ตอนที่ 35: อุปกรณ์ระดับลีเจนด์
ตอนที่ 35: อุปกรณ์ระดับลีเจนด์
“ฉันจำอาวุธชิ้นนี้ได้! มันเป็นอาวุธที่มีชื่อว่าเชสซิ่งไลท์!!” อันธร้องอุทานหลังจากที่ได้เห็นภาพของดาบกล
“เชสซิ่งไลท์?!” เซี่ยเฟยอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจหลังจากที่ได้ยินชื่อของมัน
“เชสซิ่งไลท์เป็นอาวุธที่ถูกสร้างขึ้นมาจากกลุ่มช่างฝีมือในดาวเคราะที่มีชื่อว่าทาร์มาเนีย ว่ากันว่าการสร้างอาวุธชนิดนี้ขึ้นมาซักชิ้นหนึ่งจำเป็นจะต้องใช้ช่างฝีมือชั้นยอด 3 คนทำงานร่วมกันตลอดทั้งปี นอกจากนี้เพียงแค่วัตถุดิบสำหรับการผลิตตัวดาบเพียงอย่างเดียวก็มีราคามากกว่า 100 ล้านสตาร์คอยน์” อันธกล่าวอธิบาย
ความจริงที่ว่ามันจำเป็นจะต้องใช้ช่างฝีมือชั้นยอด 3 คนทำงานร่วมกันตลอดทั้งปีก็เป็นเครื่องพิสูจน์ได้อย่างดีว่าการผลิตอาวุธชิ้นนี้มีความซับซ้อนมากเพียงใด
“แล้วมันอยู่ระดับอะไร” เซี่ยเฟยถาม
“ระดับลีเจนด์!” อันธประกาศออกไปอย่างหนักแน่น
คุณภาพของอาวุธอุปกรณ์จะเพิ่มขึ้นไปตามระดับ แน่นอนว่ายิ่งอาวุธอุปกรณ์เหล่านี้มีระดับที่สูงมากยิ่งขึ้นเท่าไหร่ราคาและประสิทธิภาพของพวกมันก็จะยิ่งสูงขึ้นไปมากยิ่งขึ้นเท่านั้น
ปัจจุบันระดับความสามารถของเซี่ยเฟยอยู่เพียงแค่ระดับสตาร์เบสขั้นพื้นฐาน แต่ถ้าหากว่าเขาได้มีโอกาสครอบครองอาวุธระดับลีเจนด์มันก็จะเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมาก
ถึงแม้ว่าระดับของชุดต่อสู้วินด์ชาโดว์มาร์คโฟร์จะอยู่ในระดับสตาร์ริเวอร์แต่ประสิทธิภาพของมันก็สามารถเทียบชั้นกับอุปกรณ์ระดับลีเจนด์ขั้นกลางได้ ดังนั้นถ้าหากว่าเขาได้รับเชสซิ่งไลท์มาเสริมอาวุธอุปกรณ์ที่เขาได้สวมใส่ก็จะทำให้แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญระดับลีเจนด์ที่แท้จริงก็ยังต้องรู้สึกอิจฉา
อาวุธอุปกรณ์ทั้งสองชิ้นนี้ไม่เพียงแต่จะมีระดับที่สูงมากเท่านั้นแต่พวกมันยังเป็นอาวุธอุปกรณ์ที่หาได้ยากมากอีกด้วย โดยเชสซิ่งไลท์เป็นอาวุธทำมือโดยสมบูรณ์ ขณะที่ชุดต่อสู้วินด์ชาโดว์มาร์คโฟร์ก็ถูกสร้างขึ้นมาจากวัตถุดิบตามธรรมชาติเกือบ 100% การได้ครอบครองพวกมันก็เป็นสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญเป็นจำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็ใฝ่ฝัน!
