ตอนที่ 45: ไข่โลหะ
ตอนที่ 45: ไข่โลหะ
“เซี่ยเฟยเหมาะสำหรับแผนกกลยุทธ์ของฉันที่สุด! ฉันเชื่อว่าเขาอยากจะเป็นเจ้าหน้าที่ที่คอยนั่งวางกลยุทธ์อยู่ในสำนักงานเพื่อบัญชาการสถานการณ์ในสนามรบทั้งหมด ด้วยตำแหน่งหน้าที่ที่สำคัญมากขนาดนี้มันจะไปเทียบกับงานจากแผนกลาดตระเวนกับแผนกเลี้ยงสัตว์ได้ยังไง” ชิวเชียงจี่กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา
ชิวเชียงจี่ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในนักวางแผนกลยุทธ์ที่ดีที่สุดภายในภูมิภาคดาวเอ็นดาโร่ มันจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเป็นหัวหน้าแผนกที่มีอิทธิพลมากที่สุดในบรรดาหัวหน้าแผนกทั้งสามคนนี้
ในความเป็นจริงชิวเชียงจี่ก็ยังมีโอกาสที่จะมองคนพลาด แต่ทั้งโฮ่วไป๋ชานและหม่าเจี้ยนต่างก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาของตนเอง ยิ่งไปกว่านั้นทั้งคู่ก็กำลังให้ความสนใจกับเซี่ยเฟยเช่นเดียวกัน ชิวเชียงจี่จึงคิดว่าในครั้งนี้เขาไม่ได้มองเซี่ยเฟยพลาดไปอย่างแน่นอน
ชิวเชียงจี่ไม่ใช่คนเดียวที่มีความคิดเช่นนั้นเพราะหัวหน้าแผนกอีกสองคนก็มีข้อสรุปในทำนองเดียวกัน มันจึงทำให้สถานการณ์ตึงเครียดมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ เพราะไม่มีใครยอมถอยให้กับอีกสองคน
“เฮอะ! สาเหตุที่แผนกกลยุทธ์สามารถนั่งวางแผนในสำนักงานได้อย่างสบาย ๆ นั่นก็เพราะแผนกลาดตระเวนของผมได้รวบรวมข้อมูลมาให้ ดังนั้นการทำงานในแผนกลาดตระเวนจึงไม่ได้มีความสำคัญด้อยไปกว่าแผนกกลยุทธ์เลยแม้แต่น้อย นอกจากนี้พวกเรายังสมควรที่จะถามความเห็นจากเซี่ยเฟยว่าเขาว่าต้องการที่จะเข้าร่วมกับแผนกไหน ดังนั้นคำพูดทั้งหมดที่คุณพูดออกมาจึงไม่สามารถที่จะเอามาตัดสินใจได้” โฮ่วไป๋ชานกล่าวตอบโต้กลับไปอย่างใจเย็น
โดยปกติโฮ่วไป๋ชานจะไม่โต้เถียงกับใครเพราะหน้าที่ตำแหน่งของเขาจำเป็นที่จะต้องสงบสติอารมณ์และต้องไม่ทำตัวโดดเด่นอยู่เสมอ ดังนั้นถึงแม้ว่าชิวเชียงจี่จะพูดจาดูถูกตำแหน่งหน้าที่การงานของเขาแต่เขาก็ยังคงมีความคิดว่าการเสี่ยงชีวิตเพื่อรวบรวมข้อมูลในสนามรบเป็นงานที่น่าสนใจกว่าการนั่งสั่งการอยู่ในสำนักงานอยู่ดี
“ใช่แล้ว! แผนกสัตว์อสูรของฉันก็มีตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพสัตว์อสูรด้วยเหมือนกัน การสั่งการสัตว์อสูรเข้าสู่สนามรบก็น่าสนใจไม่น้อยไปกว่าการนั่งบัญชาการอยู่ในแผนกกลยุทธ์.. จริง ๆ แล้วพวกสัตว์อสูรทั้งฉลาดและน่ารัก ถ้าหากว่าเซี่ยเฟยได้เข้าร่วมกับแผนกสัตว์อสูรของฉัน ฉันก็จะฝึกให้เขาทำหน้าที่คอยควบคุมสัตว์อสูร” หม่าเจี้ยนตอบโต้กลับไปเช่นเดียวกัน
