฉินตงมันก็ทำให้เซี่ยเฟยและเยว่เกอแทบไม่อยากจะเชื่อหูของพวกเขาเอง
ท้าทายทุกคนในค่ายชั้นใน?
ทันใดนั้นเซี่ยเฟยก็จินตนาการถึงฉากที่เฉินตงถูกรุมกระทืบจากเหล่าบรรดานักเรียนในค่ายชั้นใน
จากนั้นพวกเขาทั้งสองก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาเสียงดังจนแทบที่จะลืมหายใจ
“เฉินตง! นี่นายวิ่งไปท้าทุกคนในค่ายชั้นในจริง ๆ หรอ? สมองนายมีปัญหาหรือเปล่า?” เยว่เกอยังคงหัวเราะและเอามือข้างหนึ่งกุมท้องของเธอไว้
“นี่มันเป็นเรื่องตลกที่สนุกที่สุดในชีวิตที่ฉันเคยได้ยินมาเลย” เยว่เกอกล่าวย้ำ
“ฉันนับถือนายจริง ๆ ฉันคงทำเหมือนนายไม่ได้แน่ ๆ” เซี่ยเฟยกล่าวขณะยกนิ้วโป้งให้กับเฉินตง
“นายก็พอ ๆ กันนั่นแหละ รู้ไหมครั้งล่าสุดที่พวกนายสู้กัน 21 วัน คนอื่นเรียกพวกนายว่ายังไง?” เยว่เกอกล่าวขณะมองเซี่ยเฟยด้วยความแปลกใจ
เมื่อได้ยินคำถามจากหญิงสาวทั้งเซี่ยเฟยและเฉินตงต่างก็ส่ายหัวเป็นคำตอบ
“พวกนายสองคนถูกตั้งฉายาว่า ‘ไอ้บ้าเฉิน’ กับ ‘ไอ้บ้าเซี่ย’ หรือจะเรียกง่าย ๆ ว่าพวกนายคือคนบ้า!” เยว่เกอกล่าวพร้อมกับตบโซฟาด้วยมือของเธอ หลังจากนั้นเธอก็หัวเราะจนเป็นตะคริวซึ่งถ้ามองจากภายนอกมันก็ไม่รู้เลยว่าใครกันแน่ที่เป็นคนบ้า
“พวกคนในค่ายชั้นในนี่แข็งแกร่งจริง ๆ นายรู้ไหมถึงแม้ว่าฉันจะมีเชสซิ่งไลท์แต่ฉันก็ทำลายหมวกน้ำแข็งของนายไม่ได้ แต่พวกเขากลับสามารถทำลายการป้องกันของนายได้” เซี่ยเฟยกล่าวหลังจากคิดอยู่สักพัก
“พวกเขาแข็งแกร่งจริง ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะน้ำแข็งของฉัน ตอนนี้ฉันคงนอนหยอดน้ำเกลือไปแล้ว” เฉินตงกล่าวอย่างเคร่งขรึมและคำพูดของเขาก็ได้ยกย่องคนของค่ายชั้นในอย่างสูง
“ค่ายฝึกจัสทิสลีกมีนักเรียนมากกว่า 50,000 คน แต่พวกนายรู้ไหมว่าค่ายชั้นในมีสมาชิกกี่คน?” เยว่เกอไขว่ห้างและพูดด้วยรอยยิ้ม
เซี่ยเฟยและเฉินตงต่างก็ส่ายหัวพร้อม ๆ กัน
“ค่ายชั้นในมีสมาชิกเพียงแค่ 500 คนเท่านั้นหรือก็คือมีโอกาสเพียง 1% ที่นักเรียนจากค่ายชั้นนอกจะสามารถเข้าสู่ค่ายชั้นในได้ พวกเขาจึงถือว่าเป็นสัตว์ประหลาดในร่างมนุษย์”
“โดยปกติคนที่สามารถผ่านมาตรฐานเข้าค่ายจัสทิสลีกได้ก็มีแต่พวกหัวกะทิเท่านั้นและคนที่สามารถเข้าไปยังค่ายชั้นในได้ก็ต้องเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ”
“ค่ายชั้นในกับค่ายชั้นนอกมันแตกต่างกันยังไง?” เซี่ยเฟยถาม
“มันต่างยิ่งกว่าต่างซะอีก ต่างกันแบบมากกว่าความต่างระหว่างนรกกับสวรรค์” เยว่เกออธิบายขณะที่หยิบแตงกวาขนาดใหญ่ออกมาจากกระเป๋าอีกชิ้น
“พวกนายคิดว่าสภาพแวดล้อมที่นี่ดีมากพอแล้วหรือยัง?”
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับเป็นคำตอบเพราะมันไม่จำเป็นที่จะต้องพูดถึงเรื่องอื่น ๆ เลยเพียงแค่ที่พักอย่างเดียวก็หรูหรามากพอแล้ว นอกจากนี้มันยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ภายในค่ายอย่างครบครัน
แม้แต่เฉินตงที่มาจากครอบครัวที่มั่งคั่งก็ยังไม่พบข้อบกพร่องใด ๆ ภายในค่ายฝึกแห่งนี้ ซึ่งทุกอย่างที่นี่ถูกเตรียมไว้เป็นพิเศษสำหรับผู้เชี่ยวชาญชั้นยอด
“ถ้าพวกนายมีโอกาสได้เข้าไปยังค่ายชั้นใน พวกนายจะรู้ว่าที่พักแห่งนี้ไม่ต่างไปจากสลัม เพราะไม่เพียงแต่สภาพที่พักจะหรูหรามากกว่านี้ ค่ายชั้นในยังมีความลับในการฝึกฝนที่สามารถปรับปรุงความสามารถของพวกเราได้ในระยะเวลาอันสั้นด้วย”
“ระดับความสามารถของนักเรียนเกือบทุกคนที่เข้าสู่ค่ายชั้นในจะพุ่งสูงขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ เรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมากเลยใช่ไหมล่ะ?”
หญิงสาวดูเหมือนจะมีความรู้เรื่องเกี่ยวกับค่ายชั้นในมากมาย ซึ่งหลังจากที่เซี่ยเฟยและเฉินตงได้ยินคำอธิบายเหล่านี้แล้วพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหลงใหลไปพร้อมกับเธอ
“ว่าแต่…พวกนายอยากเข้าไปค่ายชั้นในหรือเปล่า?” เยว่เกอถามอย่างมีเลศนัย
“แน่นอนอยู่แล้ว! ถ้ามันทำให้ฉันแข็งแกร่งขึ้นฉันยอมทำทุกอย่าง” เฉินตงกล่าวออกมาอย่างเคร่งขรึม
ในขณะเดียวกันถึงแม้ว่าเซี่ยเฟยจะไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่ความฝันสูงสุดของเขาก็คือการได้เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด ดังนั้นเขาจึงเงี่ยหูฟังด้วยความตั้งใจ
***************
ยัยนี่มีแผนการร้ายอยู่แน่ ๆ!!!!