“ระดับลีเจนด์! แบบนี้ราคาของมันก็จะต้องสูงมากเลยใช่ไหม” เซี่ยเฟยกล่าวถาม
“คิคิ ถ้าเป็นเมื่อก่อนใครที่ต้องการจะซื้อเชสซิ่งไลท์ก็จะต้องใช้เงินมากกว่า 200 ล้านสตาร์คอยน์ แต่ในตอนนี้เทคโนโลยีในการผลิตเชสซิ่งไลท์ได้หายสาบสูญไปแล้วซึ่งฉันก็คิดว่าราคาของมันสมควรที่จะเพิ่มขึ้นไปอีก”
“200 ล้านสตาร์คอยน์!” เซี่ยเฟยรู้สึกเบิกบานภายในใจเพราะชายวัยกลางคนคนนั้นต้องการที่จะขายเชสซิ่งไลท์ออกไปในราคาเพียงแค่ 6 ล้านสตาร์คอยน์เท่านั้น ซึ่งการที่เขาสามารถซื้ออาวุธราคา 200 ล้านสตาร์คอยน์ได้ในราคานี้มันก็ไม่ต่างไปจากการที่เขาได้รับอาวุธมาฟรี ๆ!
“ฉันต้องการที่จะซื้ออาวุธเล่มนี้ ไม่ทราบว่าคุณต้องการจะขายมันในราคาเท่าไหร่” เซี่ยเฟยกล่าวถามชายวัยกลางคน
เมื่อได้ยินคำตอบจากเซี่ยเฟยชายวัยกลางคนก็รู้สึกลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เพราะก่อนที่เขาจะได้มาเจอกับเซี่ยเฟยเขาได้รับการปฏิเสธจากพ่อค้าอาวุธเกือบทุกคน โดยมันมีพ่อค้าอาวุธที่เต็มใจจะซื้อเชสซิ่งไลท์เพียงแค่คนเดียวแต่พ่อค้าคนนั้นก็ต้องการที่จะซื้อมันในราคาเพียงแค่ 50,000 สตาร์คอยน์
แท้ที่จริงแล้วพ่อค้าพวกนั้นก็ไม่ได้พูดผิดไปซะทีเดียว เพราะเชสซิ่งไลท์เป็นอาวุธที่ไม่ได้มีราคา 6 ล้านสตาร์คอยน์จริง ๆ แต่มันเป็นอาวุธที่มีมูลค่ามากกว่า 200 ล้านสตาร์คอยน์!
ความแตกต่างระหว่างเงินจำนวน 200 ล้านสตาร์คอยน์กับ 6 ล้านสตาร์คอยน์เป็นการประหยัดเงินไปมากกว่า 30 เท่า ซึ่งเซี่ยเฟยก็ต้องรู้สึกขอบคุณพ่อค้าพวกนั้นที่ไม่ได้เห็นถึงคุณค่าที่แท้จริงของอาวุธเล่มนี้ ไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะต้องใช้เงินไม่น้อยไปกว่า 200 ล้านสตาร์คอยน์เขาจึงจะสามารถซื้ออาวุธที่อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับเชสซิ่งไลท์ได้
“ซัก 6 ล้านสตาร์คอยน์เป็นยังไง” ชายวัยกลางคนกล่าวถามออกมาด้วยความไม่แน่ใจ
เมื่อได้ยินราคาเซี่ยเฟยก็แสร้งทำเป็นรู้สึกลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เพราะท้ายที่สุดมนุษย์ก็มีความโลภที่ไม่แน่นอน ดังนั้นถ้าหากว่าเขายอมตกลงซื้อในราคานี้ทันทีอีกฝ่ายก็คงจะเชื่อว่าราคาสินค้าที่เขาได้ตั้งเอาไว้เป็นราคาที่ต่ำมากจนเกินไปและมันก็จะทำให้เขารู้สึกขาดทุนจากการขายสินค้าดังกล่าว
“ดาบเล่มนี้ค่อนข้างเก่าฉันคิดว่ามันไม่ควรมีราคาที่สูงมากถึงขนาดนั้น” เซี่ยเฟยส่ายหัวไปมาพร้อมกับแสดงสีหน้าออกมาอย่างลำบากใจ
