ตอนที่ 1338 ทูตซ้ายจื้อไจ้เทียน
ตอนนี้เย่ว์หยางสงบอารมณ์ลงมากและอารมณ์ที่เคร่งขรึมเมื่อได้ยินเรื่องบัลลังก์เทพเป็นครั้งก็หายไป
อารมณ์ทั้งหมดของเขาเหมือนกับมองดูเมฆ
ท้องฟ้ากลับมาสดใสอีกครั้ง
ชายชราต้องการคุยโอ้อวดกับเย่ว์หยางเช่นกันแต่เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยเหยียดแขนตบไหล่เย่ว์หยางแรงๆ “เด็กน้อย พักไว้แค่นี้ก่อนเอาไว้เมื่อมีเวลาว่าง เราผู้เฒ่าจะคุยกับเจ้าอีกครั้งหนึ่งที่นี่มีคนบ้าอยู่คนหนึ่ง เขามีความสงสัยหวาดระแวงมาก เขาตามหาข้ามาตลอดหลายปีที่ผ่านมาข้าไม่ยอมให้เขาหาเจอแน่ ฮ่าฮ่า!”
เย่ว์หยางพูดไม่ออก
ผู้อาวุโสกำลังเล่นซ่อนหาหรือ?
มีความแข็งแกร่ง ถ้าต้องคอยตบเท้าวิ่งหนี ก็แค่ฆ่าตรงๆก็ได้ไม่ใช่หรือ? ทำไมต้องมาเล่นเกมส์น่าเบื่อด้วย? นี่พวกเขาอายุเป็นหมื่นปีแล้วไม่ใช่หรือ
“ถ้าเขาถามเจ้าอย่าบอกนะว่าเจอข้า!” ชายชรากำชับเย่ว์หยางไม่ให้ปล่อยข่าวเขารั่ว
“ข้าว่าผู้อาวุโสทำไมท่านถึงต้องหนี? ก็แค่ซัดหน้าเขาโดยตรงโค่นเขาไปเลยซัดให้ญาติผู้ใหญ่ของเขาจำหน้าไม่ได้ไม่ดีกว่าหรือ?” เย่ว์หยางไม่เข้าใจโลกชั้นสูง เขาเป็นผู้อาวุโสที่มีพลัง ก็แค่แสดงฝีมือเล็กน้อย จะต้องไปกลัวอะไร!
“ไม่ ไม่ข้าไม่ต้องการทำอะไรกับเด็กน้อยผู้มีอายุเพียงไม่กี่พันปี ถ้าเขาร้องไห้กลับไปฟ้องผู้ใหญ่ว่าข้ารังแกเด็กอย่างนั้นข้าก็ต้องเสียหน้า ไม่ ไม่ ข้าต้องไม่ทำเรื่องนั้น!” ผู้อาวุโสโบกมือพัลวัล
เย่ว์หยางอยากจะเอาหัวโขกเต้าหู้ยิ่งนัก
ชายชราหายไปทันที
เขาหายไปไม่เหลือร่องรอยเหมือนกับว่าไม่เคยปรากฏมาก่อน
ดวงจักษุญาณทิพย์ของเย่ว์หยางไม่มีทางมองเห็นได้ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเพิ่งได้ยินความลับบัลลังก์เทพ เย่ว์หยางสงสัยว่าผู้อาวุโสงี่เง่านี้ไม่เคยปรากฏตัวมาก่อนหรือเป็นเพียงภาพลวงตาบางอย่างที่ศัตรูสร้างให้เขา
หอทงเทียนมีผู้อาวุโสแบบนี้ได้อย่างไร?
