ตอนที่ 1379 ถึงเวลาตื่น
“เทียนอี้!” ตอนนี้เย่ว์หยางได้แต่โกรธ ถ้าไอ้การประลองชะตามาเร็วกว่านี้อย่างนั้นจื้อจุนก็คงไม่....
เย่ว์หยางโกรธและแผ่รังสีฆ่าฟันจนแทบควบคุมตนเองไม่ได้
เขาลืมเลือนทุกอย่าง
ตอนนี้มีเพียงความคิดเดียว นั่นคือเข่นฆ่าศัตรู
มีร่างเงาออกมาจากส่วนลึกของเส้นทางโบราณเดินออกมาจนกระทั่งถึงหน้าเย่ว์หยาง นี่คือบุรุษวัยกลางคนที่หน้าตาเต็มไปด้วยเสน่ห์นิสัยใจคอของเขาไร้ที่ติแม้คนจุกจิกที่สุดในโลกก็ยังหาข้อผิดพลาดในตัวของเขาไม่ได้ บุรุษวัยกลางคนนี้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ทุกอย่าง หากไม่มีการเปรียบเทียบเย่ว์หยางคงไม่เปิดเผยข้อบกพร่องมากมาย แต่ทันทีที่เขายืนอยู่ข้างหน้า เขากลับมีข้อบกพร่องผุดขึ้นมามากมาย
ตัวอย่างเช่น ใบหน้าที่หล่อมาก แต่ไม่ใช่ราชาเหนือราชาในโลก
อีกตัวอย่าง บุคลิกแข็งกร้าวเกินไป ยังเป็นผู้ใหญ่ไม่มากพอ
อีกตัวอย่าง อารมณ์ของเขามิอาจสงบลงได้
ข้อบกพร่องผุดขึ้นมามากมาย
อยู่ต่อหน้าบุรุษที่ทำให้แม้แต่เทพก็ยังถอนหายใจ เย่ว์หยางรู้สึกว่าตนเองเป็นวัยรุ่นใจร้อนมีชีวิตที่ประมาทบุ่มบ่ามวู่วาม
บุรุษวัยกลางคนผู้นี้มีความสมบูรณ์แบบไม่มีข้อบกพร่องแต่อย่างใดเขาเชิดหน้าดวงตามีแววฉลาดมองดูเย่ว์หยาง เขายิ้มมุมปากอย่างเป็นมิตร “เจ้าคือเย่ว์ไตตันใช่ไหม?เป็นเด็กหนุ่มที่ไม่เลวเลย เห็นเจ้าแล้วทำให้ข้านึกถึงตัวเอง ในช่วงที่เยาว์วัยและมีพลังนั้น ข้าก็เหมือนเจ้า เชื่อว่าอนาคตสามารถสร้างกันได้ด้วยหนึ่งสมองสองมือทุกสิ่งสามารถเกิดขึ้นได้ด้วยความพยายามอย่างไม่หยุดยั้งลดละด้วยเจตจำนงที่ไม่ยอมแพ้ เจ้าสามารถป้องกันแดนสวรรค์ได้ทั้งหมด ความจริงนี่คือวิถีชีวิตยามเยาว์วัยที่ผ่านมา จนกระทั่งโตเป็นผู้ใหญ่...”
“ผู้ใหญ่บัดซบน่ะสิ!” เย่ว์หยางโกรธ และผมของเขาชี้ชัน เขากัดฟันจ้องมองศัตรู“ข้ารู้แต่เพียงว่าข้าต้องบดขยี้เจ้าให้ได้!”
