ตอนที่ 39: ระดับสตาร์เบสขั้นกลาง!
ตอนที่ 39: ระดับสตาร์เบสขั้นกลาง!
เรื่องราวภายในโลกค่อนข้างจะเป็นไปอย่างยุติธรรม เพราะถึงแม้ว่าเซี่ยเฟยจะสามารถปลดล็อกพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ได้อย่างสมบูรณ์แต่เขาก็สูญเสียความสามารถในการฝึกฝนตามธรรมชาติของเขาไป เขาจึงจำเป็นที่จะต้องใช้การดื่มน้ำยาเพื่อเพิ่มระดับความสามารถของเขาเท่านั้น
กว่าที่เซี่ยเฟยจะสามารถพัฒนาจนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงเขาก็จำเป็นที่จะต้องดื่มน้ำยาหลาย ๆ ชนิดเข้าไปอย่างต่อเนื่องและมันก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าน้ำยาของอันธย่อมเป็นน้ำยาที่มีผลข้างเคียงค่อนข้างรุนแรง
ความเจ็บปวด!
หลังจากที่เซี่ยเฟยได้ดื่มน้ำยาสีขาวเข้าไปเขาก็รู้สึกราวกับว่าภายในท้องของเขากำลังมีใบพัดหมุนปั่นอย่างต่อเนื่อง จนทำให้อวัยวะภายในบิดเบี้ยวไปมาจนไม่สามารถคงสภาพดังเดิมได้อีกต่อไป
เซี่ยเฟยก้มตัวลงไปใช้มือทั้งสองจับพื้นเอาไว้ ขณะที่ร่างกายของเขากำลังสั่นเทาอย่างรุนแรง โดยในปัจจุบันเขาต้องกัดฟันต้านรับความเจ็บปวดจนทำให้มันมีเลือดไหลออกมาจากเหงือกของเขาในปริมาณมาก
ในเวลาเดียวกันมันก็มีเหงื่อเม็ดใหญ่ไหลลงมาจากหน้าผากของเขาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในเวลาเพียงแค่ไม่นานเม็ดเหงื่อเหล่านี้ก็รวมตัวกันจนกลายเป็นสายน้ำที่ไหลท่วมทั้งร่างของชายหนุ่มในพริบตา
สูตรน้ำยาของอันธนั้นทรงพลังมากแต่มันก็สร้างความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสด้วยเช่นกัน ทุก ๆ ครั้งที่เซี่ยเฟยได้เลื่อนระดับของตนเองมันก็ให้ความรู้สึกราวกับว่าเขาพึ่งได้ผ่านพ้นนรกแห่งความเจ็บปวดมา
แต่ในครั้งนี้มันก็ค่อนข้างจะมีเรื่องที่แตกต่างออกไปเพราะชายหนุ่มไม่ได้ส่งเสียงกรีดร้องออกมาในระหว่างกระบวนการเหล่านี้เลย
‘อดทนไว้!’
‘อย่ายอมแพ้!’
นี่คือเส้นทางที่เซี่ยเฟยจะต้องเดินและมันก็เป็นหนทางเดียวที่จะนำเขาไปสู่การเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริง!
มันเคยมีคนบอกเอาไว้ว่าหากใครต้องการที่จะได้รับพลังที่แข็งแกร่งกว่านี้ คนคนนั้นก็จำเป็นที่จะต้องใช้ความพยายามที่มีราคาไม่ด้อยไปกว่ากัน!
