ตอนที่แล้วตอนที่ 40 : โศกนาฏกรรมของซุนเจี้ยนเฉียง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 42 : ซุนหยาตงผู้เศร้าโศก

ตอนที่ 41 : กรอกใบสมัครเรียน


ซุนเจี้ยนเฉียงเริ่มตื่นตระหนก ตอนที่เขาเรียนอยู่เขาเฝ้ารอวันเวลาที่จะเรียนจบมัธยมปลายและไปใช้ชีวิตที่มหาลัยด้วยตัวเองมานานแล้ว เพื่อที่จะได้ไม่มีใครมาคอยบังคับเขาอีกต่อไป

แต่ตอนนี้ซุนหยาตงจะให้เขาไปเรียนซ้ำ!

เมื่อนึกถึงช่วงเวลาที่ต้องใช้มือเปลี่ยนหน้ากระดาษสอบโดยไม่หยุดพักตอนอยู่มัธยมปลายปีสาม เขารู้สึกเพียงว่าภูเขาลูกใหญ่กำลังกดทับลงมาที่เขาอีกครั้ง

"หึ! เดี๋ยวฉันจะติดต่ออาจารย์ประจำชั้นของแก และให้แกกลับไปเรียนซ้ำอีกปี!"

ซุนหยาตงพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ เมื่อเผชิญกับความหดหู่มาทั้งวัน ทั้งการจัดการเสื้อผ้าในร้านเหล่านี้ รวมทั้งความผิดหวังต่อผลการสอบของซุนเจี้ยนเฉียง และหลังจากรู้ว่าฉินหยุนได้คะแนนสูงมากในการสอบเข้ามหาลัย ในที่สุดมันก็ระเบิดออกมาอย่างสมบูรณ์

...

เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว และในอีกไม่กี่วันต่อมาฉินหยุนก็มาถึงที่โรงเรียน

เมื่อคะแนนสอบเข้ามหาลัยประกาศออกมาแล้ว ตอนนี้พวกเขาจึงต้องเริ่มกรอกใบสมัครเรียนมหาลัยกัน

"นั่นไงฉินหยุน!"

เมื่อเขามาถึง นักเรียนส่วนใหญ่ในห้องเรียนต่างก็อยู่ที่นี่ พวกเขาพากันมองไปที่ฉินหยุนด้วยสายตาประหลาดใจ

"คราวนี้ในห้องเรียนของเรา นักเรียนบางคนที่มีผลการเรียนดีทำข้อสอบได้ไม่ดี แต่นักเรียนที่มีผลการเรียนไม่ค่อยดีบางคน กลับทำข้อสอบได้ดีเฉยเลย ฉินหยุนทำได้ดีที่สุดในบรรดานักเรียนเหล่านี้ที่มีผลการเรียนระดับเฉลี่ย!"

"หลังจากที่คะแนนของเขาอยู่ที่อันดับประมาณยี่สิบหรือมากกว่านั้นในช่วงก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้เขาขึ้นมาเป็นอันดับสี่ของห้องแล้ว"

"แม้แต่ในชั้นเรียนมอปลายปีสามของทั้งโรงเรียน ฉินหยุนก็ได้อันดับที่สี่สิบเก้าในการสอบครั้งนี้!"

เพื่อนร่วมห้องกำลังคุยกัน เพราะพวกเขาทุกคนสามารถดูผลคะแนนสอบของนักเรียนคนอื่นๆได้ พวกเขาจึงพากันรู้สึกประหลาดใจ

มีคนมากมายที่ทำได้น่าทึ่งในการสอบเข้ามหาลัยครั้งนี้ คะแนนครั้งก่อนของฉินหยุนอาจไม่สามารถผ่านเกณฑ์ได้เลย แต่คราวนี้คะแนนของเขาสูงกว่าเกณฑ์ไปมาก

"บัดซบ! บัดซบ! ให้ตายเถอะฉินหยุน! นายทำได้ยังไง นายสอบได้คะแนนมากขนาดนั้นได้ยังไง?" เมื่อโจวหยางเห็นฉินหยุนกำลังใกล้เข้ามา เขารีบวิ่งเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว

คะแนนของเขาดีกว่าของฉินหยุนมากและเขาเคยอยู่ในสิบอันดับแรกของห้องเรียนมาก่อน แต่คราวนี้คะแนนสอบของเขาไม่ดีเท่าของฉินหยุนเสียอย่างนั้น

