CD บทที่ 335 เปิดหูเปิดตา
หวังเชินเหยารู้ว่าเขาไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป เขาต้องการฉวยโอกาสวิ่งหนีในขณะที่สถานีตำรวจหรงยางกำลังทำการชื่นชม แต่เขาไม่รู้ว่าเขาถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด
เมื่อเขาเห็นจ้าวหยู่และเหมี่ยวอิง คู่นักรบผู้ยิ่งใหญ่ หวังเชินเหยา และเพื่อนร่วมทีมของเขาต่างไม่กล้าสู้หน้าและหวาดกลัว พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีวันหนึ่งที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ถูกส่งมากจากแต่ละสาขาจะเสียท่ากับคนที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าจากแผนกสืบสวนในสาขาเล็ก ๆ อย่างนี้
“วะฮ่าฮ่า!” จ้าวหยู่หัวเราะอย่างมุ่งร้าย “หัวหน้าทีมหวัง คุณจะไปไหน? ทำไมคุณถึงไม่บอกลาพวกเราก่อนล่ะ? เราสามารถส่งคุณออกไปได้อย่างสมเกียรติได้นะ ดูสิ วันนี้คุณดูดีมาก ฉันคิดว่ามันเป็นสัญญาณที่ดีว่าคุณพร้อมจะรับกำปั้นของเราเมื่อคุณจากไป!”
“จ้าวหยู่!” หวังเชินเหยาพูดอย่างโกรธโกรธเคืองว่า “คุณคิดว่าพวกเราโง่งั้นหรือ? คิดว่าฉันไม่รู้เหรอว่าคุณเป็นคนโยนควันยาสลบใส่พวกเรา? ถ้าคุณไม่ทำอย่างนั้น พวกเราก็จะกลายเป็นทีมแรกที่จับฆาตกรได้!”
"ถูกต้อง ถ้าคุณไม่โกง คิดเหรอว่าจะเอาชนะพวกเราได้!" เมื่อได้ยินการโต้เถียงของหวังเชิน เพื่อนร่วมทีมก็ทำตาม
“เฮ้อ!” จ้าวหยู่ส่ายหัวและพูดว่า “หัวหน้าทีมหวัง ฉันล่ะยอมคุณจริง ๆ ฉันคิดว่าตัวฉันไร้ยางอายแล้ว แต่คุณดูเหมือนจะไร้ยางอายมากกว่าฉันซะอีก ใครกันแน่ที่พบเบาะแสก่อน ใครกันแน่ที่พบว่าฆาตกรในคดีนี้คือฉิวซินหยาง? ใครกันแน่ต่อสู้กับการยิงปะทะกับฉิวซินหยาง และใครกันแน่ที่ใส่กุญแจมือเขา? คุณไม่รู้จริง ๆ เหรอ?
“‘เร็วเข้า เปลี่ยนกุญแจมือมาเป็นของเรา!’” จ้าวหยู่ทำหน้าล้อเลียน ในขณะที่เขาเยาะเย้ยสิ่งที่หวังเชินเหยาพูดด้วยน้ำเสียงที่น่าเกลียด “‘ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะเกิดอะไรขึ้น แต่ให้จำไว้ว่า เราจับผู้ต้องสงสัยได้ก่อน โอเคไหม? เร็วเข้า! เดี๋ยวพวกสถานีหรงหยางก็มาหรอก! ฮ่าฮ่าฮ่า เหลือจะเชื่อจริง ๆ!”
จากนั้น จ้าวหยู่ก็ชูนิ้วกลางให้อีกฝ่าย
"หนอย!" หวังเชินเหยากำลังเดือดดาลและตัวสั่นด้วยความโกรธ
“หัวหน้าทีมหวัง!” เหมี่ยวอิงพูดอย่างชอบธรรม “ฉันไม่สนใจว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างคุณกับจ้าวหยู่ ฉันสนใจแค่การเดิมพันของเราเท่านั้น ตอนนี้คุณแพ้แล้ว รีบทำให้เพื่อนร่วมทีมของคุณยอมรับความผิดพลาดของพวกเขาซะ!”