หม่าเจี้ยนเป็นคนพูดไม่เก่งดังนั้นเขาจึงพยายามแสดงความคิดเห็นออกไปแต่ความมุ่งมั่นที่เขาจะรับสมัครเซี่ยเฟยเข้าไปในแผนกก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าหัวหน้าแผนกอีกสองคนนี้เลยแม้แต่นิดเดียว
“แต่ฉันยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าการปล่อยต้นกล้าที่แข็งแรงไปวิ่งเล่นกับลิงมันจะเป็นเรื่องที่ดีตรงไหน” ชิวเชียงจี่กล่าวเยาะเย้ยเพราะท้ายที่สุดเขาก็เป็นหนึ่งในคนที่รังเกียจสัตว์อสูรเนื่องมาจากว่าพวกมันมักจะมีกลิ่นเหม็น
“ไหนลองพูดอีกทีซิ!” หม่าเจี้ยนระเบิดอารมณ์ออกมาหลังจากที่เขาได้ยินชิวเชียงจี่เปรียบเทียบอาชีพของเขาเป็นการวิ่งเล่นกับลิง
“พอได้แล้ว!” เย่จิ่งชานส่งเสียงตะคอกอย่างไม่สามารถที่จะระงับความโกรธของเขาได้อีกต่อไป จากนั้นเขาก็กล่าวต่อไปอีกว่า
“ลองตั้งสติแล้วดูตัวเองซิว่าศักดิ์ศรีในฐานะหัวหน้าแผนกของพวกคุณยังเหลืออยู่อีกไหม!!”
เมื่อโดนดุหัวหน้าแผนกทั้งสามคนก็ยืนตัวตรงและไม่กล้าที่จะเอาแต่ใจตัวเองอีกต่อไป เพราะมันไม่มีใครเคยคาดคิดว่าเมื่อภูเขาน้ำแข็งหมื่นปีได้ปะทุมันจะก่อให้เกิดภาพที่น่ากลัวเช่นนี้
เหตุการณ์ในปัจจุบันถึงกับทำให้เย่จิ่งชานต้องนวดขมับเพราะตั้งแต่ที่เขาได้เข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการของค่ายฝึกจัสทิสลีกมา เขาก็ไม่เคยได้พบกับเรื่องที่น่าปวดหัวมากขนาดนี้เลย
ท้ายที่สุดไม่ว่าเขาจะตัดสินใจมอบเซี่ยเฟยให้กับใครแต่หัวหน้าแผนกอีกสองคนย่อมรู้สึกไม่พอใจอย่างแน่นอน
เรื่องนี้จะก่อให้เกิดคลื่นใต้น้ำที่จะมีปัญหาในอนาคตและในฐานะผู้บัญชาการ เย่จิ่งชานย่อมไม่สามารถปล่อยให้เรื่องเลยเถิดไปจนถึงขั้นนั้นได้
ขณะเดียวกันการไม่รับเซี่ยเฟยเข้ามาภายในค่ายฝึกก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เพราะเหตุผลสำคัญที่ทำให้ค่ายฝึกจัสทิสลีกสามารถพัฒนามาได้จนถึงทุกวันนี้นั่นก็เพราะพวกเขาได้รับสมัครอัจฉริยะเข้ามาภายในค่ายอย่างต่อเนื่อง
ในอดีตค่ายฝึกจัสทิสลีกมีกฎในการรับสมัครจัสทิสฝึกหัดที่เข้มงวดโดยพวกเขาจะไม่สนใจรับสมัครผู้ที่เกิดมามีฐานะอันต่ำต้อยเลย แต่ในตอนนี้หากใครมีความสามารถที่จะผ่านเกณฑ์ในการรับสมัครก็สามารถที่จะเข้าร่วมกับค่ายฝึกได้ทุกคน ดังนั้นการผลักไสเซี่ยเฟยออกไปจึงเป็นการขัดต่อมาตรการของค่ายฝึกในปัจจุบัน
