บทที่ 9 การไร้ขีดจำกัดที่สามารถเป็นไปได้
บทที่ 9 การไร้ขีดจำกัดที่สามารถเป็นไปได้
ทันทีที่เขาอ่านคำที่สร้างขึ้นอย่างมหัศจรรย์ภายในหน้าจอสีน้ำเงินจบ ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงก็จู่โจมเขาในสมองอีกครั้ง
แต่คราวนี้เขาไม่ได้ร้องไห้ออกมาหรือล้มลงเพราะเขาไม่ได้รู้สึกเศร้าเลยสักนิดเดียว
พูดได้ว่าความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นตรงศูนย์กลางของสมองของเขาหายไปทันทีที่มันเกิดขึ้น
'ห๊ะ นี่มันอะไรกัน'
ดวงตาของรอยเบิกกว้าง
มีมากกว่าหนึ่งความทรงจำที่ลอยอยู่ในใจของเขา
ก่อนที่เขาจะรู้ตัว ข้อมูลจำนวนมากเกี่ยวกับระบบที่แข็งแกร่งที่สุด และสัญญาลักษณ์ได้เจาะเข้าไปในสมองของเขา
ระบบคือกุญแจสำคัญของเขาที่จะทำให้เขาแข็งแกร่งอย่างรวดเร็ว
เขาแค่ต้องเลื่อนระดับเท่านั้น
ในการเลื่อนระดับ เขาต้องการคะแนนประสบการณ์
เขาสามารถหามันมาได้โดยการฆ่าทุกสิ่งที่มีชีวิต
แม้แต่การกระทืบมดให้ตายก็ยังทำให้เขาได้รับ XP ในระดับปัจจุบัน!
ทุกครั้งที่เลเวลอัพ เขาจะได้รับแต้มทักษะและแต้มสถานะ
คะแนนทักษะสามารถใช้เพื่อเรียนรู้ทักษะใดๆ แม้แต่คาถา ในขณะที่แต้มสถานะจะเพิ่มคุณลักษณะของร่างกาย เช่น ความแข็งแกร่ง ความเร็ว ความแรง และอื่นๆ
สำหรับสัญญาลักษณ์แห่งเงามันเป็นรางวัลของเขาสำหรับการสังหารครั้งแรก
มันเหมือนกับชิ้นส่วนพลังวิญญาณเวอร์ชันที่ดีกว่า มันไม่ใช่แค่สามารถรวมเข้ากับร่างกายของเขาเท่านั้น แต่มันได้รวมเข้ากับจิตวิญญาณของเขาด้วย ทำให้เขาได้รับพลังที่จะเปลี่ยนไปสู่อีกร่างหนึ่ง หากเขาเลือกที่จะเปลี่ยนวิญญาณ แม้ว่าความสามารถนี้จะเป็นไปได้ในโลกนี้ แต่มันเป็นเวทมนตร์ต้องห้าม และเพื่อที่จะทำเช่นนั้นเจ้าต้องกลายเป็นผู้วิเศษ
อย่างไรก็ตาม สัญญาลักษณ์แห่งเงาไม่เหมือนกับชิ้นส่วนพลังวิญญาณตรงที่สัญญาลักษณ์แห่งเงาไม่ได้ให้ทักษะหรือพลังวิเศษใดๆ แก่เขา
เขายังคงอ่อนแอเช่นเดิม…
ในแง่ดี มันทำให้เขามีโอกาสวิวัฒนาการได้อย่างไม่รู้จบ
ชื่อ: รอย
อายุ: สิบหกปีเก้าเดือน
แต้มประสบการณ์: 1
ระดับพลัง: การฝึกปรือร่างกายระดับ 0 (0/10 EXP)
สุขภาพ: 2
มานา: 0
ความแข็งแกร่ง: 3.5
ความแข็งแกร่ง: 1.5
ความคล่องตัว: 1
การรับรู้: 5.5
ความอดทน: 1
การป้องกันทางกายภาพ: 0.2%
