ตอนที่ 46 : ป้าฉินตงเหมย
"เสี่ยวเทา ลูกอยู่คุยกับน้องๆไปนะ"
หลังจากกล่าวไม่กี่คำ ฉินกั๋วเหลียงและคนอื่นๆก็เดินไปที่ด้านหลังบ้าน
"พี่เสี่ยวเทา"
ฉินเฝิงอวี่เอ่ยทักทายเมื่อเห็นฉินเสี่ยวเทา
ฉินเสี่ยวเทาพยักหน้าให้เล็กน้อย เขาฝืนเค้นรอยยิ้มออกมาบนใบหน้า จากนั้นก็ยืนนิ่งๆโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เมื่อเห็นว่าฉินเสี่ยวเทาไม่ต้องการพูด ฉินเฝิงอวี่ผู้ช่างจ้อก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ
หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีคนมาเพิ่มอีกครั้ง เป็นครอบครัวพี่สาวคนโตของฉินหยุน
"คุณน้า!"
หลังจากเข้ามาในบ้าน หลานชายตัวน้อยหลี่จุนก็ตะโกนทักทาย
ฉินหยุนอุ้มหลี่จุนขึ้นมา เขาหยิบลูกอมที่เตรียมไว้ แล้วยื่นให้เด็กน้อย จากนั้นก็มองไปที่หลี่อี้หังและฉินซวนด้วยรอยยิ้มพลางตะโกนทักทาย "พี่เขย พี่ใหญ่"
"เสี่ยวหยุน"
หลี่อี้หังยิ้มพลางพยักหน้าให้
เขามองไปที่ฉินหยุน ไม่สามารถซ่อนความตกตะลึงที่อยู่ภายในใจของเขาได้
เขารู้สถานการณ์ของฉินหยุนเป็นอย่างดี ในช่วงเวลาสั้นๆ ฉินหยุนได้เปิดร้านค้าไปสามแห่งแล้ว และธุรกิจของแต่ละร้านก็ดีมาก
ฉินหยุนดูเหมือนจะเกิดมาเพื่อทำธุรกิจโดยแท้จริง เมื่อคนอื่นๆเปิดร้าน ในร้านของพวกเขาแทบจะไม่มีลูกค้าซื้อของเลย หลายๆร้านต้องปิดตัวลงหลังจากเปิดไปได้แค่สักพัก อย่างไรก็ตาม ฉินหยุนเปิดร้านราวกับว่าเขามาเพื่อปล้นเงินและลูกค้าเหล่านั้นก็ให้เงินเขาไปอย่างง่ายดาย
"เสี่ยวหยุน อย่าให้ลูกอมเสี่ยวจุน ฟันของเขาเต็มไปด้วยหนอนหมดแล้ว" ฉินซวนมองไปที่ลูกอมที่ฉินหยุนหยิบออกมา และพูดอย่างเร่งรีบ
มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าของเธอ ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาเธอยุ่งมากเป็นพิเศษ แต่เธอก็กลับบ้านมาพร้อมกับเงินเดือนมากกว่า 10,000 หยวน
ก่อนหน้านี้พ่อสามีและแม่สามีของเธอไม่พอใจเธอมาก พวกเขาจะคอยแซะเธอด้วยเรื่องเล็กๆน้อยๆอยู่เสมอ ส่วนเธอก็ทำได้แค่อดทนเงียบๆ เพราะถึงยังไงพวกเขาก็พูดได้ไม่กี่ประโยค ดังนั้นเธอจึงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดเหล่านั้น
แต่สุดท้ายแล้วเธอก็ยังรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยอยู่ดี เธอคิดว่าชีวิตแบบนี้น่าจะคงอยู่ไปอีกยาวนาน แต่ตอนนี้พ่อแม่สามีของเธอไม่ได้จู้จี้จุกจิกอะไรและมุ่งความสนใจไปที่การดูแลเสี่ยวจุนแทน