นอกจากนี้มันยังมีหัวหน้าแผนกให้การยอมรับพรสวรรค์ของเซี่ยเฟยถึงสามคน ซึ่งมันก็เป็นการบีบบังคับให้เย่จิ่งชานต้องครุ่นคิดถึงเรื่องนี้อย่างรอบคอบมากยิ่งขึ้น
“วันนี้มันยังเป็นเพียงแค่วันแรกของการประเมินดังนั้นมันยังเร็วเกินไปที่ทุกคนจะตัดสินใจ ฉันขอให้ทุกคนรอไปอีกเจ็ดวันให้การแข่งขันในรอบแรกสิ้นสุดลงซะก่อนแล้วในตอนนั้นใครยังต้องการใช้สิทธิ์ในการรับสมัครในกรณีพิเศษค่อยมาพบกับฉันอีกรอบ” เย่จิ่งชานตัดสินใจกล่าวตอบกลับไปอย่างไร้อารมณ์
“ผู้บัญชาการเย่การประเมินในครั้งนี้เป็นการประเมินในระดับวิกฤตนะ ซึ่งมันก็หมายความว่าผู้สมัครทุกคนต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงถึงชีวิตตลอดเวลา มันจะไม่ใช่เรื่องที่น่าเสียดายเกินไปหน่อยหรอถ้าหากว่าเซี่ยเฟยเสียชีวิตในระหว่างการประเมิน” ชิวเชียงจี่กล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ถ้าเขาเป็นคนพิเศษอย่างที่พวกคุณเชื่อจริง ๆ เขาก็สมควรจะผ่านการประเมินในรอบแรกไปได้อย่างราบรื่น เอาล่ะฉันตัดสินใจเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว ขอเชิญทุกคนกลับไปได้” เย่จิ่งชานกล่าวออกไปอย่างเย็นชา
—--
วันเวลาได้ผ่านพ้นมาสามวันแล้วและถึงแม้ว่าบนท้องฟ้าจะเต็มไปด้วยเมฆครึ้มแต่ฝนก็ยังไม่ตกลงมาอย่างที่เซี่ยเฟยได้คาดหวังเอาไว้
เซี่ยเฟยกับเซียวรั่วหยูได้ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางพืชพรรณตลอดเวลาและมันก็เป็นเรื่องที่โชคดีที่สาวน้อยคนนี้ไม่เคยบ่นเกี่ยวกับการใช้ชีวิตอย่างยากลำบากเลย พวกเขาจึงสามารถอดทนรอได้โดยไม่มีปัญหาใด ๆ
เมื่อถึงเวลาเที่ยงของวันที่สาม ในที่สุดเสียงเตือนที่เซี่ยเฟยรอคอยมานานก็ดังขึ้น
ชายหนุ่มได้วางเครื่องตรวจจับเอาไว้ในรัศมี 50 กิโลเมตรรอบ ๆ บริเวณนี้ ดังนั้นเขาจึงได้รับการแจ้งเตือนในทันทีเมื่อมีใครบางคนหลงเข้ามา
อย่างไรก็ตามเมื่อเซี่ยเฟยได้จ้องมองไปยังหน้าจอของเครื่องตรวจจับ มันก็ทำให้เขาอดที่จะขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ เพราะผู้ที่หลงเข้ามาในบริเวณนี้ไม่ได้มีแค่คนเดียวแต่มันเป็นทีมของผู้สมัครจำนวน 3 คน
“เสี่ยวหยูซ่อนตัวอยู่ที่นี่ไปก่อนนะ จำเอาไว้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอย่าออกจากที่นี่เด็ดขาด” เซี่ยเฟยสั่ง
“ค่ะ” เซียวรั่วหยูพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง ขณะที่เซี่ยเฟยรีบมุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางที่ผู้สมัครทั้งสามคนได้เคลื่อนที่เข้ามา