ไม่มีใครสามารถที่จะเติบโตขึ้นมาได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามและมันก็ไม่มีใครสามารถที่จะใช้ชีวิตอย่างราบรื่นไม่พบพานกับอุปสรรคได้อย่างต่อเนื่อง
เบื้องหลังของผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงทุกคนต่างก็ล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อและความขมขื่น ซึ่งมันเป็นเรื่องจริงที่ผู้เชี่ยวชาญทุกคนต่างก็ต้องพบเจอเหมือน ๆ กัน
ในระหว่างนั้นอันธได้ยืนอยู่ตรงมุมห้องด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้รู้สึกชื่นชมที่เด็กหนุ่มต้องรู้สึกทรมาน แต่เขารู้สึกชื่นชมที่เซี่ยเฟยกำลังพยายามต่อสู้กับความเจ็บปวดโดยไม่แสดงความอ่อนแอของเขาออกมา
เมื่อเวลาผ่านไปความเจ็บปวดของเซี่ยเฟยก็ค่อย ๆ ลดลงอย่างช้า ๆ และในที่สุดเขาก็สามารถลุกขึ้นมาจากพื้นได้ในเวลาที่พระอาทิตย์กำลังตกดิน
หลังจากลุกขึ้นมาจากพื้นเซี่ยเฟยก็เดินเข้าไปในห้องน้ำพร้อมกับล้างหน้าด้วยน้ำเย็น แต่เขารู้สึกว่าน้ำเพียงแค่นี้มันยังไม่สามารถที่จะเรียกสติของเขากลับมาได้ ดังนั้นเขาจึงเปิดฝักบัวเพื่ออาบน้ำเย็นไปทั้งตัว
มันคงไม่ต้องอธิบายว่าการอาบน้ำเย็นในฤดูหนาวเป็นความรู้สึกที่ทรมานมากแค่ไหน แต่สำหรับเซี่ยเฟยในขณะนี้น้ำเย็นกำลังทำให้สภาพจิตใจของเขารู้สึกปลอดโปร่งในขณะที่กล้ามเนื้อของเขาก็ค่อย ๆ ผ่อนคลายอย่างช้า ๆ
เมื่อเดินออกจากห้องน้ำเซี่ยเฟยก็สวมชุดวินด์ชาโดว์กลับเข้าไปอีกครั้งพร้อมกับทำการสวมแหวนทะลุลมและแหวนมิติก่อนที่เขาจะเดินลงไปที่ชั้นล่าง
ปัจจุบันมันเป็นช่วงเวลาพลบค่ำแล้วและดวงไฟบนถนนก็เริ่มเปล่งแสงสว่างไสว ขณะเดียวกันช่วงเวลานี้ก็บังเอิญเป็นชั่วโมงเร่งด่วนที่ผู้คนกำลังเลิกงานมันจึงทำให้มีฝูงชนเดินตามท้องถนนอยู่อย่างมากมาย
เซี่ยเฟยยืดเหยียดร่างกายของเขาเพื่อเป็นการเตรียมตัว ก่อนที่เขาจะเริ่มวิ่งไปตามถนนเพื่อเป็นการอบอุ่นร่างกาย
ประมาณ 1 นาทีต่อมาสภาพร่างกายของชายหนุ่มก็ค่อย ๆ ปรับตัวเข้าสู่สภาวะสูงสุด ดังนั้นเขาจึงค่อย ๆ เพิ่มความเร็วของเขาขึ้นไปมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ
30 เมตรต่อวินาที
50 เมตรต่อวินาที
80 เมตรต่อวินาที
100 เมตรต่อวินาที!
ในระหว่างที่เซี่ยเฟยเคลื่อนที่ผ่านฝูงชนบนท้องถนน มันก็ทำให้ผู้คนเหล่านี้รู้สึกเหมือนกับมีลมกรรโชกผ่านร่างของพวกเขาไป
ระหว่างทางเซี่ยเฟยเผอิญเคลื่อนที่ผ่านเด็กสาววัย 18 ปีคนหนึ่ง โดยเธอคนนี้สวมใส่กระโปรงสั้น, ถือกระเป๋าลายสก็อตและกำลังเดินเล่นอย่างสบาย ๆ แต่ทันทีที่ร่างของชายหนุ่มเคลื่อนที่ผ่านเด็กสาวไปลมพายุก็พัดแรงจนทำให้กระโปรงของเธอเปิดออกและเผยให้เห็นกางเกงในสีขาวบริสุทธิ์ที่ซุกซ่อนอยู่ด้านใน