คำตอบของเซี่ยเฟยทำให้หัวใจของชายวัยกลางคนเต้นระรัวขึ้นมาด้วยความวิตกกังวล เพราะเขากลัวว่าชายหนุ่มตรงหน้าจะปฏิเสธที่จะซื้ออาวุธชิ้นนี้ไป
“เอาล่ะฉันคงทำได้เพียงแต่โทษตัวเองที่รู้สึกถูกใจอาวุธเล่มนี้มาก ดังนั้นถึงแม้ว่ามันจะแพงไปสักหน่อยแต่ฉันก็ตกลงที่จะซื้อมัน” เซี่ยเฟยแสร้งทำเป็นคิดพิจารณาเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะตอบตกลง
คำตอบของเซี่ยเฟยทำให้ชายวัยกลางคนรู้สึกโล่งใจแล้วมันก็ทำให้เขาได้เผยรอยยิ้มอันหายากของเขาออกมา
—--
ไม่ว่าอาวุธอุปกรณ์จะทรงพลังขนาดไหนแต่พวกมันก็ยังจำเป็นที่จะต้องการใครสักคนที่จะใช้งานพวกมัน ดังนั้นไม่ว่าใครจะมีความสามารถมากมายขนาดไหนแต่พวกเขาก็จำเป็นที่จะต้องฝึกใช้อาวุธของพวกเขาจนชำนาญเช่นกัน
เซี่ยเฟยมีความเข้าใจแนวความคิดในเรื่องนี้เป็นอย่างดีและมันก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เขาหมกมุ่นอยู่กับการฝึกฝนซ้ำแล้วซ้ำเล่าในทุก ๆ วัน โดยในตอนแรกเขาได้ใช้เวลาในการฝึกฝนเพียงแค่ 6 ชั่วโมงต่อวัน แต่ในปัจจุบันเขาได้ใช้เวลาในการฝึกฝนเป็นเวลานานกว่า 16 ชั่วโมงต่อวันเลยทีเดียว
นอกเหนือจากการนอนหลับพักผ่อนแล้วเซี่ยเฟยได้ใช้เวลาทุกวินาทีในการฝึกฝน ซึ่งแม้แต่ในระหว่างการกินอาหารเขาก็ยังไม่หยุดพักผ่อนเลยแม้แต่วินาทีเดียว
การฝึกฝนอันบ้าคลั่ง!
การฝึกฝนอันไม่หยุดหย่อน!
นอกเหนือจากการฝึกวิชาพลางจิตและเล่ห์สังหารแล้วเซี่ยเฟยยังเพิ่มการฝึกฝนวิชามนตราอสูรเข้าไปในกิจวัตรประจำวันของเขาด้วย
หนังสือเล่มนี้เป็นเหมือนสารานุกรมของสัตว์อสูรตั้งแต่สัตว์ป่าทั่วไปไปจนถึงอสูรร้ายที่พบได้ในจักรวาล ซึ่งในบันทึกมีข้อมูลของสัตว์แปลก ๆ อยู่เป็นจำนวนมากและสัตว์ในบันทึกบางชนิดก็เป็นสัตว์ที่แม้แต่อันธก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วยซ้ำ
นอกจากนั้นในหนังสือยังอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการสื่อสารกับสัตว์ประหลาดเหล่านี้เพื่อสร้างความสัมพันธ์และความไว้วางใจซึ่งกันและกันจนทำให้ในที่สุดพวกเขาจะสามารถทำสัญญาวิญญาณได้และกลายเป็นอสูรรับใช้ที่ภักดีตลอดกาล
การฝึกฝนมนตราอสูรถูกแบ่งออกเป็น 9 ขั้นซึ่งผู้ฝึกจะสามารถเปิดใช้เนตรวิญญาณอสูรได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาได้ฝึกไปจนถึงขั้นที่ 3
ในตอนนั้นผู้ฝึกจะสามารถใช้ตาทั้งสองของตนเองในการสังเกตเปลวไฟวิญญาณของสัตว์อสูรได้โดยตรง ซึ่งสีของเปลวไฟจะสามารถบ่งบอกได้ถึงนิสัย, สุขภาพหรือแม้แต่อารมณ์ของพวกมัน
