ตอนที่ 44 : ยอมรับชะตากรรม
ในตอนบ่าย ฉินหยุนอยู่ที่ร้านขายรองเท้าเทียนหยุน
อย่างไรก็ตาม สองชั่วโมงหลังจากร้านรองเท้าเปิด ฉินซวนส่ายหัวแล้วพูดว่า "เสี่ยวหยุน บุคลิกของป้าสะใภ้ไม่ค่อยดีเลย ตอนนี้เธอยังขายของไม่ได้เลย"
ในเวลานี้ จ้าวเหมยอยู่ในร้านขายรองเท้า และพนักงานหลายคนกำลังยุ่งอยู่กับการแนะนำลูกค้าอย่างกระตือรือร้น
นอกจากนี้ยังมีหญิงวัยกลางคนอยู่ในร้านด้วย แต่เธอดูอ้ำๆอึ้งๆเล็กน้อยเมื่อเห็นลูกค้า เธอต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เธอก็ยังพูดไม่ออก แม้ว่าเธอจะพูด เสียงของเธอก็เบามาก เหมือนกับลังเลว่าจะพูดหรือไม่พูดออกมาดี
นี่คือจางพ่านตี้ ภรรยาของลุงใหญ่ของฉินหยุน
ตอนนี้เฟิงหลาน น้าสะใภของฉินหยุนทำงานอยู่ในร้านขายเสื้อผ้า เงินเดือนที่ฉินหยุนให้เธอเธอคือ 6,000 หยวนต่อเดือน ซึ่งสูงกว่าพนักงานทั่วไป 1,000 หยวน
นอกจากเป็นพนักงานขายตามปกติแล้ว หากมีปัญหาใดๆในร้าน ก็จะได้รับการแก้ไขโดยเฟิงหลานน้าสะใภ้ของเขา ซึ่งถือได้ว่าเธอเป็นผู้จัดการร้านได้เช่นกัน
งานที่ฉินหยุนให้พ่อกับแม่ของเขาทำคือการดูรอบๆร้านสักพัก สำหรับฉินซวน เธอรับผิดชอบในการเลือกแบบชุด สไตล์เสื้อผ้า จัดหาสินค้าต่างๆมาขาย ฯลฯ ส่วนใหญ่เธอจะไม่ค่อยอยู่ที่ร้าน ดังนั้น มันจะดีกว่าถ้ามีคนดูแลร้านแทน
แม้ว่าระดับการศึกษาของเฟิงหลานจะไม่สูงนัก แต่เธอก็พูดได้อย่างชัดถ้อยชัดคำและตรงไปตรงมา ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาที่จะดูแลร้านเล็กๆแห่งนี้
เมื่อรู้เรื่องของเฟิงหลานครอบครัวของลุงใหญ่ก็อิจฉามาก ดังนั้นแม้ว่าจางพ่านตี้จะไม่มีความมั่นใจมากนักและกังวลว่าเธอจะทำได้ไม่ดีตอนอยู่ในร้าน แต่เธอก็ยังอยากที่จะลองดู
เพราะสภาพครอบครัวยากจนเกินไป ลูกชายสองคน คนโตอายุ 30 ปี คนเล็กอายุ 27 ปี จึงยังไม่ได้แต่งงานกันทั้งคู่ พวกเขาก็อดวิตกกังวลไม่ได้จึงต้องการหาเงินเพิ่ม
ร้านเสื้อผ้าทั้งสองแห่งก็เปิดมาสักพัก และพนักงานก็เต็มแล้ว แต่ตอนนี้ร้านรองเท้าเพิ่งเปิด จำเป็นต้องรับสมัครพนักงานใหม่ ดังนั้นฉินกั๋วตง จ้าวเหมยและฉินหยุนจึงปรึกษากันและขอให้จางพ่านตี้ลองมาทำดู
โดยปกติฉินหยุนก็ไม่มีความเห็นคัดค้านอะไร
พวกเขาทั้งหมดมาจากตระกูลเดียวกัน ก่อนที่ครอบครัวของฉินหยุนจะซื้อบ้าน แม้ว่าครอบครัวของลุงใหญ่จะยากจนมาก แต่พวกเขาก็ยังเอาเงินออกมาให้ครอบครัวของเขายืมถึง 20,000 หยวน และไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับการคืนเงินเลย
ถ้าจางพ่านตี้มีความสามารถ ฉินหยุนก็จะให้เธอดูแลร้านและจ่ายเงินเดือนให้เธอ 6,000 หยวน
“พี่สะใภ้ ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัวผิด พี่พูดออกมาเลย” ภายในร้าน จ้าวเหมยกำลังพูดกับจางพ่านตี้
ทั้งเธอและเฟิงหลานสามารถพูดคุยแนะนำกับลูกค้าได้ปกติ แต่จางพ่านตี้นั้นตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง
พอจางพ่านตี้เปิดปากของเธอ เธอก็พูดตะกุกตะกักเล็กน้อย