หลังจากเซี่ยเฟยแอบซุ่มรออยู่ในพุ่มไม้ได้ไม่นาน มันก็มีผู้สมัครสามคนได้ปรากฏตัวขึ้นมาตรงหน้าของเขา โดยผู้สมัครคนหนึ่งเป็นหญิงสาวอายุประมาณ 20 ปี เธอคนนี้ก็มีความเร็วในการเคลื่อนที่ประมาณ 800 เมตรต่อวินาทีซึ่งเร็วกว่าความเร็วของเซี่ยเฟยถึงสองเท่า
หญิงสาวผู้มีพลังสายความเร็วคนนี้สวมใส่ชุดรัดรูปสีเทาและแต่งหน้าจัด อย่างไรก็ตามเนื่องมาจากเหงื่อที่ไหลลงมาเต็มใบหน้ามันจึงทำให้เครื่องสำอางเหล่านั้นเริ่มละลายจนกลายเป็นภาพที่สยดสยอง
นอกจากเธอคนนี้แล้วยังมีชายอีกหนึ่งคนที่มีผมกระเซอะกระเซิง โดยชายคนนี้มีบาดแผลทั่วทั้งร่างกายและเมื่อเซี่ยเฟยได้พิจารณาจากบาดแผลบนร่างของเขาแล้ว เซี่ยเฟยก็สามารถบอกได้เลยว่าอวัยวะภายในของชายคนนี้คงจะถูกฉีกกระชากออกไปแล้วอย่างแน่นอนโดยเฉพาะก้นด้านซ้ายที่ถูกฉีกออกไปถึงครึ่งหนึ่งแล้วและบนบาดแผลของเขาก็เต็มไปด้วยเลือดและโคลนที่ผสมกัน
อย่างไรก็ตามพลังชีวิตของชายคนนี้ก็ยังไม่หมดลง เขาได้อดทนต่อความเจ็บปวดขณะที่ทำการต่อสู้กับชายอีกคนหนึ่ง
ชายหนุ่มผู้บาดเจ็บถือดาบยาวขนาดใหญ่ที่มีใบดาบหนากว่า 2 นิ้ว ซึ่งเซี่ยเฟยคิดว่าอาวุธชิ้นนี้สมควรจะมีน้ำหนักไม่น้อยไปกว่า 500 กิโลกรัม แต่เมื่อมันได้มาอยู่บนมือของชายคนนี้แล้วเขากลับสามารถกวัดแกว่งมันไปมาได้โดยไม่รู้สึกติดขัดใด ๆ ซึ่งมันก็น่าจะหมายความว่าเขาน่าจะเป็นผู้ใช้พลังสายความแข็งแกร่ง
ส่วนชายคนสุดท้ายเป็นเหมือนกับสัตว์ประหลาดครึ่งมนุษย์เพราะทั่วทั้งร่างกายของเขาถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดและตรงเปลือกตาของเขายังมีเปลือกตาใส ๆ มาปิดไว้อีกชั้นคล้ายกับป้องกันไม่ให้เลือดไหลเข้าไปกระทบกับดวงตา
“มอบแผ่นป้ายนั่นมาให้กับฉันซะ! แล้วฉันจะปล่อยแกไป” ชายผู้ถือดาบส่งเสียงตะโกนพร้อมกับชูดาบของเขาขึ้นไปเหนือศีรษะ
“อย่าเสียเวลาพล่ามให้มากนักเลย! พวกแกสองคนทำอะไรฉันไม่ได้หรอก!!” ชายครึ่งสัตว์ประหลาดร้องตะโกนกลับไป
คำพูดนี้ได้ทำให้ชายผู้ถือดาบรู้สึกโกรธเคืองมาก เขาจึงรีบพุ่งตัวออกไปด้านหน้าพร้อมกับใช้ดาบยาวฟันไปที่หัวของเป้าหมาย
ในเวลาเดียวกันหญิงสาวผู้ใช้ความเร็วก็เคลื่อนที่วนไปด้านหลังพร้อมกับทำการจู่โจมด้วยดาบสั้นภายในมือของเธอ
การจู่โจมของชายหญิงสองคนนี้ประสานงานกันได้เป็นอย่างดี จนทำให้ชายครึ่งสัตว์ประหลาดป้องกันตัวได้อย่างยากลำบาก
เป้ง!