ขณะเดียวกันผู้ฝึกจะสามารถทำสัญญากับสัตว์อสูรได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาได้ฝึกฝนไปจนถึงขั้นที่ 6 ซึ่งทันทีที่ผู้ฝึกได้ทำสัญญากับสัตว์อสูร พวกเขาจะสามารถเชื่อมต่อความคิดซึ่งกันและกันและสามารถสื่อสารผ่านจิตสำนึกได้โดยตรง
เมื่อสัตว์อสูรได้ทำสัญญาพวกมันก็จะมีความจงรักภักดีต่อเจ้านายของพวกมันไปชั่วนิรันดร์ ถ้าหากว่าเจ้านายของพวกมันเสียชีวิตลงสัตว์อสูรเหล่านี้ก็จะยินยอมเสียชีวิตตามเจ้านายของพวกมันไปเช่นกัน
หากผู้ฝึกสามารถฝึกฝนไปจนถึงขั้นที่ 9 พวกเขาก็จะสามารถสั่งการสัตว์อสูรในอวกาศได้และสามารถที่จะสร้างกองทัพสัตว์อสูรขึ้นมาเป็นของตัวเอง
น่าเสียดายที่จารึกมนตราอสูรที่เซี่ยเฟยได้รับมาไม่ใช่บันทึกฉบับสมบูรณ์ มันจึงทำให้ภายในบันทึกมีการระบุวิธีการฝึกฝนจนถึงขั้นที่ 6 ของมนตราอสูรเท่านั้น
เซี่ยเฟยคิดว่าจารึกมนตราอสูรที่เขาได้รับมาน่าจะเป็นเพียงแค่ฉบับคัดลอก มันจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ภายในบันทึกขาดมนตร์ที่สำคัญใน 3 ขั้นตอนสุดท้ายไป
แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่น่าเศร้าแต่มนตราอสูรเพียงแค่ 6 ขั้นมันก็มากเกินพอที่จะทำให้เซี่ยเฟยประสบความสำเร็จอย่างรุ่งโรจน์ถ้าหากว่าเขาสามารถฝึกใช้งานพวกมันได้อย่างช่ำชอง
หลังจากเซี่ยเฟยได้ฝึกฝนจนครบตามตารางที่เขาได้ตั้งเอาไว้ ชายหนุ่มก็เดินออกมาจากห้องด้วยเนื้อตัวที่เต็มไปด้วยเหงื่อโชก
ต่อมาชายหนุ่มก็ดื่มน้ำเปล่าจำนวน 6 แก้วเข้าไปติดต่อกันก่อนที่เขาจะทรุดตัวลงไปบนโซฟาด้วยความอ่อนเพลียและพยายามที่จะถ่างตาทั้งสองข้างไม่ให้ปิดลง
“การฝึกมนตราอสูรเป็นยังไงบ้าง” อันธถามขณะที่เขาปรากฏตัวขึ้นตรงบริเวณมุมห้อง
“ฉันเพิ่งฝึกได้เพียงแค่ขั้นแรก” เซี่ยเฟยกล่าวพลางหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุด
“อืม” อันธพยักหน้ารับอย่างภูมิใจ เพราะท้ายที่สุดมนตราอสูรก็เป็นวิชาที่จำเป็นจะต้องใช้การรับรู้ทางสายตาและกระแสจิตอย่างพร้อมเพรียงกัน มันจึงเป็นหนึ่งในวิชาที่ฝึกฝนได้ยากลำบากมาก
ด้วยเหตุนี้ความจริงที่ว่าเซี่ยเฟยสามารถฝึกฝนขั้นแรกได้สำเร็จด้วยตัวเองภายในระยะเวลาสั้น ๆ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจแล้ว
ท้ายที่สุดการมีอาจารย์คอยชี้แนะกับการพยายามคลำทางด้วยตัวเองก็เป็นเรื่องราวที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ไม่กี่นาทีต่อมาเสียงโทรศัพท์ของเซี่ยเฟยก็ดังขึ้น
“เซี่ยเฟยรับสาย ไม่ทราบว่าคุณเป็นใคร?”