“นี่มัน…” เพื่อนร่วมทีมของเขารู้สึกอับอาย
“อะไรนะ? นี่พวกคุณจะกลับคำพูดงั้นเหรอ?” จ้าวหยู่พูดติดตลกอย่างยียวน “ใครกันน้าที่เป็นคนบอกว่าอยากให้ทำให้สิ่งต่าง ๆ น่าสนใจมากขึ้น? ทั้ง ๆ ที่กล้าเสนอหน้าพูดออกมาอย่างนั้น แต่กลับไม่กล้าทำตามที่เดิมพันกันไว้? คุณก็ว่าอย่างนั้นมั้ย? ผู้กองเหมี่ยว”
จ้าวหยู่หันไปหาเหมี่ยวอิงและหัวเราะเบา ๆ
“ฉันก็หลงคิดว่าหัวหน้าทีมหวังจะเป็นคนที่แข็งแกร่ง เขาคงจะรับหมัดทั้งสามของคุณได้อย่างสบาย ๆ แต่ดูเหมือนฉันคงจะคิดผิด คุณอย่าไปทำอะไรเขาเลย มันคงจะแย่มากถ้าคุณจะทำให้ใบหน้าของเขาเสียโฉม!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” ถึงคราวที่แผนกสืบสวนหรงหยางเป็นฝ่ายเอาคืน ทุกคนต่างหัวเราะ นั่นยิ่งทำให้อีกฝ่ายอับอายมากขึ้นไปอีก
แต่การเดิมพันก็คือการเดิมพัน หวังเชินเหยาไม่มีทางเลือก เขาโบกมือให้กลุ่มคนที่อยู่ข้างหลังเขา พวกเขาก้มลงต่อหน้านักสืบจากแผนกสืบสวน และเรียกพวกเขาว่า
"พวกเราผิดไปแล้วครับ รุ่นพี่..."
“หา? หูฉันมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า” จ้าวหยู่เอามือป้องหูของเขาและพูดอย่างยียวน “นี่ทำอย่างขอไปทีรึเปล่า? เอาใหม่ คราวนี้พูดให้ดังหน่อย!!”
"นี่คุณ!" หวังเชินเหยากำลังจะเป็นบ้า เขาต้องการจะเข้าไปชกหน้าจ้าวหยู่ให้รู้แล้วรู้รอด
“พอได้แล้ว จ้าวหยู่!” เหมี่ยวอิงโบกมือทันทีและพูดกับหวังเชินเหยาว่า “หัวหน้าทีมหวัง ฉันจะยกหนี้ที่คุณต้องจ่ายให้ฉัน ตอนนี้คุณไม่มอะไรติดค้างกันแล้ว
อันที่จริง เหตุผลที่เราหยุดคุณที่นี่ไม่ใช่เพราะทำให้คุณอับอาย แต่ฉันทำเพื่อให้คุณจดจำเรื่องในวันนี้เอาไว้ และหวังว่าพวกคุณจะไม่ทำกับคนอื่นอีก!”
จากนั้น เหมี่ยวอิงก็สะบัดบ็อบอย่างเชิด ๆ และนักสืบทั้งหมดก็กลับไปที่ห้องทำงานของทีม A พร้อมเพรียงกัน
“เฮอะ! ทีหน้าทีหลังจะท้าพนันกับใคร ช่วยประเมินตัวเองก่อนนะว่าสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้” จ้าวหยู่กล่าวอย่างเย้ยหยัน “จำไว้ ถ้าคุณเห็นใครจากแผนกสืบสวนหรงหยางอีก ให้รีบ ๆ ไปให้พ้นหน้าพวกเราจะดีกว่า!”