เธอทำงานในร้านขายเสื้อผ้าของน้องชาย ก่อนหน้านี้เธอมีรายได้ 10,000 หยวน แต่ตอนนี้ร้านรองเท้าเปิดแล้ว เธอจึงต้องรับผิดชอบร้านรองเท้าเพิ่มขึ้นอีก และฉินหยุนจะขึ้นเงินเดือนให้เธอในเดือนกรกฎาคมนี้ด้วย
ทั้งเธอและหลี่อี้หังได้พูดคุยกันก่อนหน้านี้ว่า พวกเขาจะซื้อบ้านในเมืองหลังจากเก็บเงินได้จำนวนหนึ่ง และจะใช้ชื่อของเสี่ยวจุนเป็นเจ้าของบ้าน
ตอนนี้ชีวิตไม่มีความกดดันแล้ว และเธอสามารถทำงานที่เธอรักได้อีกครั้ง ซึ่งเธอก็พอใจมาก
ทั้งหมดนี้ถูกนำมาโดยน้องชายของเธอ ฉินซวนคิดว่าเป็นเรื่องดีมากที่มีน้องชายแบบนี้
เวลาผ่านไปและประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา ฉินตงเหมย ป้าของฉินหยุนก็ขับรถโฟล์คสวาเก้นมาถึง
ฉินหยุนมีป้าสองคน แต่ครอบครัวของป้าคนโตได้ย้ายไปที่ปักกิ่งแล้ว ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะกลับมาแค่ชั่วคราวเพื่อฉลองการสอบเข้ามหาลัยของฉินหยุน
หลังจากมาถึง ป้าฉินตงเหมยก็ชื่นชมฉินหยุนเช่นกัน
ใบหน้าของเธอมีความหยาบกร้าน ดูมีความเหนื่อยล้าเหมือนกับผู้หญิงในชนบททั่วไป เห็นได้ชัดว่าชีวิตของเธอก็ดูจะผ่านความยากลำบากมามาก
สำหรับลุงเขยของฉินหยุน เขามีรูปร่างหน้าตาธรรมดา ร่างกายกำยำ ภายนอกดูมืดมน แต่เขาดูเหมือนเป็นคนซื่อสัตย์
ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองนั้นดีมาก ลุงเขยซุนเฉียงนั้นนิสัยดีมาก แม้ว่าฉินตงเหมยจะด่าเขา ที่เขาทำก็แค่ยิ้มรับ เขาไม่เคยโกรธใส่เธอเลย
หลังเวลา 11.00 น. ทั้งครอบครัวก็พากันไปที่ที่พักของผู้สูงอายุ เพื่อไปรับปู่กับย่าของฉินหยุน
เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะภูมิใจในตัวฉินหยุนมาก ปู่กับย่าจึงจับมือของเขาไว้ไม่ปล่อยเลย
จนถึงตอนนี้ก็ถือว่าทุกคนมากันครบแล้ว ส่วนทางครอบครัวของฝั่งจ้าวเหมย พวกเขามีธุระที่ต้องจัดการ ดังนั้นจึงไม่มีใครมา
"มาเถอะเสี่ยวหยุน น้าขอดื่ม ให้หลาน เนื่องในโอกาสที่ได้เป็นนักศึกษามหาลัย" บนโต๊ะ น้าสะใภ้เฝิงหลานกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ฉินหยุนยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนหน้านี้เขาก็เคยดื่มอวยพรให้ผู้อาวุโสทุกคนมาแล้ว
"ตอนนี้การสอบเข้ามหาลัยสิ้นสุดลงแล้ว พ่อกับแม่ของหลานคงอยากให้หลานพาลูกสะใภ้กลับมาจากมหาลัยแล้ว"
"ฮ่าๆ.." หลังจากพูดจบก็มีเสียงหัวเราะรอบๆดังขึ้น
ป้าฉินตงเหมยก็ยิ้มและกล่าวว่า "เสี่ยวหยุนของเรามีความสามารถ แถมยังหน้าตาดี คงพาภรรยากลับบ้านมาได้ง่ายๆแน่"