“ฉันชื่อโบซิงวาเป็นรองคณะกรรมการสำหรับการประเมินระดับวิกฤตของสมาพันธ์จัสทิส” เสียงอันหนักแน่นตอบกลับมาจากปลายสาย
“ไม่ทราบว่าคุณโทรมาทำไมอย่างนั้นหรอ?” เซี่ยเฟยกล่าวถามพร้อมกับขมวดคิ้วเพราะเขาก็ไม่รู้ว่ารองคณะกรรมการของการประเมินจะโทรมาหาเขาทำไม
“ในเดือนมิถุนายนปีหน้าจะมีการจัดงานประเมินของสมาพันธ์จัสทิสบนโลกขึ้นอีกครั้ง ซึ่งในเวลานั้นก็จะทำการคัดเลือกจัสทิสฝึกหัดเป็นจำนวน 3 คนเช่นเดียวกันเพียงแต่ว่ามันจะเป็นการประเมินในระดับปลอดภัย ฉันโทรมาเพื่อแนะนำให้คุณรอทำการประเมินในปีหน้าจะดีกว่า คุณไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าร่วมการประเมินระดับวิกฤตในปีนี้หรอก” โบซิงวากล่าวอธิบาย
“คุณรองคณะกรรมการ ผมได้ตัดสินใจแล้วว่าผมจะเข้าร่วมการประเมินในครั้งนี้ไปแล้ว ถ้าหากว่าผมไม่สามารถผ่านการประเมินครั้งนี้ไปได้ ผมจะลงทะเบียนเข้าร่วมการประเมินในปีหน้าอย่างแน่นอน” เซี่ยเฟยกล่าวตอบพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ
เมื่อได้ยินคำตอบจากเซี่ยเฟยเสียงของอีกฝ่ายก็มีอาการตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งมันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าคำตอบของเซี่ยเฟยไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ
“คุณได้อ่านรายละเอียดล่าสุดเกี่ยวกับการประเมินในครั้งนี้แล้วใช่ไหม ว่ามันได้มีการเลื่อนระดับการประเมินไปอยู่ในระดับวิกฤต?”
“ผมอ่านแล้ว” เซี่ยเฟยกล่าวตอบ
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็ไม่มีอะไรจำเป็นจะต้องแจ้งคุณแล้ว ตอนนี้ผู้ลงทะเบียนจากดาวโลกมีเพียงแค่ 2 คนคือคุณกับเซียวรั่วหยู ฉันขอให้พวกคุณทั้งสองคนโชคดี”
“เซียวรั่วหยู? นั่นมันชื่อของผู้หญิงรึเปล่า” เซี่ยเฟยพึมพำกับตัวเองหลังจากที่เขาวางสายไป
แต่ในระหว่างที่เซี่ยเฟยกำลังรู้สึกสงสัยในตัวตนของเซียวรั่วหยูอยู่นั่นเองสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์บนโต๊ะก็ดังขึ้น ซึ่งมันเป็นสัญญาณว่าการประมูลของร้านมาสเตอร์พีชในรอบแรกได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
***************
ใครอ่ะ? ผู้หญิงด้วย!