มิน่าเล่าหอทงเทียนถึงได้ตกต่ำไม่นะ หลังจากที่ได้พบกับผู้อาวุโสผู้ทรงพลังนี้ไม่มีเหตุผลที่หอทงเทียนจะตกต่ำเลย
“คราวหน้าอย่าให้เจอกันไม่งั้นเจอดีแน่!” เย่ว์หยางไม่พอใจที่มีคนรุ่นอาวุโสที่ยอดเยี่ยมมากมายและเด็กรุ่นหลังของหอทงเทียนเหมือนกับเด็กกำพร้าไม่มีพ่อไม่มีแม่ ใครๆ ก็มารังแกกันได้นี่เป็นเรื่องที่พูดไม่ออก ผู้อาวุโสแบบนี้ใช้การอะไรได้? อาจจะใช้ไม่ได้เลยก็ได้ นางพญาเฟ่ยเหวินหลีไม่ต้องพูดถึง แต่จักรพรรดิอวี้ต้องตายไปนับว่าไม่ยุติธรรมนัก
อย่างไรก็ตามในทางกลับกัน
ตามคำพูดของผู้เฒ่านี้จะเห็นได้ว่าเจ้าตำหนักสูงสุดเทียนอี้แม้ว่าเขาจะเป็นเด็กน้อยที่มีชีวิตอยู่มานานสองสามหมื่นปีแต่ก็มีผู้ใหญ่หนุนหลังเขา
ดูเหมือนว่าปีศาจเฒ่ายังกังวลอยู่บ้างหากไม่ทำเช่นนั้นอาจมีข้อตกลงบางประการในข้างต้นว่า ‘ผู้ใหญ่’ ไม่ถนัดการแทรกแซงเรื่องเหล่านี้แต่ปล่อยให้ ‘เด็ก’ลงมือตามที่พวกเขาชอบ อย่างไรก็ตามคุณชายเป็นหนุ่มแล้วเจ้าตำหนักสูงสุดเทียนอี้มีชีวิตมาถึงสองหมื่นถึงสามหมื่นปีนี่ยังจะถูกรังแกได้หรือ?
สองสามพันปียังคงเป็นเด็ก? บ้าไปแล้ว ตาแก่ตาบอดจริงๆ
ในเมื่อผู้ใหญ่เบื้องบนไม่สนใจก็ปล่อยให้พวกเขาทะเลาะกัน
อย่างนั้นสิ่งต่างๆจะง่ายขึ้น
เย่ว์หยางตัดสินใจจะสร้างความปั่นป่วนครั้งใหญ่ในภูเขากวงหมิงนี้ ถ้าเขาไม่ฆ่าคนให้ได้สักเจ็ดก็อย่ามาเรียกเขาว่าคุณชายสามตระกูลเย่ว์
“รอมานานแล้วอาคันตุกะจากหอทงเทียนเย่ว์ไตตันอัจฉริยะที่เล่าลือกันว่ายากจะหาพบได้ในรอบหมื่นปีโปรดให้ข้าทูตซ้ายตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์เป็นตัวแทนท่านเจ้าตำหนักสูงสุดต้อนรับท่าน!” มีบุรุษวัยกลางคนร่างสูงใบหน้าหล่อเหลาไม่รู้ว่ามายืนข้างหลังเย่ว์หยางตั้งแต่เมื่อไหร่และทักทายเขาอย่างสง่างาม
สามารถมองเห็นความเป็นผู้ใหญ่ที่ผ่านประสบการณ์และเห็นริ้วรอยชราในช่วงตลอดหลายปี
ในทางตรงกันข้ามคนผู้นี้มีราศีเปล่งปลั่งเป็นพิเศษ
ผสานลงตัวกับประสบการณ์ของโลกได้ดีกลายเป็นเสน่ห์ที่ยอดเยี่ยม
ถ้าเด็กสาวผู้หยิ่งลำพองได้พบเห็นจะต้องตกหลุมรักแน่นอนราวกับว่านางถูกวางยาจนตกหลุมรักชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างหน้าตาน่าทึ่ง เมื่อเทียบกับเด็กหนุ่มหล่อเหลาและอ่อนวัยเยาว์กล้าหาญอย่างเย่ว์หยางท่านลุงวัยกลางคนนี้มีเสน่ห์ที่คล้ายกันแต่แตกต่างตรงที่เขาเป็นผู้ใหญ่ที่ดูมั่นคงและแข็งแกร่งดุจภูเขา ใครๆ ที่เห็นเขาจะรู้สึกไว้วางใจอย่างยิ่งแม้ว่าฟ้าจะถล่มทลาย แต่เขาก็สามารถแบกรับไว้บนบ่าได้
“ท่านน่ะหรือคือทูตซ้าย?”เย่ว์หยางไม่เคยได้ยินชื่อของทูตซ้ายมาก่อน แต่เขาเข้าใจด้วยจักษุญาณทิพย์ ทูตซ้ายผู้นี้ไม่มีความเป็นคนแม้แต่น้อย
เขาคืออสูรพิทักษ์ของเจ้าตำหนักสูงสุดเทียนอี้ผู้แปลงเป็นร่างมนุษย์ได้สมบูรณ์จากนั้นเลื่อนระดับเป็นนักสู้ชั้นเทพ!