“ปฏิกิริยาของเจ้าอยู่ในความคาดหมายของข้าอยู่แล้ว” บุรุษวัยกลางคนผู้สมบูรณ์แบบยิ้มเล็กน้อย
“เทียนอี้! เจ้าแค่เอาชนะเขาแต่อย่าฆ่าเขา ข้างหลังเขาต้องมีเทพพิทักษ์ระดับสูง”เทพพิทักษ์เขากวงหมิงชูมือให้ดูเพลิงอมฤต
บุรุษวัยกลางคนผู้สมบูรณ์แบบมาถึงสนามต่อสู้ทันเวลานั้นก็คือนักสู้ผู้ลึกลับที่สุดในแดนสวรรค์
เจ้าตำหนักสูงสุดเทียนอี้
เขาไม่เพียงแต่มีคุณสมบัติทั้งหมดที่คนแข็งแกร่งและฉลาดจะพึงมี แต่เขายังเป็นอัจฉริยะที่ดีที่สุดในแดนสวรรค์มานานนับหมื่นปีเขาเป็นคนที่บ้าการฝึก เขาฝึกฝนอย่างบ้าคลั่งมามากกว่าหมื่นปี เขามีความอดทนสามารถอดทนต่อเรื่องร้อนรนในโลกได้ทั้งหมดเขาเป็นที่สนใจจากชื่อเสียง ความมั่งคั่งและความอำมหิตในชีวิตของเขามุ่งมั่นอยู่กับการฝึกฝน ไม่มีความวอกแวก ไม่มีอารมณ์ที่กลัดกลุ้ม เขาสามารถมองผ่านสิ่งล่อใจนับไม่ถ้วนและความสุขอีกนับไม่ถ้วนเนื่องจากความเดียวดายยากลำบากในการทำความเข้าใจรู้แจ้งและสร้างความก้าวหน้าสะท้อนให้เห็นว่าเขายังไม่พอใจกับตำแหน่งผู้แข็งแกร่งที่สุดเขากระตุ้นเตือนตนเองทั้งกลางวันและกลางคืน ความมุ่งมั่นของเขาเทียบได้กับภูเขากวงหมิง หลังจากเสร็จสิ้นขั้นตอนสุดท้ายของการประลองชะตาเขาจะเลื่อนระดับไปสู่เป้าหมายเทพจอมราชันย์ และจะก้าวข้ามโลกนี้เข้าสู่ขอบเขตระดับใหม่
ศัตรูที่ยืนอยู่ตรงข้ามเย่ว์หยางคือคู่ต่อสู้ที่เขาจะต้องเผชิญหน้าในการประลอง
ถ้าเย่ว์หยางยังคงมีเหตุผลสำนึกอย่างนั้นคงมีความกลัวแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขาโกรธ
แทบควบคุมตนเองไม่ได้
เย่ว์หยางไม่คิดถึงข้อบกพร่องของตนเองแม้แต่น้อย ไม่คิดหวาดกลัวศัตรู มีความคิดในใจของเขาประการเดียวคือต้องบดขยี้ศัตรูให้เละทุบศัตรูให้หมดสภาพ!
“ข้าขอชมเจ้า”เจ้าตำหนักสูงสุดเทียนอี้มองเย่ว์หยางด้วยความเป็นมิตร “เจ้าไม่ต้องทำอะไรก็มีทุกอย่างชื่อเสียง ผลกำไร ความรัก ฯลฯ มีเข้ามาหาเจ้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เทพเจ้ามอบความเข้าใจและความสามารถที่ดีที่สุดในโลกให้เจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องฝึกฝนหนักไม่จำเป็นต้องพากเพียรอย่างหนัก ไม่ต้องเสียสละอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว เจ้าสามารถมีสิ่งต่างๆ มากมายที่คนอื่นได้แต่หวังและฝันใฝ่ บางทีเจ้าอาจไม่สนใจสิ่งเหล่านี้เลย อย่างเช่นเจ้าไม่มีความตั้งใจที่จะช่วยหอทงเทียนและเจ้าไม่ได้ตั้งใจจะช่วยหอทงเทียนตั้งแต่แรก แต่เทพเจ้าก็ยังมอบหมายงานนี้ให้เจ้าถูกแล้วเจ้าเป็นที่รักของสวรรค์ ความโชคดีของเจ้าแม้แต่เทพในสวรรค์ก็ยังรู้สึกอิจฉา ดังนั้นข้าจึงอิจฉาเจ้ามากถ้าเป็นไปได้ข้าอยากจะเปลี่ยนสลับกับเจ้าจริงๆ”
“.....” เย่ว์หยางไม่พูดดวงตาของเขาแดงก่ำ พลังเทพและรังสีฆ่าฟันของเขาเพิ่มเป็นสิบล้านเท่ารอช่วงเวลาระเบิดครั้งสุดท้าย
เขาไม่ได้ฟังด้วยซ้ำว่าศัตรูพูดอะไร
มีความคิดเดียวในใจ
รวบรวมพลังเตรียมพร้อมกับการโจมตีอย่างรุนแรงที่สุด
เจ้าตำหนักสูงสุดเทียนอี้ยิ้ม “เจ้าไม่เคยประสบกับความพ่ายแพ้ใดๆ เจ้าจะสูญเสียความเป็นตัวเองเย่ว์ไตตันผู้ได้รับพรจากสวรรค์ ไม่ได้สร้างผลงานจากความพยายามของเจ้าเอง ข้ามีความสุขที่อีกครึ่งหนึ่งของการประลองชะตาเป็นเจ้าไม่ใช่จักรพรรดิไร้เทียมทานจิ๋วซื่อ ไม่ใช่นางพญาผู้พิชิตเฟ่ยเหวินหลี”
เย่ว์หยางก้มหน้าและกำหมัดแน่นต่อหน้าเขา
เพราะความโกรธของเขา เพลิงอมฤตนับไม่ถ้วนที่เผาผลาญอยู่ในร่างกายของเขาลุกพรึ่บเปลวพลุ่งขึ้นท้องฟ้าก่อเป็นกองเพลิงอมฤตสวยงาม
“ขาดสำนึกเหตุผลโดยสิ้นเชิงหรือ? จิตใจเปราะบางเหลือเกิน!” เจ้าตำหนักสูงสุดเทียนอี้ส่ายหัว “คนหนุ่มก็อย่างนี้”
“ฝ่าบาท” พวกจื้อไจ้เทียนมาถึง
เขากับอีกสองคนอยู่ในชุดเทพสีทองโค้งคำนับอยู่ด้านหลังเทียนอี้
เจ้าตำหนักสูงสุดเทียนอี้ไม่ได้มองกลับด้านหลังเขาแค่โบกมือ “ฆ่าสตรีของเย่ว์ไตตันทั้งหมดข้าต้องการให้คำแนะนำที่จริงใจที่สุดแก่บุรุษหนุ่มคนผู้ถูกความรักกักขังไว้นั่นคืออุปสรรคใหญ่ที่สุดของการฝึกฝนและความก้าวหน้าในอนาคต เมื่อเขาเติบโตขึ้นข้าเชื่อว่าเขาจะต้องขอบคุณข้าสำหรับความพ่ายแพ้ในวันนี้!”
จื้อไจ้เทียนและสองสหายรีบคำนับรับคำ “ขอรับ”
เสวี่ยอู๋เสีย และองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนมาถึงด้านหลัง
พวกนางมองหน้ากันเองและพยักหน้าเข้าใจกันโดยปริยายเสวี่ยอู๋เสียก้าวออกมายืนด้านข้างเย่ว์หยางและมองไปที่ศัตรูฝ่ายตรงข้ามอย่างเยือกเย็น “ต้องการให้ข้ากล่าวต้อนรับหรือไม่? ลุงๆผู้ดุร้ายทั้งหลาย!”