เหตุการณ์นี้ทำให้เด็กสาวรู้สึกตื่นตระหนกมาก ดังนั้นเธอจึงรีบเอามือข้างหนึ่งมาปิดกระโปรงของเธออย่างรวดเร็วพร้อมกับใช้มืออีกข้างหนึ่งไล่สางผมที่ยุ่ง ๆ ของเธอให้กลับมาเรียบร้อย
ขณะเดียวกันใบหน้าของเด็กสาวก็เปลี่ยนไปเป็นสีแดงก่ำ จากนั้นเธอก็หันไปมองรอบ ๆ ตัวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิด แต่น่าเสียดายที่ร่างของเซี่ยเฟยได้จากไปไกลแล้ว เธอจึงทำได้เพียงแต่ตะโกนสาปแช่งขึ้นมาภายในใจ
ด้วยถนนที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนมันจึงทำให้เซี่ยเฟยไม่สามารถที่จะปลดปล่อยความเร็วของเขาออกมาได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นเขาจึงเคลื่อนที่ไปยังถนนสำหรับรถยนต์ก่อนที่ขาของเขาจะขยับออกไปด้วยความเร็วสูงสุด
ในชั่วพริบตาเซี่ยเฟยก็เคลื่อนที่ไปจนถึงจุดที่จะต้องเกิดโซนิคบูมและทันใดนั้นมันก็ทำให้เขารู้สึกถึงแรงกดดันที่ไม่สามารถจะอธิบายได้ แต่ในทันทีที่เขาก้าวข้ามผ่านความเร็วของเสียงไป แรงกดดันปริศนาก็หายไปพร้อมกับความรู้สึกผ่อนคลายที่ซาบซ่านขึ้นมาแทน
ความรู้สึกในตอนนี้มันคล้ายกับการปีนเขา ซึ่งมันมีเฉพาะแค่คนที่เดินทางไปจนถึงยอดของภูเขาเท่านั้นที่จะได้รับชมกับทัศนียภาพที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
“อันธความเร็วของฉันตอนนี้เท่าไหร่แล้ว” เซี่ยเฟยกล่าวถามขณะที่เท้าของเขายังคงไม่หยุดวิ่ง
“ตอนนี้ความเร็วสูงสุดของนายอยู่ที่ประมาณ 370 เมตรต่อวินาทีและนายก็สามารถทำลายกำแพงเสียงได้สำเร็จแล้ว ซึ่งมันเป็นมาตรฐานของผู้ใช้ความเร็วในระดับสตาร์เบสขั้นกลาง” อันธกล่าวตามความเป็นจริง
370 เมตรต่อวินาที!
ก่อนหน้านี้เขาสามารถทำความเร็วสูงสุดได้เพียงแค่ 185 เมตรต่อวินาทีเท่านั้น แต่ในปัจจุบันความเร็วของเขากลับได้เพิ่มขึ้นมาจากเดิมเป็นสองเท่า!
ความเร็วของเสียงที่เดินทางในอากาศอยู่ที่ประมาณ 340 เมตรต่อวินาที แต่ในตอนนี้เซี่ยเฟยสามารถทำลายกำแพงนั้นลงได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งมันเป็นเครื่องพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่าเขาสามารถที่จะเลื่อนระดับกลายเป็นผู้ใช้ความเร็วระดับสตาร์เบสขั้นกลาง!
เซี่ยเฟยได้รับน้ำยาปรับสภาพยีนเมื่อประมาณเดือนเมษายนและในเวลาเพียงแค่ 7 เดือนเขาก็สามารถที่จะเพิ่มความสามารถขึ้นมาได้ถึง 5 ระดับ มันเป็นความสำเร็จที่ยากจะมีใครมาทัดเทียมกับเขาได้
หากวัดโดยค่าเฉลี่ยมันก็หมายความว่าในเวลาเดือนกว่า ๆ เขาสามารถที่จะเลื่อนระดับได้ถึงหนึ่งระดับซึ่งมันเป็นความเร็วในการพัฒนาที่น่าตกใจมาก!
ในตอนนี้ร่างของชายหนุ่มได้พุ่งไปบนถนนด้วยความรวดเร็วขณะที่สมองของเขาก็ทำการวิเคราะห์สถานการณ์ด้วยความว่องไวอย่างไม่แพ้กัน มันจึงทำให้เขาสามารถที่จะค้นพบเส้นทางสำหรับการเคลื่อนที่หลบรถได้อย่างง่ายดาย
ฟิ้ว!