“กรอด…” หวังเชินเหยากัดฟัน ความอัปยศในวันนี้ เขาจะไม่มีวันลืมมันเด็ดขาด เขาสาบานในใจว่า
‘จ้าวหยู่ เหมี่ยวอิง พวกแกระวังตัวให้ดี อย่าได้เผลอทำพลาดล่ะกัน ฉันจะเอาคืนพวกแกอย่างสาสมแน่!!”
…
หลังจากที่พวกเขาปิดประตู ทุกคนในห้องทำงานของทีม A ก็ส่งเสียงไชโย พวกนักสืบต่างไฮไฟว์ให้กัน พวกเขาดูมีความสุขมาก นับตั้งแต่คดีมือที่หายไป พวกเขาผ่านขุมนรกเพื่อไขคดีสำคัญหลายคดี และทุกคดีก็คลี่คลายอย่างสวยงาม
ตอนนี้แผนกสืบสวนหรงหยางกำลังได้รับชื่อเสียงและดึงดูดความสนใจของทุกฝ่าย พวกเขาไม่เพียงแค่ไขคดีลึกลับอย่างคดีธุรกรรมอำพรางได้เท่านั้น แต่พวกเขายังไขคดีได้เสร็จก่อนเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากสาขาอื่น ๆ จะทำได้อีกด้วย ทำให้พวกเขาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
แน่นอนว่าต้องมีงานเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อเฉลิมฉลอง
เนื่องจากเหมี่ยวอิงได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าแผนก เธอจึงเป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงอาหารค่ำ เธอมีความสุขที่พวกเขาไขคดีได้ ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจพาทุกคนไปที่ร้านอาหารชั้นสูงเพื่อทานอาหารรสเลิศ
ในตอนแรกจ้าวหยู่ และนักสืบคนอื่น ๆ ไม่เชื่อในสิ่งที่เหมี่ยวอิงพูด พวกเขาคิดว่าเธอคงจะพูดเว่อร์ ๆ และจะพาไปกินร้านอร่อยที่พบเห็นได้ทั่วไป
แต่เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปในร้านอาหารกับเหมี่ยวอิง สิ่งที่เห็นได้ทำให้ก็ทำให้พวกเขาตกตะลึง
ชื่อร้านอาหารเป็นภาษาต่างประเทศ และทุกคนไม่รู้ว่ามันชื่ออะไร นอกจากนี้บริกรในร้านอาหารยังเป็นชาวต่างชาติทั้งหมด สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือจ้าวหยู่จำสถานที่นี้ได้
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ เหลียงว่านเฉียนได้เชิญเขามาที่นี่ พร้อมกับมอบบัตรธนาคารที่มีเงินแปดล้านหยวนให้กับเขา
แม้เขาจะไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวร้านนี้มากนัก แต่จ้าวหยู่ก็รู้ว่าร้านอาหารแห่งนี้ไม่ใช่ใครก็ได้ที่สามารถเข้ามาใช้บริการได้ แม้ว่าจะไม่มีชื่อเสียงเท่ากับร้านเหลาชิน เหรินเจีย แต่ราคาเฉลี่ยของอาหารก็สูงกว่าร้านเหลาฉิน เหรินเจียหลายเท่า
ในบรรดานักสืบ บางคนรู้เรื่องนี้ดี หลันโบบอกว่าร้านอาหารยุโรปแห่งนี้ต้องจองล่วงหน้า ตามข่าวลือ คุณต้องทำการจองล่วงหน้าเป็นเดือน ๆ ถึงจะเข้ามาทางที่นี่ได้ ผู้ที่สามารถรับประทานอาหารที่นั่นได้คือผู้ที่ได้รับความเคารพนับถืออย่างสูง!
"ว้าว!"