เขาได้ 560 คะแนนในการทำข้อสอบ และด้วยคะแนนดังกล่าว ทำให้เขาสามารถเลือกเข้ามหาลัยที่ดีได้เช่นกัน

ในเวลานี้ โจวหยางแลดูมืดมนกว่าตอนก่อนสอบเข้ามหาลัยเสียอีก หลังจากการสอบเสร็จสิ้น เขาก็เดินทางไปเที่ยวที่เมืองอื่น และเขาก็เพิ่งกลับมาถึงเมื่อวานนี้เอง

แม้ว่าเขาจะมาจากหมู่บ้านชนบท แต่สภาพครอบครัวของโจวหยางก็ค่อนข้างดี และเขาเป็นลูกคนเดียวในครอบครัว ดังนั้นจึงไม่มีแรงกดดันทางด้านการเงินเลย

"โชคน่ะ" ฉินหยุนพูดด้วยรอยยิ้ม

“เห้อ.. ฉันอิจฉานายจริงๆ ถ้าฉันได้คะแนนมากขนาดนี้ พ่อกับแม่ของฉันคงจะมีความสุขมาก” โจวหยางถอนหายใจ

หลังจากที่พ่อแม่ของเขาทราบคะแนนของฉินหยุน พวกเขาก็ชมไม่หยุดเลย

"ฉินหยุน นายทำได้ดีมากในการสอบครั้งนี้ เพราะงั้นต้องเลี้ยงอาหารเย็นฉันด้วย" ตอนนี้เอง ก็มีหญิงสาวสองคนกำลังเดินมาทางนี้ พวกเธอคือเสี่ยวหลานและจางเสี่ยวหยานั่นเอง

ในเวลานี้เสี่ยวหลานกำลังยิ้ม

"หือ! เสี่ยวหลานขอให้ฉินหยุนเลี้ยงอาหารเย็นเธอเหรอ?"

"ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองคนเป็นยังไง?"

เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวหลาน นักเรียนบางคนที่อยู่รอบๆก็สงสัย

ตอนนี้ทุกคนก็ถือว่าจบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมแล้ว เป็นเรื่องปกติที่ทุกคนจะสงสัย เพราะเสี่ยวหลานเป็นที่นิยมมากในชั้นเรียน แต่ในใจของเธอไม่อนุญาตให้คนแปลกหน้าเข้าไปเลย ส่วนใหญ่เธอจะรักษาความสัมพันธ์กับคนอื่นๆในฐานะเพื่อนธรรมดา

แต่ตอนนี้เธออยากให้เด็กผู้ชายคนหนึ่งเลี้ยงอาหารเย็นเธอ? มันจึงช่วยไม่ได้ที่จะทำให้พวกเขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

"แน่นอน" เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ ฉินหยุนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

เสี่ยวหลานเคยให้เขายืมชีทของเธอ ซึ่งมันก็ช่วยให้คะแนนของเขาเพิ่มขึ้นได้จริงๆ

“งั้นก็ห้ามลืมนะ” เสี่ยวหลานเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

ในตอนนี้เอง ส่วนลึกในดวงตาของเธอก็มีประกายแสงแปลกๆฉายออกมา

นับตั้งแต่ที่เธอได้เจอกับฉินหยุนที่ตลาดค้าส่งครั้งล่าสุด และได้เรียนรู้เกี่ยวกับร้านเสื้อผ้าของเขาจากป้าของเธอ เหวินหยา เธอก็อดไม่ได้ที่จะคิดเกี่ยวกับฉินหยุนอยู่ตลอด

เมื่อก่อนตอนที่ฉินหยุนทำงานพาร์ทไทม์อยู่ และเพื่อนร่วมชั้นบางคนบังเอิญเห็นเขากำลังทำความสะอาดโต๊ะและจานในร้านอาหารเล็กๆ ซึ่งมันก็ทำให้เกิดการพูดคุยกันของเพื่อนร่วมชั้นโดยธรรมชาติ และโดยส่วนมากแล้วมันก็ไม่ใช่การพูดคุยในทางที่ดีสักเท่าไร

ถ้าเป็นนักเรียนคนอื่นอาจจะรู้สึกต่ำต้อยเล็กน้อยเมื่อเผชิญกับสถานการณ์เหล่านี้ แต่ฉินหยุน เขาไม่สนใจและไม่ได้รับผลกระทบใดๆเลยสักนิด มันจึงทำให้เธอรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับเขาเล็กน้อย ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะได้เห็นสิ่งเหล่านี้จากคนอื่นๆ