“สาวน้อย, เจ้ายอดเยี่ยมโดดเด่น”เจ้าหนักสูงสุดเทียนอี้ห้ามพวกจื้อไจ้เทียนที่กำลังโกรธเขาไม่รู้สึกว่าเสียเกียรติแต่อย่างใด เขามองไปทางเสวี่ยอู๋เสียอย่างสง่างามและพยักหน้าช้าๆ “ข้าเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกโกรธความเสียใจและความสุขของมนุษย์ ผู้คนมีชีวิตเพื่อสิ่งนี้ หากพวกเขาสูญเสียเพียงเล็กน้อยพวกเขาจะรู้สึกเจ็บปวด แต่พูดตามตรงนี่เป็นสิ่งที่ไร้สาระและเปราะบางมากจริงๆ ตัวอย่างเช่นอารมณ์ความรักของมนุษย์ คำมั่นสัญญารักนิรันดร์ความรักที่อยู่เหนือชีวิตและความตายเหนือเสรีภาพอื่นใด แต่ในทันทีที่อารมณ์รุนแรงแบบนี้เกิดขึ้นมันสามารถทำให้ยอมตายเพื่ออีกฝ่ายได้โดยไม่ลังเลใจ สามารถทำให้พวกมนุษย์แสดงสีหน้าที่เกลียดชังดุร้ายได้ ไม่เป็นไร ถ้าไม่มีการปรุงแต่งบางคนอาจยืนหยัดได้นานกว่านี้หรืออาจจะนานกว่านั้นไม่กี่ปี แต่ถ้ามีผู้เข้มแข็งใช้วิธีบีบบังคับบงการแล้วจะเกิดอะไรขึ้น?”
“ความรักเปลี่ยนเป็นความชังได้ในทันทีใช่ไหม?” เสวี่ยอู๋เสียยิ้ม
“ถ้าจำเป็นก็อาจจะเร็วกว่านั้น” เจ้าตำหนักสูงสุดเทียนอี้พยักหน้า“นี่คือความรู้สึกของปุถุชน ตราบใดที่มีการรบกวนเพียงเล็กน้อยจะกลายเป็นเรื่องตลกตามธรรมชาติแน่นอนว่าการไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องตลกเช่นกัน”
“อารมณ์ความรู้สึกเป็นสิ่งที่น่าเบื่อมากเมื่อมองจากอีกมุมหนึ่ง” เสวี่ยอู๋เสียเห็นด้วยแต่นางส่ายหน้าอีกครั้ง “คนเรามีชีวิตที่น่าเบื่อ ถ้าไม่ทำอะไรที่น่าเบื่อเสียบ้าง ก็คงมิใช่มนุษย์ ข้าเข้าใจเป็นอย่างดีถึงเหตุผลที่ท่านถือตนเองว่าเป็นเทพที่เหนือกว่าดูถูกและเยาะเย้ยอารมณ์ที่เปราะบางของมนุษย์และรู้สึกถึงความเหนือชั้นกว่าของท่านอย่างเต็มที่ แต่สิ่งนี้หมายความว่ากระไร? ข้าบอกได้ว่าท่านไม่เข้าใจ พวกเด็กๆเล่นหินเล่นกรวดตามประสาก็ย่อมมีความสุขความสนุกตามประสาเด็กๆความรักความชังของมนุษย์ผู้ใหญ่ พวกเขาไม่มีความเข้าใจ ท่านไม่มีคุณสมบัติพอที่จะพูดอย่างไร้ความรับผิดชอบข้าต้องขอบอกว่าท่านเป็นเพียงเอาแต่ใช้ความคิดเห็นตนเองเป็นใหญ่”
“แผละๆๆๆๆ!”พวกองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนปรบมือสนับสนุนอย่างตื่นเต้น
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้เจ้าตำหนักสูงสุดผู้นี้แค่นเสียงยอมแพ้อย่างไม่เต็มใจนักแต่แค่เพียงเท่านี้ก็ทำให้พวกนางมีความสุขมากมายเพียงไหน
เจ้าตำหนักสูงสุดเทียนอี้ชะงักเล็กน้อยแต่เขาตอบสนองอย่างรวดเร็ว สีหน้าของเขายังไม่เปลี่ยนแปลง และเขายังคงพยักหน้าและยังยับยั้งอารมณ์โกรธได้ “บางทีเจ้าอาจจะพูดถูก แม่สาวผู้ฉลาดแล้วต่อไปเจ้าจะใช้อารมณ์ของเจ้าเพื่อต่อต้านการโจมตีที่กำลังจะมาถึงได้อย่างไร?แม่สาวผู้เป็นศูนย์รวมใจ? เจ้ายอมตายดีกว่ายอมแพ้ใช่ไหม?”