มิน่าเล่าเขากล้าพูดว่าเป็นตัวแทนของเทียนอี้ออกมาต้อนรับแทนเขา
เย่ว์หยางเงยหน้ามองพยายามดูความผิดปกติของลุงวัยกลางคนที่อยู่ด้านตรงข้าม แต่น่าเสียดายที่เขาไม่พบมาระยะหนึ่งและเขาไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์ความประสงค์ของเขาได้ เขาจึงเปลี่ยนหัวข้อคุย “เนื่องจากเจ้านายของเจ้าไม่ได้ลงมาต้อนรับด้วยตนเองทั้งละเลยปล่อยให้อาคันตุกะรอเฉยๆ ถ้าข่าวนี้กระจายไปถึงไหนข้าเกรงว่าจะทำให้คนนอกหัวเราะเยาะเอาได้!”
ลุงวัยกลางคนที่เป็นทูตซ้ายไม่โกรธ เขายิ้มเล็กน้อย “อาคันตุกะมีหลายประเภทประเภทหนึ่งไม่ได้รับเชิญ ไม่ว่านายท่านจะทักทายด้วยตัวเองหรือไม่เชื่อว่าอาคันตะกะจะไม่รู้สึกว่าถูกทอดทิ้งเย็นชา”
เย่ว์หยางปรบมือ “พูดได้ดี,ครอบครัวข้าก็มาจากกลุ่มอาคันตุกะร้ายกาจกลุ่มหนึ่ง
บุรุษวัยกลางคนยกมือขึ้นแสดงความเสียใจ “โดยส่วนตัวแล้วข้าเห็นใจอย่างสุดซึ้งกับความโชคร้ายของท่านบางทีท่านอาจลองทำตามข้อเสนอแนะของข้าก็ได้ท่านทำการประท้วงและประณามพวกเขาอย่างรุนแรงดีไหม?”
เย่ว์หยางเมื่อได้ยินเช่นนั้นถึงกับหัวเราะไม่หยุด “ข้ายังไม่ได้เรียนรู้วิธีประท้วงและประณามมาก่อน ทำไมลุงไม่มาสาธิตให้ข้าดูหน่อยเล่า?”