การสร้างความเสียหายทางเวทมนตร์: 0.1%
ค่าสถานะเฉลี่ยของมนุษย์ที่พัฒนาได้เต็มที่ในโลกนี้คือ 5 หมายความว่าเขามีสุขภาพแข็งแรงน้อยกว่าเด็กในวัยเดียวกันมาก
เขายังอ่อนแอกว่าคนรับใช้ในคฤหาสน์ของเขา
สำหรับความแข็งแกร่งของเขา... มันจะดีกว่าที่จะไม่พูดถึงมัน
ความว่องไวและความอดทนของเขา… มันน่าสมเพชยิ่งกว่าความแข็งแกร่งของเขาเสียอีก
ความว่องไวเป็นตัวกำหนดว่าเขาสามารถเคลื่อนที่ได้เร็วแค่ไหน
รอยสงสัยว่าทำไมเขาถึงช้าเหมือนหอยทาก แต่ตอนนี้มันสมเหตุสมผลแล้วสำหรับเขาแล้ว ความว่องไวของเขาต่ำกว่าค่าเฉลี่ยสี่จุด ด้วยการเดินเท้าความเร็วของเขาดังหอยทานเท่านั้น เขาอายุ 16 ปีแต่ความเร็วของเขาแย่ยิ่งกว่าทารกที่พึ่งหัดเดิน เขาเป็นดังคนชราที่ใกล้จะสิ้นอายุขัย
ความอดทนเป็นตัวกำหนดว่าความเสียหายที่จะได้รับนั้นจะมากเพียงใด ไม่ว่าจะเป็นทางเวทมนตร์หรือทางกายภาพ และบางทีเขาสามารถลบล้างได้โดยไม่ต้องทำอะไรเลยด้วยซ้ำ
เขามีความอดทนไม่มากนัก
ดังนั้นแม้แต่เวทมนตร์รักษาก็เป็นอันตรายต่อเขา เนื่องจากมันแผ่ความร้อนออกมามากพอที่จะทำให้เขาถูกไฟลวกได้ บุคคลทั่วไปมีค่าป้องกันความเสียหายเวทมากพอที่จะไม่ต้องกังวลกับผลข้างเคียงของการรักษาครั้งใหญ่ แต่รอยไม่สามารถทนได้
ไม่น่าแปลกใจที่เคานต์ไม่เคยเรียกนักเวทย์มารักษาของเขา
หากใช้เวทมนตร์รักษาที่แข็งแกร่งกับเขา เขาจะตาย และเวทมนตร์รักษาที่อ่อนแอก็ไม่สามารถรักษาเขาได้อย่างสมบูรณ์ และยังสร้างปัญหาใหม่ให้กับเขาอีกด้วย!
แม้ว่าสถานะของเขาจะห่วยแตกแต่เขาก็มีความสุขที่ได้เห็นพวกมันราวกับว่าเขาเป็นพ่อที่ออกไปซื้อนมให้ลูกเป็นเวลา 3 ปีที่แล้ว และรู้สึกผิดจึงได้กลับบ้านไปพบลูกชายที่โตแล้วและยังคงรอคอยเขาอยู่
ใบหน้าเคร่งเครียดของรอยแตกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อเขาแสยะยิ้มกว้าง แต่อมีเรียมองไม่เห็นรอยยิ้มบ้าๆ บนใบหน้าของเขาขณะที่เธอยืนอยู่ข้างหลังเขา
โชคดีที่เธอไม่เห็ฯ ไม่งั้นเธอคงรำคาญ ใครจะอยากเห็นชายร่างอ้วนจ้องมองอากาศว่างเปล่าด้วยดวงตาที่แทบจะถลนออกมานอกเบ้าและยิ้มโดยไม่มีเหตุผลอย่างกับคนบ้า?
ทำไมอมีเรียถึงยืนห่างจากรอยเล็กน้อย ซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่มีความสมดุลในการยืนและอาจล้มลงได้ทุกเมื่อ?