หลังจากเอ่ยไปสองสามคำ ฉินตงเหมยก็ถามเกี่ยวกับฉินเสี่ยวเทาพี่ใหญ่สุด ประมาณว่าเขามีแฟนหรือยัง หรือจะแต่งงานเมื่อไร และคำถามอื่นๆ
บ้านของเธออยู่ในที่ห่างไกลออกไป และเธอไม่ค่อยได้กลับมาที่นี่มากนัก นอกจากนี้ นานๆทีเธอจึงค่อยโทรศัพท์ติดต่อ ฉินกั๋วเหลียง ฉินกั๋วตงและคนอื่นๆ มากสุดก็ 2-3 เดือนต่อครั้ง
ญาติพี่น้องที่อยู่ใกล้กันก็ไม่เท่าไร เพราะสามารถไปเยี่ยมกันได้บ่อย ความสัมพันธ์จึงไม่จางหายไปมากนัก
แต่เมื่อพวกเขาอยู่ไกลจากกัน โดยพื้นฐานแล้วจึงไม่ค่อยได้ติดต่อกันมากนัก เพราะแต่ละครอบครัวก็มีชีวิตเป็นของตัวเอง มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะรักษาความสัมพันธ์ไว้แค่เพียงโทรศัพท์หากัน ซึ่งเรื่องเหล่านี้มันหลีกเลี่ยงไม่ได้
แม้ว่าพวกเขาจะติดต่อกัน ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุการณ์สำคัญต่างๆ เช่น การแต่งงาน วันรวมญาติ หรืออื่นๆ ทุกคนก็จะมาร่วมกินและดื่มด้วยกัน ซึ่งดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีความสัมพันธ์ที่ดี แต่พวกเขาก็จะกลายเป็นคนแปลกหน้าในทันทีหลังจากแยกย้ายกัน
ดังนั้นเธอจึงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับฉินเสี่ยวเทามากนัก
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉินกั๋วเหลียงก็ทอดถอนใจ ขณะที่ฉินเสี่ยวเทาก้มหน้าลงและนิ่งเงียบเหมือนเดิม
เขาอายุสามสิบแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องแต่งงานเลย แม้กระทั่งแฟนก็ยังไม่มี เขาไม่เห็นความหวังใดๆเลย ในชนบท เรื่องนี้มันง่ายที่จะถูกพูดนินทา
เมื่อฉินกั๋วเหลียงและจางพ่านตี้ออกไปนอกบ้าน ทั้งคู่ก็ต้องคอยก้มหัวลงและเดินอย่างเร่งรีบ เพราะกลัวคนอื่นจะถามเกี่ยวกับเรื่องการแต่งงานของลูกชาย
เมื่อรู้ว่าเธอพูดอะไรผิดไป ฉินตงเหมยก็อายเล็กน้อยและไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
แต่น้าสะใภ้เฝิงหลาน ก็ตอบสนองอย่างรวดเร็วและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม "พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่ไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้ไปหรอก ไม่ใช่ว่าเสี่ยวเทาดูไม่ดี เพียงแต่ว่าตอนนี้โชคชะตายังมาไม่ถึงเท่านั้นเอง ฉัน รู้จักครอบครัวหนึ่งที่ลูกชายอายุ 33 ปี เขาเพิ่งแต่งงานเมื่อปีที่แล้ว และก็ให้กำเนิดลูกชายตัวอ้วนๆในปีนี้นี่เอง"
หลังจากพูดไม่กี่คำ เธอก็เปลี่ยนเรื่อง มองไปที่ฉินตงเหมยแล้วถามว่า "ตงเหมย ตอนนี้เธอเป็นยังไงบ้าง ยังทำงานในโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าอยู่หรือเปล่า"