ดาบยาวของผู้ใช้พลังสายความแข็งแกร่งได้ฟันกระทบเข้าไปที่ไหล่ของชายครึ่งสัตว์ประหลาดจนทำให้ร่างที่ปกคลุมไปด้วยเกล็ดเดินโซซัดโซเซถอยไปข้างหลังและเกือบจะเสียหลักจากการถูกจู่โจม
ถึงแม้ว่าดาบยาวที่มีน้ำหนักมากกว่า 500 กิโลกรัมนี้จะได้ฟาดลงกระทบกับเกล็ดของชายครึ่งสัตว์ประหลาดเข้าไปเต็ม ๆ แต่มันก็สร้างรอยบาดแผลขึ้นมาเพียงแค่เส้นบาง ๆ เท่านั้น
ในขณะที่ทั้งสามคนได้ต่อสู้กัน พวกเขาก็เคลื่อนที่เข้าไปหาจุดที่เซี่ยเฟยซ่อนตัวอยู่เรื่อย ๆ และถึงแม้ว่าคู่ชายหญิงจะมีความได้เปรียบ แต่พวกเขาก็กำลังพยายามจู่โจมด้วยความยากลำบาก
ขณะเดียวกันชายครึ่งสัตว์ประหลาดก็มุ่งเน้นไปที่การป้องกันโดยใช้แขนทั้งสองข้างป้องกันดวงตาเอาไว้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมันเห็นได้ชัดเลยว่าดวงตาน่าจะเป็นจุดอ่อนของชายคนนี้
“สรุปว่าพวกเขาทั้งสามคนไม่ได้อยู่ทีมเดียวกันสินะ” เซี่ยเฟยคิดกับตัวเองพร้อมกับผ่อนคลายความตึงเครียดลงไปเล็กน้อย เพราะมันก็หมายความว่าเขามีโอกาสที่จะซุ่มโจมตีผู้สมัครกลุ่มนี้ได้
“อันธ!” เซี่ยเฟยส่งเสียงตะโกนเข้าไปในจิตสำนึก
“มีอะไร?” อันธโผล่หัวออกมาจากหินมัวร์อย่างเกียจคร้าน
“พลังของสัตว์ประหลาดคนนั้นคืออะไร เชสซิ่งไลท์ของฉันฆ่าเขาได้ไหม” เซี่ยเฟยกล่าวถามพร้อมกับชี้นิ้วไปยังชายครึ่งสัตว์ประหลาด
“สัตว์ประหลาด? นั่นคือคนที่มีพลังพิเศษสายแปลงร่างต่างหาก พวกมีพลังสายพิเศษเป็นกลุ่มผู้มีพลังที่มีความหลากหลายมากและมันก็มีผู้ใช้พลังบางคนสามารถแปลงร่างในรูปแบบต่าง ๆ ได้” อันธตอบหลังจากที่เขาได้มองตามนิ้วของเซี่ยเฟยไป จากนั้นเขาก็กล่าวต่อไปอีกว่า
“เกล็ดบนร่างกายของเขาค่อนข้างที่จะมีพลังป้องกันสูงมาก ถึงแม้ว่าเชสซิ่งไลท์ของนายจะสามารถทำร้ายร่างกายของเขาได้แต่นายคงจะต้องใช้ความพยายามอย่างหนักหากนายต้องการที่จะฆ่าเขา”
เมื่อได้รับคำอธิบายเซี่ยเฟยก็พยักหน้ารับ
ตราบใดก็ตามที่เขามีเวลาเขาย่อมสามารถสังหารชายผู้มีพลังสายแปลงร่างได้อย่างไม่มีปัญหา แต่ส่วนที่แย่ที่สุดในตอนนี้คือเขาต้องหาทางจัดการกับหญิงสาวผู้มีพลังสายความเร็วและชายหนุ่มผู้มีพลังสายความแข็งแกร่งเสียก่อน