ร่างของเซี่ยเฟยได้เคลื่อนที่ผ่านรถไปอย่างรวดเร็วจนทำให้ชายวัยกลางคนผู้ซึ่งขับรถอยู่คนหนึ่งเหยียบเบรคโดยไม่รู้ตัวจนทำให้มันได้เกิดรอยยางสีดำ 4 เส้นลากยาวไปบนถนน
“พี่โจวมันเกิดอะไรขึ้น? นั่นมันเสียงอะไร?” เสียงปลายสายที่กำลังคุยโทรศัพท์กับชายวัยกลางคนคนนี้อยู่กล่าวถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอันงุนงง
“ฉันก็ไม่รู้ แต่มันดูเหมือนกับมีอะไรบางอย่างเคลื่อนที่ผ่านฉันไป” ชายวัยกลางคนกล่าวพร้อมกับเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผาก
“มันคืออะไร?”
“ฉันมองเห็นมันไม่ชัดแต่ความเร็วของมันเหมือนกับเครื่องบินไอพ่นเลย”
โชคดีที่ชุดต่อสู้ของเซี่ยเฟยทำให้การเคลื่อนที่ของเขาไม่ได้ก่อให้เกิดโซนิคบูมขึ้นมา ไม่อย่างนั้นคลื่นกระแทกอันรุนแรงคงจะทำให้รถในเส้นทางพลิกคว่ำแทนที่จะเกิดอาการสั่นขึ้นมาเพียงเท่านี้
ตามรายงานของตำรวจจราจรในเย็นวันที่ 29 พฤศจิกายน มีการเกิดอุบัติเหตุบนวงแหวนที่ 2 ของเมืองปักกิ่งจำนวน 5 ครั้งพร้อม ๆ กัน ซึ่งมันก็มีรถที่ประสบอุบัติเหตุทั้งสิ้น 31 คันจนทำให้เกิดการจราจรติดขัดไปจนถึงเวลาประมาณเที่ยงคืน
หลังจากนั้นผู้ขับขี่หลายร้อยคนก็อ้างว่ามันได้มีร่างสีดำเคลื่อนที่ผ่านยานพาหนะของพวกเขาไปด้วยความเร็ว ก่อนที่มันจะทำให้รถของพวกเขาเกิดการสั่นสะเทือนซึ่งเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุในเวลาต่อมา
ทางตำรวจจราจรได้ทำการสืบสวนเรื่องนี้อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งพวกเขาก็ทำแม้กระทั่งติดต่อไปยังกระทรวงลับที่มีการสืบสวนเกี่ยวกับเรื่องราวเหนือธรรมชาติ
แน่นอนว่าก่อนที่ผลการสืบสวนจะออกมาอย่างแน่ชัดแฟ้มคดีหมายเลข 11,094 ก็ถูกตัดจบและถูกเก็บเอาไว้ในชั้นใต้ดินชั้นที่ 13 ของห้องนิรภัยรัฐบาลกลางอย่างถาวร
—--
ณ สำนักงานสำหรับการประเมินของสมาพันธ์จัสทิสภายในประเทศออสเตรเลีย
ตำแหน่งที่ตั้งของงานประเมินในครั้งนี้ถูกตั้งอยู่ตรงบริเวณพื้นที่อับฝนอันรกร้างว่างเปล่าและเนื่องมาจากว่าทางสมาพันธ์จัสทิสไม่สามารถสร้างอาคารสำนักงานขึ้นมาได้อย่างทันเวลา พวกเขาจึงได้ใช้ยานอวกาศเปลี่ยนเป็นที่พักและสำนักงานชั่วคราว
วิธีการนี้ถือได้ว่าเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เพราะไม่เพียงแต่พวกเขาจะไม่จำเป็นที่จะต้องเสียเงินเพื่อสร้างอาคารขึ้นมาใหม่เท่านั้น แต่พวกเขายังสามารถให้บริการผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการประเมินเป็นจำนวนหลายหมื่นคนได้อีกด้วย
ปัจจุบันเซียวไห่ลี่กำลังนั่งอยู่ในห้องทำงานของตัวเองและทำการติดต่อสื่อสารกับเพื่อนร่วมงานจากแผนกต่าง ๆ อย่างไม่รู้จบ
การประเมินจะเกิดขึ้นในอีกสองวันซึ่งมันก็สร้างแรงกดดันให้กับพวกเขามาก
ผู้สมัครทุกคนจำเป็นที่จะต้องได้รับข้อสรุปเกี่ยวกับกำหนดการ, ที่พักและอาหาร นอกจากนี้ผู้สมัครเป็นจำนวนมากย่อมไม่ได้เดินทางมาตัวคนเดียวโดยเฉพาะทายาทจากมหาอำนาจต่าง ๆ ที่ได้เข้าร่วมการประเมินในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน การเดินทางของทายาทเหล่านั้นก็จะมีผู้ติดตามรับใช้ตามมาด้วยเป็นจำนวนมาก
ท้ายที่สุดแม้ว่ามันจะมีผู้สมัครเข้าร่วมการประเมินประมาณ 100,000 คนแต่จำนวนของผู้ที่เดินทางมาในงานจะต้องมีไม่น้อยกว่า 500,000 คนอย่างแน่นอน!
ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันทางสมาพันธ์จัสทิสจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากจะต้องส่งเจ้าหน้าที่มาประจำการเพิ่มเติม นอกเหนือจากเจ้าหน้าที่ชุดแรกจำนวน 2,500 คนแล้วทางสมาพันธ์ก็ส่งเจ้าหน้าที่มาช่วยควบคุมสถานการณ์เพิ่มอีกถึง 4 ชุด
ก่อนหน้านี้การประเมินทุกครั้งจะถูกจัดตั้งขึ้นบนดาวเคราะห์หลักของภูมิภาคเอ็นดาโร่ ซึ่งดาวเคราะห์เหล่านี้สามารถที่จะระดมพลมาให้การช่วยเหลือสมาพันธ์ได้เป็นจำนวนนับแสนคน ดังนั้นทางสมาพันธ์จึงจำเป็นที่จะต้องทำการส่งคณะกรรมการออกไปเท่านั้น ซึ่งมันก็ช่วยลดความยุ่งยากในการจัดการไปได้มาก
แต่ในคราวนี้พวกเขาต้องจัดงานบนดาวเคราะห์ที่ไม่สามารถให้ความช่วยเหลือใด ๆ กับพวกเขาได้ ทางสมาพันธ์จัสทิสจึงจำเป็นที่จะต้องใช้พนักงานของตนเองเพื่อทำให้งานประเมินเป็นไปอย่างราบรื่น
ด้วยการที่โลกไม่สามารถที่จะให้ความช่วยเหลือสมาพันธ์จัสทิสได้นี่เองมันจึงทำให้สมาพันธ์ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันมากยิ่งขึ้น ซึ่งนอกเหนือจากคณะกรรมการและพนักงานมากกว่า 10,000 คนที่พวกเขาได้ส่งไปแล้ว พวกเขายังต้องส่งกองยานที่ 5 ออกไปลาดตระเวนบริเวณรอบ ๆ โลกเพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดอีกด้วย
ในฐานะผู้นำรุ่นใหม่ที่โดดเด่นมันจึงทำให้เซียวไห่ลี่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบการประเมินในครั้งนี้ ซึ่งมันถือได้ว่าเป็นทั้งโอกาสและบททดสอบครั้งสำคัญที่เขาจะต้องเผชิญ แน่นอนว่าผลลัพธ์ของการประเมินจะส่งผลกระทบต่ออนาคตของเขาโดยตรง มันจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงได้ทุ่มเทให้กับการประเมินถึงขนาดนี้
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
จู่ ๆ มันก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
"เข้ามา!" เซียวไห่ลี่ไม่แม้แต่จะเงยหน้าในขณะที่เขาร้องตอบออกไปซึ่งทันทีที่เขากล่าวจบหญิงสาวอายุประมาณ 24 ปีก็เปิดประตูและเดินเข้ามาภายในห้อง
หญิงสาวคนนี้มีใบหน้าที่สมมาตรอย่างสมบูรณ์และมีผมสีบลอนด์อันสวยงาม ยิ่งไปกว่านั้นขาทั้งสองข้างของเธอยังเรียวยาวทำให้โดยรวมแล้วเธอคนนี้เป็นผู้มีเสน่ห์ที่สามารถดึงดูดบุรุษได้อย่างมากมาย
น่าเสียดายที่ใบหน้าของเธอดูเย็นชาราวกับน้ำแข็งแต่มันก็ทำให้หญิงสาวคนนี้มีเสน่ห์ขึ้นมาแบบแปลก ๆ เช่นเดียวกัน
“เรียนหัวหน้ากรรมการตอนนี้จัสทิสฝึกหัดจากค่ายฝึกจัสทิสลีกจำนวน 3,400 คนเข้ามาประจำการเรียบร้อยแล้วค่ะ!” สาวผมบลอนด์รายงานออกไปเสียงดัง