เสวี่ยอู๋เสียทำท่าครุ่นคิด “บางที ข้าคงต้องบอกว่ามีคนงี่เง่าคนหนึ่งกำลังฝันกลางวันอยู่ก็ได้”
ทันทีที่นางพูดจบ เจ้าเมืองโล่วฮัวที่ยืนฟังอยู่ข้างหลังหัวเราะลั่นอีกครั้ง
บรรยากาศตอนนี้ไม่เหมือนกับประลอง
เหมือนกับการโต้วาทีกันมากกว่า!
“ฝันหรือ?” เจ้าตำหนักสูงสุดเทียนอี้เมื่อได้ยินเขาขมวดคิ้วคำที่เขาไม่อยากได้ยินที่สุดก็คือ ‘ความฝัน’
“ความฝันมีหลายแบบ”เสวี่ยอู๋เสียเหยียดมือเรียวยาวขาวเหมือนหยกและกดเบาๆ ที่หลังหัวใจของเย่ว์หยาง ด้วยพลังและความคิดที่บริสุทธิ์ของนางทำให้ความโกรธและความแค้นของเย่ว์หยางสงบลงทีละน้อย “ประเภทหนึ่งก็คือความฝันที่จะออกนอกลู่นอกทาง บางคนที่เมื่อมีความฝันคิดว่าตนเองเดินมาถูกทางแล้วโดยไม่รู้ว่าตัวเองยังหลับอยู่ เขาตื่นขึ้นมาและพบว่าตนเองอยู่ในจุดที่คิดว่าตนเองอยู่ถูกที่ท่านคิดว่าฝันแบบนี้ไร้สาระหรือไม่?”
“ว่าไงนะ?” หน้าของเจ้าตำหนักสูงสุดเทียนอี้เปลี่ยนจนได้ความโกรธของเขาพุ่งออกมาในดวงตาเขากับมีแสงไฟฟ้าและมีพลังที่เหนือธรรมชาติแผ่ออกจากร่างของเขาโดยไม่ตั้งใจเพียงพอจะทำให้ภูเขาหลายพันลูกพังทลาย
“เมื่อท่านตื่นจากฝัน ข้าจะบอกความจริงท่านอีกครั้ง” รอยยิ้มของเสวี่ยอู๋เสียเต็มไปด้วยความเป็นมิตรเช่นกันแต่ในสายตาของศัตรูเป็นการเยาะเย้ยเหลือทน“บางทีท่านอาจดูถูกเขาและคิดว่าเขาเป็นคนโชคดี คนโง่ที่สวรรค์โปรดปรานเขาไม่ได้ใช้ความพยายามเลยสักนิด และทุกอย่างก็เสร็จสิ้นแค่เพียงปลายนิ้วสัมผัส แต่ความจริงก็คือเขาทุ่มเทไปไม่น้อยกว่าท่านและยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ได้แสวงหาทุกวิถีทางอย่างต่อเนื่องเหมือนท่าน ท่านคงไม่เคยได้ยินเรื่อง ‘แสดงความรู้โดยไม่ต้องถาม’ หรือไม่ท่านคิดว่ามหาเทพจะทำตาบอดกับคนอย่างนี้เชียวหรือ...”
บางทีเจ้าตำหนักสูงสุดเทียนอี้อาจได้ยินหรืออาจไม่ได้ยินคำพูดของเสวี่ยอู๋เสีย เขาก็ตื่นจากฝันแล้ว
เขายังคงอยู่ที่ทางเข้าจัตุรัสเวลา
แค่ก้าวออกมาข้างนอก
เหลียวมองกลับไป เขาเห็นสายตาเย็นชาของนางพญาเฟ่ยเหวินหลี
“เย่เมิ่ง!” เจ้าตำหนักสูงสุดเทียนอี้ไม่สามารถข่มความโกรธได้อีกต่อไปเขากัดฟันและสบถส่งเสียงลอดไรฟัน “นังแพศยา!”
**** *** ****