ลุงวัยกลางคนโบกมือเบาๆ “การประท้วงและการประณามเป็นสิทธิในการแสดงออกของคนอ่อนแอมาโดยตลอดและข้าเองไม่ค่อยถนัดนักหากท่านต้องการดูว่าตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ขับไล่คนร้ายได้อย่างไร เรื่องอื่นๆข้าไม่คิดจะสาธิต คนหนุ่มแม้ว่าจะยืนอยู่ในค่ายของฝ่ายตรงข้ามแต่ข้ายังมีคำแนะนำที่จริงใจที่นี่คือตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ภูเขากวงหมิง ในขณะนี้ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ซึ่งคนวัยเยาว์จะมาท้าทายได้ ถ้าข้าเป็นท่าน ข้าจะกลับไปและพยายามฝึกฝนอย่างดีที่สุดอีกสักหมื่นกว่าปีค่อยกลับมา ข้าเชื่อว่าน่าจะได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างออกไป”
“ข้าไม่ใช่เจ้า ข้าก็คือข้า” เย่ว์หยางไม่ปฏิเสธคำแนะนำของฝ่ายตรงข้าม เขารู้ว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ได้พูดอะไรเกินจริง และที่พูดออกมาก็เป็นความจริงแต่ในฐานะเด็กหนุ่มข้ามโลก คุณชายสามตระกูลเย่ว์ เขามีความภาคภูมิใจและความหนักแน่นมั่นใจเป็นของตนเอง
“ตรงนี้ข้าขอพูดอย่างไม่เกรงใจคุณชายสามตระกูลเย่ว์ เจ้ายังไม่อาจเอาชนะข้าได้แล้วเจ้าจะท้าทายเจ้าตำหนักสูงสุดของข้าได้อย่างไร?” ลุงวัยกลางคนส่ายหน้า
“เจ้าลองสู้ได้ถ้าเอาชนะเจ้าไม่ได้ ข้าไม่ต้องคิดเรื่องชนะใคร” เย่ว์หยางยิ้มเหมือนดวงอาทิตย์
“รู้ว่าล้มเหลวยังอยากจะสู้อีกหรือ?” ลุงวัยกลางคนขมวดคิ้วดำ
“ไม่,ข้าไม่เคยล้มเหลว!” เย่ว์หยางมั่นใจ
“แน่ใจนะ?”ลุงวัยกลางคนประหลาดใจกับความมั่นใจของเด็กหนุ่มข้ามโลกในขณะนั้น เป็นความมั่นใจแบบไหนถึงได้กล้ายืนอยู่หน้าตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ภูเขากวงหมิง กล้าเป็นปฏิปักษ์ต่อเทียนอี้เจ้าตำหนักสูงสุดที่กล่าวกันว่าในชีวิตของเขาไร้พ่าย?สำหรับคุณชายสามตระกูลเย่ว์สมาชิกระดับสูงของตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ทุกคนมีข้อมูลรายละเอียดหาที่ใดเทียบไม่ได้ ยกเว้นแต่ว่าเขาถือไพ่ที่คาดไม่ถึงในมือสองสามใบ คนอื่นๆพวกตงฟางเกือบทั้งหมดมีความเข้าใจระดับสูงอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามเมื่อมองย้อนกลับไปมันเป็นเช่นนั้นจริง การต่อสู้ที่คุณชายผู้นี้เข้าร่วมไม่ว่าจะมีใครสักคนรู้เห็นหรือไม่ก็ตาม กับผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมดูเหมือนเขาไม่เคยล้มเหลวเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“ศัตรูทุกคนที่คิดว่าพวกเขาสามารถเอาชนะข้าได้พวกเขาล้วนล้มเหลวทั้งหมด” เย่ว์หยางนึกถึงศัตรูต่างๆในทุกช่วงชีวิตของเขาไม่ว่าจะเป็นคู่ปรับดั้งเดิม สื่อจินโหว ซือคงและจิ่วเซียวที่เผชิญหน้ากันในตำหนักเทพจักรพรรดิอวี้รวมทั้งจักรพรรดิชื่อตี้ จ้าวปีศาจโบราณ จอมปีศาจไคเทียนและคนอื่นๆ แม้กระทั่งจักรพรรดินีฟ้าแห่งเผ่าเก้าแสงและจ้าวสุริยาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจพวกเขาล้วนล้มเหลว มีแต่ตัวเขาที่ยืนอยู่ได้ในท้ายที่สุด ได้หัวเราะเป็นคนสุดท้าย