นั้นเป็นกฎของจักรวรรดิที่ให้ผู้รับใช้ของขุนนางยืนหลังเจ้านายของตนสามถึงสี่ก้าว
แต่เนื่องจากอมีเลียเป็นผู้อยู่ใกล้ชิดเขา เขาจึงห้ามไม่ให้เธอยืนห่างจากเขาเกินสองก้าว
ถึงกระนั้น เธอก็ปฏิบัติตามกฎของจักรวรรดิทุกครั้งที่เธอออกไปเที่ยวกับรอย เพื่อไม่ให้เขาลำบากในการช่วยเธอให้พ้นจากการลงโทษ หากมีคนพบเห็นพวกเขาเดินเคียงข้างกันและรายงานเรื่องนี้ต่อเคานต์
'ข้ากังวลมากไปก็เปล่าประโยชน์'
รอยรู้สึกหดหู่ใจจริง ๆ หลังจากคิดว่าเขาไม่มีนิ้วทองคำ
เพราะเขาไม่มีจุดเริ่มต้นที่ดีและขาดความสัมพันธ์กับมานา เขามั่นใจว่าอนาคตของเขาจะเต็มไปด้วยอันตรายและต้องทำงานหนักแน่นอน
เขายังรู้ด้วยว่าการทำงานจนเหลือแกระดูก มันจะผลักดันเขาไปสู่ระดับเริ่มต้นของอัศวิน นั่นจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อเขามีพรสวรรค์ในการเป็นนักดาบ
หากไม่แล้ว เขากำลังคิดที่จะเดินบนเส้นเชือกเส้นเล็กโดยมีความตายอยู่ข้างหน้าและแสวงโชคลาภโดยการออกผจญภัย
โดยพื้นฐานแล้ว เขาวางแผนที่จะเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงเพื่อหยิบฉวยเอาสมบัติที่ซ่อนอยู่ในป่าอันเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาด
เขารู้ตำแหน่งของชิ้นส่วนพลังวิญญาณที่ตัวละครในนิยายยังหาไม่พบ เขาจะไม่เอาทุกอย่างจากตัวละครหลักและฮาเร็มของเขา แต่เขาจะไม่ให้เหลือแม้แต่ชุดชั้นในหรือกางเกงชั้นในสำหรับพวกตัวโกงและตัวร้ายตามลำดับ
การครอบครองสมบัติของบุตรแห่งสวรรค์และพรรคพวกมากเกินไปอาจนำไปสู่ความตาย ซึ่งจะนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่โลกในอนาคตตามที่เขารู้ และทำให้ความรู้ทั้งหมดที่มีเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอนาคตไร้ประโยชน์อีกต่อไป
แต่วายร้ายและตัวร้ายต้องตายด้วยน้ำมือของตัวเอกอย่างไร้ความปรานี
เนื่องจากพวกมันมีสมองในการทำทุกอย่างด้วยความเลวร้าย เก็บมะเขือยาวไว้ในกางเกงไม่ได้ และชอบแสวงหาความตายวันเว้นวัน พวกเขาจึงอายุสั้น
รอยไม่ได้รู้สึกผิดที่จะเอาสิ่งที่สมควรจะเอาเป็นไป เพราะในสายตาของเขาพวกมันมีไว้เพื่อยั่วยุตัวเองในยามที่เขาอ่อนแอ และต้องมาตายในภายหลังด้วยน้ำมือของคนที่พวกเขาดูถูก
รังก็อบลินเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยสมบัติเพียงแห่งเดียวที่ต้องใช้คนหลายคนก็สามารถเข้าไปได้
รอยได้วางแผนที่จะไปที่นั่นแล้ว เนื่องจากมันอยู่ใกล้เคาน์ตีมากที่สุดและได้ซ่อนชิ้นส่วนพลังวิญญาณที่สามารถมอบพลังป้องกันอันยิ่งใหญ่แก่ผู้ที่ผสานกับมันได้ จากการโจมตีทั้งทางกายภาพและทางเวทย์มนตร์
'ตอนนี้ข้าไม่มีแค่หนึ่งนิ้วทองแต่เป็นสองนิ้วทองคำ ข้าไม่จำเป็นต้องทำตามแผนบ้าๆ ของข้าที่มีโอกาส 50% ที่จะทำให้ตัวเองเสียชีวิตด้วยน้ำมือของสัตว์อสูรก็อบลิน ซึ่งเป็นระดับที่อ่อนแอที่สุดในดินแดนตะวันตกอันไกลโพ้นนี้'
ความปรารถนาอันแรงกล้าฉายชัดในดวงตาของเขา
'แต่ข้ายังคงต้องไปที่นั่นเพราะชิ้นส่วนพลังวิญญาณ ที่ส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถถูกทะลุทะลวงได้นั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าจะยอมแพ้'
วันที่ 13 เดือนหก จนถึงวันที่ 7 เดือน 9 บุตรแห่งสายน้ำจะไปที่นั่นเพื่อรับมัน นั่นหมายความว่า... เขายังเหลือเวลาอีกประมาณสามเดือนที่จะไปเอามันมาใช้เอง
'ในเวลาสามเดือน ข้าต้องแข็งแกร่งขึ้นพอที่จะปราบก็อบลินให้ได้'
รอยหยุดนิ่งนานเกินไปจนทำให้อมีเลียกังวล
“ท่านเหนื่อยแล้วหรือนายน้อย ท่านอยากกลับห้องไปพักผ่อนไหม” เธอถาม.