เมื่อเห็นเธอเป็นเช่นนี้ ลูกค้าในร้านรองเท้าก็ไม่สนใจที่จะมองหาเธออีกต่อไป อีกสองชั่วโมงต่อมา จ้าวเหมยและคนอื่นๆขายรองเท้าไปแล้วหลายคู่ แต่เธอกลับขายรองเท้าไม่ได้เลยแม้แต่คู่เดียว
เวลายังคงผ่านไป และเมื่อถึงตอนเย็น ลูกค้าภายในร้านก็ลดลงเล็กน้อย และในเวลานี้ลุงใหญ่ของฉินหยุนก็กลับมาจากไซต์ก่อสร้างแล้วเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นจางพ่านตี้ที่อยู่ในร้าน เขาก็หยิบบุหรี่ออกมาสูบเงียบๆ
"พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ยังไม่ชินนิดหน่อย เดี๋ยวทำงานในร้านได้สักพักเธอก็ชินไปเอง" ฉินกั๋วตงเดินเข้ามาแล้วกล่าว
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉินกั๋วเหลียงก็ส่ายหัวและพูดด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย "ช่างมันเถอะกั๋วตง ฉันรู้ว่านายอยากช่วยเรา แถมนายยังยินดีจ่ายเงินเดือนให้เราตั้ง 6,000 หยวน ถ้าพ่านตี้มีความสามารถเพียงเล็กน้อยก็ไม่เป็นไร เราจะรับไว้อย่างหน้าด้านๆ แต่ตอนนี้เธอขายของไม่ได้เลย ดังนั้นฉันจะให้เธออยู่ในร้านเพื่อเอาเปรียบนายแบบไร้ยางอายได้ยังไง ถ้าคนอื่นได้ยิน ฉันจะเอาหน้าไปไว้ไหน"
น้องชายของเขาพัฒนาแล้ว และเขายังอยากยื่นมือเข้ามาช่วยพวกเขาอีก เขาเสนอค่าจ้างให้ 6,000 หยวน แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไม่มีความสามารถที่จะรับมันได้
บางที นี่อาจเป็นโชคชะตา ฉินกั๋วเหลียงคิดกับตัวเอง
เมื่อเห็นพี่ชายของเขาพูดเช่นนั้น ฉินกั๋วตงก็ไม่รู้จะพูดอะไร
หลังจากนั้นไม่นานจางพ่านตี้ก็เข้ามาโดยเดินก้มหน้าลง
"กั๋วตง เราไปก่อนนะ" หลังจากพูดจบ ฉินกั๋วเหลียงก็เดินจากไปพร้อมกับจางพ่านตี้
“พี่เหลียง ฉันไม่เก่งอะไรสักอย่างเลยเหรอ?”
ระหว่างทาง จางพ่านตี้ก้มหน้าลงและพูดด้วยความหดหู่ “ฉันอยากทำได้ดี แต่ฉันรู้สึกประหม่าเมื่อตอนที่พูดออกไป”
“ฉันบอกกั๋วตงไปแล้วว่าเธอจะไม่ไปทำงานที่ร้านอีก” ฉินกั๋วเหลียงพูดเสียงเบา
เมื่อได้ยินเช่นนี้จางพ่านตี้ก็กังวลเล็กน้อยและเอ่ยถามว่า "แล้วเสี่ยวเทากับเสี่ยวไห่ล่ะ?"
เธอยังไม่อยากยอมแพ้ เพราะหากเธอสามารถอยู่ในร้านได้ นั่นก็หมายความว่าเธอจะได้รับเงินเดือน 6,000 หยวนต่อเดือน เธอไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เธออิจฉาเฟิงหลานมากแค่ไหน
หากเธอมีรายได้สัก 2-3 ปี เธอก็สามารถเก็บเงินไว้ให้ลูกชายได้แล้ว
แต่เมื่อนึกถึงพฤติกรรมของเธอในตอนบ่าย เธอก็รู้สึกไม่มีความมั่นใจเลยสักนิด
"ลูกๆหลานๆก็มีโชคของตัวเอง เสี่ยวเทาและเสี่ยวไห่จะได้แต่งงานถ้าพวกเขาทำได้ดี แต่ถ้าพวกเขาไม่ได้แต่งงาน ก็โทษเราไม่ได้"
ฉินกั๋วเหลียงส่ายหัวและพูดว่า "เรามีหน้าที่แค่เลี้ยงดูพวกเขา ต่อจากนี้ก็ปล่อยให้พวกเขาไปตามทางของตัวเองในอนาคต”
ด้วยอายุปูนนี้แล้ว และลูกชายของเขาก็ยังเป็นเช่นนี้อีก โดยพื้นฐานก็ถือว่าเขาก็ยอมรับชะตากรรมของตัวเองแล้ว
...