เพราะได้พบเจอศัตรูที่แข็งแกร่งมาโดยตลอด
ผ่านการต่อสู้มาอย่างหนักหน่วงมากมาย
ในที่สุดก็ทำให้เขาแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
ถ้าเป็นไปได้เย่ว์หยางอยากจะขอบคุณศัตรูที่ต่อสู้กับเขาอย่างดุเดือดสู้อย่างเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย! ขอบคุณที่ทำให้มีเย่ว์หยางในวันนี้และมีคุณชายสามตระกูลเย่ว์ที่ก้าวเดินเข้ามายังภูเขากวงหมิงอย่างกล้าหาญมาท้าทายเจ้าตำหนักสูงสุดเทียนอี้
ลุงวัยกลางคนเห็นแรงบันดาลใจของเย่ว์หยางเปลี่ยนไปกอปรกับความมั่นใจและพลังเทพค่อยๆ แสดงให้เห็นถึงประกายเทพที่ไม่เหมือนใคร
เขาก้าวเท้ามาข้างหน้าหนึ่งก้าวผายมือแสดงความจริงใจให้เกียรติต่อเย่ว์หยาง “บุรุษหนุ่ม! เจ้าเป็นผู้เยาว์ที่ยอดเยี่ยมจริง นอกจากท่านเจ้าตำหนักสูงสุดนายข้าแล้วข้าไม่เคยเห็นอัจฉริยะคนที่สองอย่างเจ้า บางทีเส้นทางในอนาคตของเจ้าอาจไปได้ไกลมากและอนาคตของเจ้าไม่มีขีดจำกัด อย่างไรก็ตาม ข้าขอบอกกับเจ้าอย่างจริงใจไม่มีบัลลังก์เทพสำหรับเทพเบื้องล่าง และไม่มีคู่ต่อสู้ภายใต้บัลลังก์เทพให้เห็น”
เมื่อเขายืดตัวตรงหน้าของบุรุษวัยกลางคนมีประกายแสงเทพศักดิ์สิทธิ์ “บุรุษหนุ่ม! ในเมื่อในชีวิตของเจ้าไร้พ่ายอย่างนั้นข้าทูตซ้ายจื้อไจ้เทียนภายใต้บัลลังก์เทพเจ้าตำหนักสูงสุดจะเอาชนะเจ้าให้ได้!”
“จื้อไจ้เทียน?”เย่ว์หยางรู้สึกคุ้นกับชื่อนี้
อย่างไรก็ตามจื้อไจ้เทียนที่อยู่ต่อหน้าเขาแตกต่างจากจื้อไจ้เทียนที่เขาเคยได้ยินมาก่อนแน่นอน
และยิ่งไปกว่านั้นจื้อไจ้เทียนที่เขาเคยได้ยินมาก่อนนั้นก็ยังสับสนเนื่องจากคำอธิบายต่างๆไม่มีใครรู้ความจริง เย่ว์หยางไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้นดังนั้นเขาจึงไม่มีความตั้งใจสอบถาม เมื่อได้ยินชื่อของลุงวัยกลางคนว่าจื้อไจ้เทียนครั้งแรกเย่ว์หยางลอบตกใจท้ายที่สุดแล้วนักสู้จากแดนสวรรค์บนก็เหมือนกับเมฆลอยเลื่อนมีสีสันอยู่บ้างไม่ใช่หมาใช่แมวที่ใครจะเรียกกันได้ง่ายๆ
เจ้าตำหนักสูงสุดเทียนอี้กล้าตั้งชื่อเช่นนั้นให้กับอสูรพิทักษ์แสดงว่าบุรุษวัยกลางคนนี้ค่อนข้างมีฝีมือ
ชื่อและพลังของจื้อไจ้เทียนทำให้เย่ว์หยางตื่นเต้น
แต่สิ่งที่เขาพูดว่าจะเอาชนะเขาเมื่อเข้าหูเย่ว์หยางเขาเลือกที่จะเมินเฉย
ศัตรูที่แข็งแกร่งเกือบทั้งหมดก็พูดอย่างนี้ แต่น่าเสียดายคนเดียวที่ทำให้เด็กหนุ่มข้ามโลกไม่อาจแก้แค้นได้ก็คือนักพรตเต๋าผู้เตะโด่งเขาเข้ามายังโลกนี้
“มาเถอะมาเอาชนะข้า ทำเหมือนกับที่จ้าวสุริยาเคยบอกข้า...”
ก่อนที่เย่ว์หยางจะพูดจบประโยคเขาประหลาดใจเมื่อพบว่าตลอดทั้งโลกตกอยู่ในแสงศักดิ์สิทธิ์ที่น่ากลัว
*** *** ***