“เสี่ยวหาน! ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่?” เซียวไห่ลี่รู้สึกตกตะลึงไปชั่วขณะก่อนที่เขาจะเผยรอยยิ้มออกมาอย่างยินดี
หลังจากนั้นชายหนุ่มก็ทำการปิดระบบสื่อสารอย่างรวดเร็วก่อนที่จะรีบเดินเข้าไปหาเย่เสี่ยวหานด้วยความกระตือรือร้น
“มานั่งนี่ก่อนเร็วเข้า ก่อนหน้านี้ฉันได้ตรวจสอบรายชื่ออาสาสมัครแล้ว แต่ฉันไม่เห็นรายชื่อของเธอเลย”
เมื่อเย่เสี่ยวหานนั่งลงบนโซฟาด้วยท่าทางอันสง่างาม เธอก็กล่าวออกไปด้วยวาจาอันไร้อารมณ์ว่า
“เรียนหัวหน้ากรรมการ หัวหน้าได้ล้มป่วยลงอย่างกระทันหัน ฉันจึงได้รับมอบหมายให้มาปฎิบัติหน้าที่แทน ไม่ทราบว่าคุณต้องการให้อาสาสมัครกลุ่มนี้จัดการเรื่องอะไรบ้าง”
เย่เสี่ยวหานจงใจที่จะเว้นระยะห่างกับเซียวไห่ลี่มันจึงทำให้ชายหนุ่มรู้สึกไม่ค่อยมีความสุข แต่เขาก็เปลี่ยนใบหน้าไปอย่างจริงจังก่อนที่จะกล่าวมาว่า
“เดี๋ยวทางแผนกบัญชาการจะมอบหมายงานให้กับจัสทิสฝึกหัดพวกนั้นเอง ตอนนี้งานของฉันค่อนข้างจะยุ่งมาก เธอพอจะมาช่วยงานที่สำนักงานของฉันหน่อยจะได้ไหม”
เซียวไห่ลี่พยายามที่จะให้เย่เสี่ยวหานมาทำงานอยู่ใกล้ ๆ ตนเองโดยเขาคิดที่จะมอบหมายงานเบา ๆ ให้กับเธอ แต่น่าเสียดายที่เย่เสี่ยวหานปฏิเสธความปรารถนาดีของเขาอย่างสมบูรณ์และเธอก็พูดออกไปอย่างเป็นทางการว่า
“ในฐานะที่ฉันเป็นผู้ฝึกสอนของจัสทิสฝึกหัดและเป็นผู้นำพาพวกเขามา ฉันก็ควรที่จะอยู่ร่วมกันกับนักเรียนของฉันด้วย หัวหน้ากรรมการช่วยมอบหมายงานให้ฉันอยู่ในแนวหน้าด้วยได้ไหมคะ”
“เฮ้อ…เสี่ยวหานทำไมเธอถึงมองไม่เห็นความหวังดีของฉันบ้างเลย?” เซียวไห่ลี่กล่าวถามและถอนหายใจออกมาด้วยความขมขื่น
“พวกเราเป็นแค่เพื่อนร่วมงาน หวังว่าหัวหน้ากรรมการจะแสดงความเคารพในตัวเองบ้าง” เย่เสี่ยวหานกล่าวตอบพร้อมกับขมวดคิ้ว
คำตอบของหญิงสาวทำให้สีหน้าของเซียวไห่ลี่เปลี่ยนไปอย่างน่าเกลียดและถึงแม้ว่าเขาจะรู้จักนิสัยของเธอดี แต่ทัศนคติที่เธอแสดงออกมาก็ยังคงทำให้เขารู้สึกเหนื่อยใจเช่นเดิม
แท้ที่จริงแล้วเย่เสี่ยวหานไม่ได้มีบุคลิกที่เย็นชามากขนาดนี้เพียงแต่ว่าเธอจะกลายเป็นคนที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงเมื่อเธอได้เริ่มปฎิบัติงาน ดังนั้นในช่วงเวลางานเธอจะมีบุคลิกที่เคร่งขรึมอยู่เสมอและเธอก็จะปฎิบัติตัวต่อทุกคนด้วยสถานะที่เท่าเทียม
“ถ้าอย่างนั้นเธอก็ไปทำงานแนวหน้ากับนักเรียนของเธอได้ แต่เธอจะต้องคอยระวังตัวเองเอาไว้ด้วย” เซียวไห่ลี่ทำได้เพียงแต่ยอมจำนนตอบรับคำขอของเธอ
“รับทราบค่ะ! ฉันจะรีบพานักเรียนไปรายงานตัวที่แผนกบัญชาการทันที” เย่เสี่ยวหานยืนขึ้นแสดงความเคารพก่อนที่จะเดินออกไปโดยเธอไม่คิดที่จะหันกลับไปมองชายหนุ่มด้านหลังด้วยซ้ำ
แกรก!