“ไม่ ข้ายืนเฉยๆ ไม่ใช่เพราะข้าเหนื่อย แต่เพราะข้ากำลังชื่นชมทิวทัศน์อยู่”
รอยหันไปหาเธอและเอามือไผล่หลัง
“แม้ว่าข้าจะโตมาภายใต้การดูแลของเจ้า แต่คราวนี้เจ้าอ่านใจข้าผิด ข้าหวังว่าเจ้าจะทำได้ดีขึ้นในอนาคต”
ดวงตาของอมีเรียแสดงความหวาดกลัวขณะที่เธอโค้งคำนับเขา
“บ่าวคนนี้ไม่กล้า”
เห็นได้ชัดว่ามันผิดสำหรับทาสที่จะคิดหรือคาดเดาสิ่งที่อยู่ในหัวของเจ้านายของพวกเขา
เป็นอาชญากรรมที่มีโทษถึงตัดลิ้น ควักลูกตา หรือจำคุกตั้งแต่ 3 ถึง 10 ปี
ขุนนางจะรังเกียจทาสที่คิดอย่างเสรี
เสรีภาพทางความคิดเป็นก้าวแรกที่ทาสสามารถนำไปสู่อิสรภาพที่แท้จริงได้
ทาสที่ใฝ่ฝันถึงอิสรภาพ… เป็นความคิดที่น่ารังเกียจสำหรับขุนนางและราชวงศ์
ถ้าพวกเขาพบทาสคนดังกล่าว พวกเขาจะทุบตีพวกเขาให้ยอมจำนน
นั่นคือวิธีการจัดการกับพวกเขา
หากทาสไม่ยอมจำนนแม้หลังจากถูกเฆี่ยนตีแล้ว พวกเขาก็จะถูกไล่ออก ทำให้พวกเขาเข้าสู่ความตายโดยการประหาร
“สาวใช้ต้องรู้ว่าเจ้านายของเธอกำลังคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา และไม่ตัดสินความต้องการของเขาผิด นี่เป็นคุณสมบัติที่ดีที่สุดที่สาวใช้จะมีได้ เธอคือสาวใช้ของข้าดังนั้นเธอต้องดีที่สุด! เจ้าจะต้องยืนเคียงข้างข้า และข้ากำลังเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น ดังนั้นเจ้าก็ต้องเป็นคนที่คู่ควรที่จะยืนข้างข้าในอนาคต เจ้าไม่คิดงั้นเหรอ”
รอยเป็นคนจากโลกสมัยใหม่ ดังนั้นเขาจึงคิดต่างจากพวกขุนนาง
คนอื่นรู้ว่าเธอเป็นทาสของเขา เป็นคนที่ต้องปฏิบัติต่อเขาให้ได้ตามใจเขา
แต่สำหรับเขา เธอคือคนเดียวที่เขาไว้ใจได้ในโลกนี้
เธอภักดีต่อเขามากเกินไป และเป็นความรับผิดชอบของเขาที่จะต้องช่วยให้เธอกลายเป็นกระดูกสันหลังของเขา คนที่เขาสามารถพึ่งพาได้แทนที่จะถีบเธอลงหรือทิ้งเธอไป
เพื่อให้สิ่งนี้ไม่เกิดขึ้น เขาต้องทำให้เธอเป็นผู้หญิงที่เป็นอิสระและกล้าที่สามารถคิดได้ด้วยตัวเองและไม่เพียงแค่ติดตามเขาอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าเท่านั้น
ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่เขาจะตอบแทนเธอในสิ่งที่เธอทำเพื่อเขาคนเก่า
เขาเริ่มชักจูงความคิดของเธอด้วยการก้าวเท้าเล็กๆ เพื่อนช่วยให้เธอคิดอย่างอิสระ!