นอกจากนี้ รูปลักษณ์ของฉินหยุนก็ไม่เลว แม้ว่าเขาจะตัดผมสั้น แต่ก็ดูดีและสดใส แถมเขายังหน้าตาหล่อเหลา ซึ่งมันง่ายที่จะทำให้ผู้อื่นรู้สึกดีกับเขาเพียงแค่เห็นเป็นครั้งแรก

อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงความสนใจแค่เล็กน้อยของเธอ

แต่หลังจากนั้น ฉินหยุนก็เปิดร้านขายเสื้อผ้าด้วยตัวเอง ซึ่งมันก็กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของเธอมากขึ้น

หลังจากที่เจอกันที่ตลาดค้าส่ง เธอก็พบว่าฉินหยุนเปิดร้านเสื้อผ้าเพิ่มอีกหนึ่งสาขา และจากข้อมูลของเหวินหยา กำไรต่อเดือนของร้านเสื้อผ้าทั้งสองแห่งนี้มากกว่า 100,000 หยวน!

เธอถึงกับไปดูที่ร้านทั้งสองสาขาด้วยซ้ำ และธุรกิจในร้านนั้นก็ร้อนแรงมาก มันดีกว่าร้านของป้าเธอเสียอีก

นอกจากนี้ ตามข้อมูลของเหวินหยา ร้านขายเสื้อผ้าทั้งสองแห่งนี้ เป็นของฉินหยุนโดยสมบูรณ์ เพราะพ่อกับแม่ของฉินหยุนไม่ได้เป็นคนสร้างมันขึ้นมา

ชายหนุ่มธรรมดาๆคนนั้นที่ทำงานพาร์ทไทม์อยู่ตลอดมานานกว่าหนึ่งปี เขาทำทุกอย่าง แม้กระทั่งทำความสะอาดโต๊ะและล้างจานในร้านอาหารเล็กๆ ตอนนี้เขาสามารถเปิดร้านเป็นของตัวเองและมีรายได้ 200,000 กว่าหยวนต่อเดือน!

นี่คือสิ่งที่นักเรียนมัธยมอย่างพวกเธอไม่สามารถจินตนาการได้ แม้ว่าต่อจากนี้ผู้คนที่นี่จะเรียนจบจากมหาลัยและมีงานทำ รายได้ 200,000 หยวนต่อปีก็ถือว่าดีมากแล้ว

จู่ๆเสี่ยวหลานก็รู้สึกว่าฉินหยุนนั้นดูลึกลับมาก เหมือนมีม่านหมอกปกคลุมร่างกายของเขาอยู่ตลอดเวลา ทำให้เธอไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ข้างในได้เลย

หลังจากนั้นไม่นาน อาจารย์ก็มาถึง ทุกคนเริ่มเข้าไปในห้องคอมพิวเตอร์และเริ่มกรอกใบสมัครผ่านเว็บ

"ฉินหยุน นายอยากไปที่มหาลัยไหน?" โจวหยางและฉินหยุนนั่งด้วยกัน เขาเอ่ยถามอย่างเป็นกันเอง

"ที่จินหลิง มหาลัยเจียงหยวน" ฉินหยุนกล่าว

นี่คือมหาวิทยาลัยชั้นนำในระดับ 211 แห่ง

"จินหลิงงั้นเหรอ ฉันเองก็วางแผนว่าจะไปที่นั่นด้วย แต่คะแนนของฉันไม่อนุญาตให้ฉันเข้ามหาลัยเจียงหยวนนี่สิ แม้ว่าฉันจะเข้าได้ แต่วิชาเอกที่เลือกได้ก็ค่อนข้างแย่" โจวหยางกล่าว

จินหลิงเป็นเมืองที่มีการพัฒนาอย่างดี มีมหาวิทยาลัยชั้นนำมากมายทั้งแบบระดับ 211 แห่ง และระดับ 985 แห่ง และยังมีมหาวิทยาลัยอื่นๆอีกสิบกว่าแห่ง

เขตชิงหวู่ก็อยู่ใกล้ที่นั่นมากเช่นกัน ดังนั้นผู้คนจำนวนมากที่ได้คะแนนสูงจึงเลือกที่นั่นกันเป็นส่วนใหญ่