ที่หน้าร้านรองเท้าเทียนหยุน ฉินกั๋วตงมองไปที่ลูกชายของเขาแล้วพูดว่า "เสี่ยวหยุน ลูกลองคิดดูสิว่ามีวิธีไหนที่จะช่วยลุงใหญ่ของลูกได้บ้าง"
ตอนนี้เขารู้แล้วว่าฉินหยุนหาเงินได้เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกำไรในเดือนมิถุนายนนั้นมากกว่า 200,000 หยวน ตอนนี้เขาต้องการจะช่วยเหลือพี่ชายของเขาและคนอื่นๆจริงๆ
"พ่อครับ พ่อก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอ ไม่ใช่ว่าผมไม่ช่วย แต่ป้าสะใภ้ขายของไม่ได้จริงๆ" ฉินหยุนส่ายหัวและกล่าว
หากคุณมีชีวิตที่ดีแล้วก็ไม่เป็นไรที่จะช่วยเหลือญาติๆสักเล็กน้อย แต่ญาติของคุณก็ต้องแสดงความสามารถบางอย่างด้วย ไม่เช่นนั้นจะต่างอะไรกับการโยนเงินให้เฉยๆ?
หลังจากคิดเรื่องนี้แล้ว ฉินหยุนก็พูดว่า "เดี๋ยวดูก่อน ถ้าหลังจากนี้มีโอกาส ผมจะช่วยลุงใหญ่กับคนอื่นๆแน่นอน"
เมื่อลูกชายของเขาพูดเช่นนี้แล้ว นอกจากเงียบลง ฉินกั๋วตงก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีก
...
เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็วและในพริบตาก็ผ่านไปแล้วสองวัน
ในตอนเย็น ภายในบ้านเช่า ซุนถิงถิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยแววตาเหนื่อยล้า
วันนี้ แขกในห้องส่วนตัวของโรงแรมค่อนข้างรับมือยาก เธอกล่าวหาว่ามีเส้นผมอยู่ในจานอาหารที่ปรุงแล้ว และเธอยืนยันที่จะยกเลิกออร์เดอร์นั้น ซุนถิงถิงต้องใช้เวลานานในการแก้ปัญหาดังกล่าว
อันที่จริง เรื่องนี้มันยากที่จะกล่าวให้ชัดเจนได้ ใครจะไปรู้ว่าเส้นผมนั้นเป็นของเชฟ บริกร หรือตัวแขกเอง
เนื่องจากแขกส่งเสียงดังโวยวาย เธอจึงถูกผู้จัดการทั่วไปด่าและถูกหักเงินเดือน
โรงแรมมีขนาดใหญ่ และภายในนั้นก็มีแผนการต่างๆอยู่มากมาย เดือนที่แล้วตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปก็เพิ่งว่างลง และตอนนี้เธอก็กำลังต่อสู้กับผู้ท้าชิงคนอื่นๆ สิ่งนี้มีผลกระทบมากเกินไป
“ลา ลั้น ลา..!”
ทันใดนั้น ดูเหมือนจะมีเสียงคนกำลังฮัมเพลงลอยมา
"แอ๊ดดดด.."
ประตูเปิดออก จากนั้นจางชิงก็เดินเข้ามา
“เสี่ยวชิง ทำไมเธอดูอารมณ์ดีจัง” ซุนถิงถิงมองไปที่จางชิงแล้วถาม
เธอรู้สึกอิจฉาความคิดของจางชิงเล็กน้อย ดูเหมือนเธอจะไม่เคยกังวลกับอะไรเลย ไม่ว่าปัจจุบัน หรือเมื่อก่อนตอนเธอได้รับเงินเดือน 2,000 กว่าหยวน เธอก็ยังเป็นคนมองโลกในแง่ดีเหมือนเดิม
เมื่อได้ยินคำถามของซุนถิงถิง จางชิงก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที และพูดอย่างมีความสุขว่า "เสี่ยวถิง วันนี้ฉันได้รับเงินเดือนอีกแล้ว"
"เธอได้เท่าไหร่?"
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซุนถิงถิงก็ถามด้วยความสงสัย เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉานิดหน่อย การจ่ายเงินเดือนวันที่ 3 นี่เป็นสิ่งที่มนุษย์เงินเดือนทุกคนปรารถนา
“5,100 หยวน” จางชิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
(จบตอน)