"ไม่ได้ทำแล้ว" ฉินตงเหมยส่ายหัวและเอ่ยเกี่ยวกับเรื่องของเธอเอง
เธอเคยทำงานในโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า แต่เมื่อ 2 เดือนก่อน โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าไม่สามารถจ่ายค่าจ้างได้ พวกเธอจึงค่อยๆหยุดทำงานไป
จนถึงตอนนี้พวกเธอก็ยังมีค่าจ้างบางส่วนที่ยังไม่ได้รับ และตอนนี้เธอก็เปลี่ยนงานใหม่แล้ว
"ตอนนี้ทำธุรกิจยากมาก" ทุกคนถอนหายใจ
สังคมตอนนี้กำลังพัฒนาอย่างบ้าคลั่ง แต่ช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนกลับขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ คนรวยก็ยิ่งรวยขึ้น แค่มีเงิน 10 ล้านหยวน ฝากไว้ที่ธนาคารทั้งหมดก็ได้ดอกเบี้ยเกือบ 200,000 หยวนต่อปีแล้ว ไม่กี่ปีก็มีเงินเก็บมากขึ้น
ถ้าเทียบกับคนส่วนใหญ่แล้ว มีกี่คนที่ได้รับเงินจำนวนนี้ภายในหนึ่งปี?
ยิ่งไปกว่านั้น ปัจจุบัน อุตสาหกรรมจำนวนมากในตลาดถูกผูกขาด และเกือบทุกด้านของชีวิตได้รับผลกระทบจากบริษัทใหญ่ๆเหล่านั้น โอกาสทางธุรกิจก็มีน้อยลงเรื่อยๆ อยากจะหาเงินเป็นจำนวนมากก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก
ทุกคนถอนหายใจ พูดสองสามคำ แล้วกลับไปที่หัวข้อเดิม
หลังจากกินข้าวเสร็จ ทุกคนก็อยู่ต่อกันสักพัก จากนั้นก็เริ่มแยกย้ายกันกลับบ้านไป
เมื่อเห็นครอบครัวของพี่ใหญ่และครอบครัวของป้าที่กำลังขับรถออกไป ฉินหยุนมองไปที่ฉินกั๋วตงแล้วกล่าวว่า "พ่อครับ พ่อไปเรียนขับรถที่โรงเรียนสอนขับรถได้นะ เสร็จแล้วก็ซื้อรถมาขับได้เลย"
"เสี่ยวหยุน พ่อแก่มากแล้วนะ จะให้พ่อไปขับรถอะไรอีก?" เห็นได้ชัดว่าฉินกั๋วตงก็รู้สึกหวั่นไหว แต่เขายังคงส่ายหัว
(จบตอน)
——————————————————————
คำนับลำดับญาติต่างๆที่ผมใช้ ถ้าผิดก็ขออภัยด้วยนะครับ ของจีนกับของไทยบางทีก็ไม่รู้จะใช้แบบไหนดี อย่างบางประโยคพอมาใช้แบบไทย มันดูไม่ค่อยเข้ากันเท่าไร
อย่าง ฉินตงเหมย ตามเนื่อเรื่องคนนี้น่าจะเป็นน้องคนสุดท้องใน 5 พี่น้องตระกูลฉิน (ผู้หญิงคนโตสุดอยู่ปักกิ่ง รองลงมาก็ กั๋วเหลียง กั๋วตง กั๋วปิน แล้วก็ตงเหมย) ถ้าปกติ น้องของพ่อ แบบไทยก็จะเรียกว่า อา แต่ของจีนก็จะมีคำที่ใช้เรียกพวกลำดับญาติอยู่ ไม่รู้จะใช้คำไหน ผมก็เลยจะใช้คำว่าป้าให้หมด ลุงก็ลุงให้หมด อาจจะเรียง ลุงใหญ่ ลุงรอง ลุงสาม สี่ อะไรประมาณนี้ หรือว่าแนะนำกันเข้ามาได้
เพราะงั้นหยวนๆให้หน่อยนะครับ (แหะๆ) ⊙﹏⊙