อมีเรีย เนทูรัลมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะไม่ถูกรอยทอดทิ้ง
"ครั้งหน้าข้าจะทำให้ดีกว่านี้"
เธอตัดสินใจทันทีและตัดสินใจที่จะเป็นสาวใช้ที่รอบคอบสำหรับเขา
"ดีมาก."
รอยยกนิ้วให้เธอ
ระหว่างทางไปสนามซ้อม เขาผิวปากอย่างมีความสุข
คนอื่นมองไม่เห็นลักยิ้มของเขาเพราะใบหน้าเขาอ้วนเกินไป แต่อมีเลียมั่นใจว่าถ้าเขาผอมลง เธอจะเห็นลักยิ้มบนใบหน้าเพราะเขายิ้มกว้างมาก
“เห็นท่านมีความสุขมันทำให้ข้ามีความสุขไปด้วย ว่าแต่ความสุขของท่านเกิดจากอะไรในสวนนี้ล่ะ ท่านโปรดบอกข้า ข้าจะเตรียมมันให้ท่านทุกเช้า”
ความปรารถนาสูงสุดของอมีเรียคือการได้เห็นเขามีความสุข
หากเป็นดอกไม้ที่ทำให้เขามีความสุข ต่อจากนี้ไปเธอจะต้องเก็บดอกไม้สดไว้บนโต๊ะข้างเตียงเสมอ
ถ้าเป็นต้นไม้ เธอตัดสินใจแล้วว่าจะซื้อกระถางให้เขาและวางไว้ข้างหน้าต่างห้อง
รอยอ่านเธอออกยังกะหนังสือ
เงินเดือนของเธอควรเป็นเธอที่ใช้ เธอไม่ควรคิดที่จะเสียมันไปให้เขาเด็ดขาด!
เขาดีดหน้าผากเธอเบาๆ ทำให้เธอเงียบและมองเขาอย่างงุงงง
“ข้าขอบคุณ แต่เจ้าไม่จำเป็นต้องคิดมากเพื่อข้า”
เขาหัวเราะเบา ๆ และเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามเช้าที่มีเมฆปกคลุม บดบังดวงอาทิตย์ไม่ให้มองเห็น
"ข้าแค่มีความสุขที่มีชีวิตอยู่"
รอยเป็นเพียงคนธรรมดาๆ ที่อาศัยอยู่ในโลก
เขากำลังศึกษาและทำงานหนักเพื่อเตรียมตัวสอบเข้าสถาบันนักล่า
เขาใฝ่ฝันที่จะเป็นนักล่า
นั่นเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดด้วยอัตราค่าจ้างสูงสุดและอัตราการตายก็มากที่สุดเช่นกัน
แต่ด้วยการเป็นนักล่า เขาจะสามารถช่วยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินทุนให้สามารถอยู่ต่อไปได้
ชายผู้ใจดีพาเขาไปที่นั้นขณะที่เขากำลังจะตายบนถนน ดังนั้นเขาจึงต้องการที่จะตอบแทนเขาด้วยค่าใช้จ่ายทั้งหมด
เขาใช้ชีวิตส่วนใหญ่ไปกับการดูแลผู้อื่น ดังนั้นเขาจึงสมควรได้รับการดูแลจากใครสักคนในวัยชรา
ดังนั้น รอยจึงเลือกที่จะเป็นฮันเตอร์เหนือคนอื่นๆ แม้ว่าตัวเขาเองจะตายได้ก็ตาม
อย่างไรก็ตาม เขาเสียชีวิตอย่างทารุณก่อนที่จะทำให้ความปรารถนาอันสูงส่งของเขาเป็นจริง…
เขาคิดว่านั่นคือจุดจบ แต่ใช่... เขาจบลงในอีกโลกหนึ่ง
และตอนนี้เขายังมีชีวิตอยู่
แม้ว่าจะไม่ค่อยดีนัก แต่เขาก็ยังไม่ตาย
เขาไม่อยากพูดถึงความน่ากลัวของการถูกสัตว์ร้ายฉีกร่างกายเป็นชิ้นๆ…
เขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อผ่านภัยพิบัติในโลกนี้ไปให้ได้!
หลังจากผ่านความตายเท่านั้นที่เขาจะได้รู้ถึงคุณค่าที่แท้จริงของชีวิต!