จากประสบการณ์การต่อสู้ที่ผ่านมาเซี่ยเฟยได้เรียนรู้แล้วว่าพลังพิเศษแต่ละรูปแบบสามารถที่จะนำมาแก้ทางกันได้ ดังนั้นเขาจึงวางแผนที่จะสังเกตการณ์ศัตรูอย่างรอบคอบและตัดสินใจจะทำการลงมือเมื่อเขามีความมั่นใจว่าเขาจะได้รับชัยชนะเท่านั้น เพราะท้ายที่สุดการรักษาชีวิตของเขาเอาไว้ย่อมมีความสำคัญมากกว่าการผ่านไปสู่รอบที่ 2
ในบรรดาผู้สมัครทั้งสามคน หญิงสาวผู้ใช้ความเร็วน่าจะเป็นตัวปัญหาคนเดียวสำหรับเขา เพราะไม่เพียงแต่เธอจะมีพลังเหมือนกับเขาเท่านั้นแต่ความเร็วที่เธอได้ครอบครองอยู่ยังเหนือกว่าเขาอีกด้วย มันจึงทำให้เขาไม่มั่นใจว่าเขาจะสามารถสังหารเธอภายใต้การจู่โจมในครั้งเดียวได้
‘ฉันควรจะรอเป้าหมายใหม่ดีไหม?’ เซี่ยเฟยคิดข้อสรุปกับตัวเองอย่างไม่เต็มใจ
ทั้งสามคนอยู่ห่างจากเขาออกไปประมาณ 200 เมตรและเนื่องมาจากพวกเขาได้ทำการต่อสู้ต่อเนื่องกันมาอย่างยาวนานมันก็มีอาการที่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเริ่มที่จะหมดแรงแล้วเช่นกัน
ปัจจุบันชายผู้ใช้พลังสายความแข็งแกร่งได้แทงดาบยาวของเขาลงที่พื้น พร้อมกับแอบส่งสัญญาณให้กับหญิงสาวจากทีมเดียวกัน
ต่อมาเซี่ยเฟยก็เห็นว่าผู้หญิงคนนั้นนำมือซ้ายไปวางไว้บนแหวนมิติที่เธอได้สวมเอาไว้ที่มือขวาด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความประหม่า
เมื่อชายหนุ่มได้เห็นหญิงสาวทำท่าเตรียมตัว เขาก็พยักหน้าอย่างแน่วแน่โดยเฉพาะสถานการณ์ในตอนนี้ที่พวกเขาใกล้จะหมดแรงเต็มทีแล้ว ดังนั้นถ้าหากว่าพวกเขาไม่สามารถจัดการศัตรูในการจู่โจมครั้งนี้ได้ พวกเขาก็อาจจะเป็นฝ่ายที่จะได้รับความพ่ายแพ้
ฟิ้ว!
ทันใดนั้นหญิงสาวก็กัดฟันพร้อมกับโยนไข่โลหะสีเงินออกไปจากแหวนมิติ
ไข่โลหะนี้มีขนาดประมาณไข่นกกระจอกเทศและเมื่อมันได้ตกลงไปบนดินทราย มันก็สร้างแอ่งกระทะขนาดเล็กขึ้นมาในทันที ซึ่งมันเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าไข่โลหะชิ้นนี้มีน้ำหนักมากเพียงใด
ในเวลาเดียวกันเมื่อชายครึ่งสัตว์ประหลาดได้เห็นไข่โลหะที่ปรากฏขึ้นมาอย่างฉับพลัน มันก็ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างรวดเร็ว
***************
ไข่? ระเบิดหรอ?