ด้วยคำอธิบายของหลันโบ เหล่านักสืบมองไปที่เหมี่ยวอิงด้วยสายตาแห่งเปลี่ยนไปจากเดิม ก่อนหน้านี้เหมียวอิงได้ซื้ออาหารเย็นจากร้านเหลาชิน เหรินเจียให้ทุกคนโดยไม่ตั้งใจ แค่นี้ก็น่าเหลือเชื่อมากแล้ว
นอกจากนี้ คนจากแผนกสืบสวนก็มีจำนวนมาก ถ้าจะให้ทุกคนได้กินอาหารในร้านนี้ เธอไม่ต้องจองล่วงหน้าเป็นปีเลยงั้นเหรอ?
ในขณะที่ทุกคนยังคงตกตะลึง เหมี่ยวอิงเดินเข้าไปในร้านและจัดการทุกอย่างอย่างเรียบง่าย เธอได้พาทุกคนขึ้นไปยังชั้นบนสุด เมื่อทุกคนขึ้นไปถึงชั้นบนสุดก็ตกตะลึง สวนบนชั้นดาดฟ้ามีโต๊ะแบบอังกฤษตัวยาว โต๊ะยาวประมาณสิบเมตร เหมือนกับโต๊ะในปราสาทยุโรป ที่ด้านข้างมีชาวต่างชาติกว่าสิบคนที่แต่งกายด้วยชุดยุโรปยืนอยู่ข้าง ๆ พร้อมที่จะให้บริการ
จ้าวหยู่กลืนน้ำลายและมองไปที่เหมี่ยวอิง เธอกำลังคุยกับหนุ่มหล่อที่ดูเหมือนผู้จัดการร้านอาหาร พวกเขาดูเหมือนจะรู้จักกันดี หนุ่มหล่อคนนั้นดูดีและสุภาพมาก พวกเขาต่างพูดคุย และหัวเราะอย่างร่าเริง
เมื่อทุกคนนั่งลง พนักงานเสิร์ฟก็เสิร์ฟอาหารต่าง ๆ ทีละจาน ว่ากันว่าอาหารเหล่านั้นปรุงโดยหัวหน้าพ่อครัว ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบหรือฝีมือการทำอาหารก็อยู่ในระดับโลก
เมื่อมองไปที่จานที่ตกแต่งอย่างวิจิตร พวกเขาก็หยุดนิ่งและทำอะไรไม่ถูก
เหมี่ยวอิงจึงสาธิตวิธีใช้ผ้าเช็ดปากและจานอาหารและอื่น ๆ ให้ทุกคนได้ดู
“ว้าว…” สุดท้ายก็มีกุ้งล็อบสเตอร์ตัวใหญ่ยักษ์มาเสิร์ฟ หลี่เบ่ยหนีห้ามตัวเองไม่ไหว เธอถามด้วยความประหลาดใจ “หัวหน้าทีมเหมี่ยว ไม่สิ ผู้กองเหมี่ยว มันตัวใหญ่มากเลย แล้วทั้งหมดนี้ราคาเท่าไหร่คะ?”
“ฮิฮิ…” เหมี่ยวอิงยิ้มจาง ๆ และพูดกับทุกคนว่า “คืนนี้เป็นงานเลี้ยงอาหารค่ำของเรา แน่นอนว่าเราต้องกินอะไรดี ๆ สิ กินกันเถอะ ไม่ต้องห่วงเรื่องอื่น!” จากนั้นเหมี่ยวอิงดีดนิ้วและบอกบริกรที่อยู่ข้างหลังเธอว่า “ช่วยเปิดเรมี่ มาร์ติน ปี 2000 สองขวดให้พวกเราด้วยค่ะ! ขอบคุณ!”
“อะไรนะ!?” เหลียงฮวนถามจางจิงเฟิงเบา ๆ ว่า “ผู้กองเหมี่ยว ไม่ได้พูดว่าเรมี่ มาร์ตินใช่ไหม!?”
จางจิงเฟิงพยักหน้าและส่ายหัวอย่างไม่เป็นธรรมชาติ เขายังวาดไม้กางเขนบนหน้าอกและพึมพำกับตัวเองว่า
“อา... ตอนนี้... ฉันได้ใช้ชิวิตอย่างคุ้มค่าแล้ว...”