ในที่สุดประตูก็ปิดลงพร้อมกับเซียวไห่ลี่ที่นำมือมาขยุ้มผมบนศีรษะทั้งสองข้างขณะที่ดวงตาของเขาเปลี่ยนไปเป็นสีแดงก่ำ
“อย่าคิดว่าตัวเองเป็นลูกสาวของเย่จิ่งชานแล้วจะมาทำตัวเย็นชากับฉันได้! คอยดูเถอะสักวันนึงเธอจะต้องมาก้มหัวอยู่แทบเท้าของฉัน!” เซียวไห่ลี่พยายามระงับความโกรธและส่งเสียงคำรามออกมาเบา ๆ
หลังจากชายหนุ่มได้ระบายอารมณ์ของตัวเองเรียบร้อยแล้วเขาก็เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้ากระจกพร้อมกับจัดทรงผมและเครื่องแบบของเขาใหม่ ก่อนที่เขาจะเผยรอยยิ้มอันอ่อนโยนที่เขามักจะใช้อยู่เป็นประจำ
กริ๊ง! กริ๊ง!
“ว่าไงเควรอซ เป็นยังไงบ้าง ฉันคิดว่านายยุ่งจนไม่มีเวลาซะอีก” เซียวไห่ลี่รับสายของเควรอซพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ
“เซียวไห่ลี่รีบส่งคนอื่นมาทำงานแทนฉันทีเถอะ ฉันเป็นรองคณะกรรมการของการประเมินในครั้งนี้นะ ทำไมฉันถึงต้องมามือบวมเพราะต้องคอยเซ็นเอกสารพวกนี้ด้วย!” เควรอซบ่นออกมาไม่หยุด
“นี่เป็นโอกาสที่ดีของพวกเรานี่นาและถ้าหากว่าพวกเราสามารถจัดการกับการประเมินครั้งนี้ได้สำเร็จ มันก็จะส่งผลต่ออนาคตของพวกเราอย่างมาก ดังนั้นนายช่วยอดทนเอาไว้ก่อน ฉันไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ถ้าหากว่าต้องให้คนอื่นไปทำหน้าที่นี้แทนนาย” เซียวไห่ลี่กล่าว
“เออก็ได้! จำไว้นะว่าที่ฉันทำก็เพราะนาย! ถ้าเป็นเพราะคนอื่นฉันไม่มัวมานั่งเซ็นเอกสารบ้า ๆ พวกนี้หรอก! แต่นายต้องสัญญากับฉันว่าหลังจากการประเมินในครั้งนี้ได้จบลงนายจะต้องอนุมัติให้ฉันหยุดงานเป็นเวลา 1 เดือน”
“ไม่มีปัญหา หลังจบการประเมินครั้งนี้เชิญนายพักผ่อนให้หนำใจไปเลย… ว่าแต่เรื่องที่ฉันฝากให้สืบในก่อนหน้านี้เป็นยังไงบ้าง นายรู้แล้วหรือยังว่าใครเป็นคนซื้อชุดวินด์ชาโดว์มาร์คโฟร์ชุดนั้นไป” เซียวไห่ลี่แสร้งทำเป็นนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา แต่ภายในแววตาของเขากลับเต็มไปด้วยเจตนาร้ายอันรุนแรง
***************
แค้นฝังลึกจริงๆพ่อคูณณณ!! พี่เฟยเราจะรอดไหมเนี่ย