"หืม? เสี่ยวหลาน เธอเลือกมหาลัยเจียงหยวนงั้นเหรอ" ในขณะเดียวกันเสียงของจางเสี่ยวหยาก็ดังขึ้น

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉินหยุนก็เงยหน้ามองขึ้นไปที่เสี่ยวหลาน เสี่ยวหลานเองก็ดูเหมือนจะรู้สึกได้ และหันกลับมามองเขาด้วย

"นักเรียนฉินหยุน ดูเหมือนว่าในอนาคตเราอาจจะได้อยู่มหาลัยเดียวกันนะ" เสี่ยวหลานพูดด้วยรอยยิ้ม

เห็นได้ชัดว่าเธอได้ยินสิ่งที่ฉินหยุนพูดเมื่อครู่นี้

คะแนนของเธอสูงกว่าฉินหยุนสองคะแนนในการสอบเข้ามหาลัยครั้งนี้ และมหาวิทยาลัยเจียงหยวนก็เป็นตัวเลือกของเธอเช่นกัน

หลังจากกรอกใบสมัครแล้วเหล่านักเรียนก็พากันกลับบ้าน

ระหว่างเดินอยู่บนถนน โจวหยางก็แสร้งทำท่าทางลึกลับ "ฉินหยุน ฉันรู้สึกว่าเสี่ยวหลานสนใจนายอยู่"

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉินหยุนก็ผงะและพูดว่า "อย่าพูดไร้สาระน่า"

เขาไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้

“เฮ้ ฉันมีสายตาที่แหลมคม และไม่มีอะไรที่สามารถหลบซ่อนจากดวงตาของฉันได้หรอกนะ”

โจวหยางพูดพร้อมกับหัวเราะเบาๆ "บังเอิญว่านายกับเสี่ยวหลานจะไปเรียนที่มหาลัยเดียวกัน เพราะงั้นนายเลยมีข้อได้เปรียบมากกว่าคนอื่น ไม่เคยได้ยินหรือไง เก๋งจีนที่ใกล้น้ำมักได้จันทร์ก่อน[1] เสี่ยวหลานเป็นสาวที่สวยที่สุดในชั้นเรียนของเรา ลองคิดดูสิมันจะเจ๋งแค่ไหนถ้านายจีบเธอได้"

"นายหยุดพูดสักคำได้ไหม" ฉินหยุนเอ่ยอย่างหมดหนทาง

เสี่ยวหลานเป็นคนสวยและมีบุคลิกที่ดี ดังนั้นเขาจึงมีความประทับใจที่ดีต่อเธอโดยธรรมชาติ แต่ไม่ได้เกินเลยมากกว่านี้

"งั้นก็ลืมมันไปซะ ฉันก็ช่วยอะไรไม่ได้ถ้านายไม่ฟัง"

โจวหยางส่ายหัวเมื่อเห็นท่าทางที่ไม่ตอบสนองของฉินหยุน แต่กลับกันใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง "พ่อแม่ของฉันคอยจับตาดูอยู่ตลอดตอนฉันเรียนมัธยม แต่ตอนนี้ฉันจะไปใช้ชีวิตที่มหาลัยแล้ว ฉันจะมีความรักอันร้อนแรงในชีวิตมหาลัย!"

ไม่มีใครรู้ว่าความปรารถนาของโจวหยางจะเป็นจริงหรือไม่ แต่ในขณะนี้ซุนหยาตงกำลังรู้สึกตื่นตระหนกและวิตกกังวลมากอย่างแน่นอน

หลายวันผ่านไป ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา แม้จะมีเสื้อผ้าราคาแพงในร้านอยู่มากมาย แต่กลับไม่สามารถขายได้เลยสักตัว

(จบตอน)

----------------------------------------------------------------------------------------------

[1] 近水楼台先得月

จิ้น สุ่ย โหลวถาย เซียน เต๋อ เย่ว

จิ้น คือ ใกล้/ สุ่ย คือ น้ำ/ โหลวถาย คือ อาคารสิ่งปลูกสร้างแบบเก๋งจีนโบราณ / เซียน คือ ก่อน / เต๋อ คือ ได้/ เย่ว คือ จันทร์

แปลรวม เก๋งจีนที่ใกล้น้ำมักได้จันทร์ก่อน

หมายถึง การที่เราไปอยู่ในสถานการณ์ที่เอื้ออำนวย เราจะได้ประโยชน์ก่อนคนอื่นๆ

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด