ตอนที่ 32: ทีม 13
ตอนที่ 32: ทีม 13
ณ สมาพันธ์จัสทิสสาขาโลกภายในเมืองนิวยอร์ก
เนื่องมาจากความผิดพลาดอันร้ายแรงคาห์นจึงได้ถูกปลดออกจากตำแหน่งผู้จัดการสมาพันธ์และตำแหน่งนี้ก็ถูกแทนที่ด้วยชายหนุ่มผู้ซึ่งมีชื่อว่า ‘เซียวไห่ลี่’
เซียวไห่ลี่ได้เดินทางมาพร้อมกับสมาชิกภายในทีมอีกสองคนคือ ‘เควรอซ’ และ’ โบซิงวา’ ซึ่งชายหนุ่มทั้งสามคนนี้มีชื่อเสียงในฐานะทีม 13 ของสมาพันธ์จัสทิส
ขณะเดียวกันทีม 13 ของสมาพันธ์จัสทิสก็ได้รับฉายาว่า ‘ทีมอัจฉริยะ’ เนื่องมาจากพวกเขาสามารถทำภารกิจได้ด้วยอัตราความสำเร็จถึง 99.9% และสมาชิกในทีมแต่ละคนต่างก็ล้วนแล้วแต่มีพลังพิเศษที่โดดเด่น
ชายหนุ่มทั้งสามทำงานร่วมกันมาเป็นเวลานานมากกว่า 10 ปีซึ่งพวกเขาก็เป็นสหายกันมาตั้งแต่สมัยที่พวกเขายังเป็นเพียงแค่จัสทิสฝึกหัด ดังนั้นการประสานงานของพวกเขาจึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะไร้ที่ติ
ในปีนี้เซียวไห่ลี่มีอายุเพียงแค่ 27 ปีแต่เขาก็มีระดับความสามารถสูงถึงระดับลีเจนด์ขั้นกลาง นอกจากนี้เขายังมีตำแหน่งเป็นจัสทิสระดับ 5 ดาวเงินและเป็นผู้นำของทีม 13 อีกด้วย
หากเซียวไห่ลี่ยังคงเติบโตในอัตรานี้ต่อไปเขาก็คงจะเป็นจัสทิสคนแรกในประวัติศาสตร์ที่สามารถกลายเป็นจัสทิสระดับทองได้ก่อนอายุ 30 ปี
ปัจจุบันเซียวไห่ลี่กำลังนั่งอยู่ในสำนักงานและเขาก็กำลังทำการสนทนากับโรเบิร์ตผ่านทางอินเทอร์เน็ตระหว่างดวงดาว
“สถานการณ์บนโลกเป็นยังไงบ้าง” โรเบิร์ตกล่าวถาม
“ตอนนี้ผมได้ทำการติดต่อประสานงานกับสหพันธ์โลกเพื่อปิดล้อมพื้นที่ภาคกลางของออสเตรเลียเอาไว้แล้วครับ” เซียวไห่ลี่กล่าวตอบ
“พื้นที่ตรงบริเวณภาคกลางของออสเตรเลียเต็มไปด้วยทะเลทรายสุดลูกหูลูกตาและมันก็แทบที่จะไม่มีใครอาศัยอยู่ในบริเวณนั้นเลย ดังนั้นทางสมาพันธ์จึงแทบไม่ต้องใช้เวลาในการสร้างอาณาเขตหวงห้ามขนาด 3 ล้านตารางกิโลเมตรขึ้นมาใหม่เลยครับ”
เมื่อได้ยินคำอธิบายโรเบิร์ตก็พยักหน้ารับพร้อมกับใช้นิ้วขยี้ดวงตาที่มีร่องรอยของเส้นเลือดสีแดง ซึ่งมันเห็นได้ชัดเลยว่าการแข่งขันเพื่อทำการคัดเลือกจัสทิสฝึกหัดบนโลกในครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อผู้อาวุโสที่มีอายุเกือบ 80 ปีคนนี้มากแค่ไหน
“คุณยังสบายดีไหมครับอาจารย์” เซียวไห่ลี่กล่าวถามด้วยความเป็นห่วง เพราะท้ายที่สุดเขาก็เป็นลูกศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสคนนี้ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะมีอาการกังวลหลังจากที่ได้เห็นสภาพอาจารย์ของเขา
สาเหตุที่เซียวไห่ลี่ได้เดินทางมายังโลกในครั้งนี้นั่นก็เพราะว่าเขาต้องการที่จะแบ่งเบาภาระให้กับอาจารย์ ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงการจัดงานประเมินในลักษณะนี้เป็นหน้าที่ของแผนกประเมินและไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับสมาชิกในแผนกบริหารอย่างเขาเลย
“ฉันไม่เป็นไร แค่ตาลายนิดหน่อย” โรเบิร์ตกล่าวพร้อมกับโบกมือไปมาอย่างไม่ใส่ใจ
“ถึงแม้ว่าแผนกสารสนเทศจะพยายามปกปิดความผิดพลาดในครั้งนี้เอาไว้อย่างเต็มที่ แต่มันก็มีผู้สมัครจากดาวดวงอื่นที่ไม่ใช่ดาวโลกมากกว่า 100,000 คน” โรเบิร์ตกล่าวต่อหลังจากที่เขาได้จิบน้ำชา
เมื่อได้ยินคำพูดจากอาจารย์เซียวไห่ลี่ก็ทำได้แต่เพียงนั่งเงียบ ๆ อยู่เท่านั้นและมันก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการประเมินในครั้งนี้คงจะเป็นการจัดงานประเมินครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของดาวเคราะห์ที่มีระดับอารยธรรมเพียงแค่ระดับ 0.5
ท้ายที่สุดแล้วผู้ที่เดินทางมาร่วมการประเมินก็จะมีคนอยู่ทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นอาชญากร, เหล่ากองโจรหรือแม้แต่สมาชิกจากตระกูลที่มีอำนาจ
แม้ว่าพวกอาชญากรและกองโจรจะเป็นเรื่องที่สามารถจัดการได้ แต่สิ่งที่จะทำให้พวกเขารู้สึกปวดหัวมากที่สุดก็คงจะเป็นเหล่าบรรดาสมาชิกจากตระกูลที่มีอำนาจต่าง ๆ เพราะคนเหล่านี้มักที่จะสร้างปัญหามากกว่าเหล่าบรรดาอาชญากรแล้วมันก็คงจะไม่มีใครให้ความสำคัญกับดาวเคราะห์ดวงเล็ก ๆ อย่างโลกด้วยซ้ำ
ด้วยปัญหาที่กำลังถาโถมเข้ามามันก็เห็นได้ชัดเลยว่าสหพันธ์โลกไม่สามารถที่จะจัดการกับเรื่องราวเหล่านี้ได้อย่างแน่นอน ทางสมาพันธ์จัสทิสจึงจำเป็นที่จะต้องยื่นมือเข้ามาเพื่อรักษาความสงบเอาไว้ ยิ่งไปกว่านั้นสาเหตุที่เหตุการณ์ได้บานปลายมาจนถึงขนาดนี้นั่นก็เพราะความผิดพลาดของสมาพันธ์จัสทิสตั้งแต่แรก
โดยปกติสมาพันธ์จัสทิสจะทำการจัดงานประเมินขนาดใหญ่ในลักษณะนี้ทุก ๆ 3 ปีอยู่แล้ว แต่มันก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่การประเมินจะจัดขึ้นบนดาวเคราะห์อันล้าหลังที่ยังไม่สามารถปกป้องตัวเองได้อย่างดาวโลกมาก่อน มันจึงทำให้งานประเมินในครั้งนี้ได้สร้างความปวดหัวให้กับสมาพันธ์มากพอสมควรเลยทีเดียว
“ทำไมนายถึงไม่ถามฉันล่ะว่าทำไมฉันถึงเพิ่มระดับการประเมินไปเป็นระดับวิกฤต” โรเบิร์ตกล่าวถาม
“อาจารย์ย่อมต้องเลือกทางที่ดีที่สุดหลังจากที่พิจารณาความเป็นไปได้ทั้งหมดอยู่แล้วครับ” เซียวไห่ลี่กล่าวตอบกลับไปอย่างไร้อารมณ์
“แท้ที่จริงแล้วมันมีคนตั้งตารอเยาะเย้ยสมาพันธ์จัสทิสของพวกเราอยู่อีกมากมายซึ่งมันก็รวมถึงคนพวกนั้นด้วย” โรเบิร์ตกล่าวพร้อมกับพยักหน้าอย่างพอใจในคำตอบที่ได้รับมาจากลูกศิษย์ของเขา
เมื่อได้ยินคำว่า 'คนพวกนั้น' สีหน้าของเซียวไห่ลี่ก็เปลี่ยนไปอย่างมืดมนและมือทั้งสองข้างของเขาก็กำแน่นขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
“ฉันต้องการที่จะแสดงให้คนพวกนั้นได้เห็นว่าไม่เพียงแต่สมาพันธ์จัสทิสจะมีความสามารถในการจัดงานประเมินขนาดใหญ่ขึ้นมาบนดาวเคราะห์ดึกดำบรรพ์ได้เท่านั้น แต่พวกเรายังมีความสามารถมากพอที่จะจัดงานประเมินในระดับวิกฤตขึ้นมาได้อีกด้วย!” โรเบิร์ตกล่าวประกาศออกไปอย่างหนักแน่น
“ได้เลยครับอาจารย์! ผมจะจัดการเรื่องทุกอย่างบนโลกให้กับคุณเอง!” เซียวไห่ลี่ประกาศออกมาเสียงดังขณะที่บนใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
“ดีมาก! หลังจากนี้ฉันจะทำการแต่งตั้งนายเป็นหัวหน้าคณะกรรมการการประเมินในครั้งนี้อย่างเป็นทางการและนายจะมีสิทธิ์ในการจัดการเรื่องในครั้งนี้อย่างสมบูรณ์!”
“ยานอวกาศได้ลำเลียงอุปกรณ์ที่จำเป็นทั้งหมดออกไปแล้ว เดี๋ยวฉันจะส่งเจ้าหน้าที่ไปช่วยงานเพิ่มอีก 2,500 คน เมื่อถึงเวลากองยานที่ 5 ของสมาพันธ์จะคอยช่วยเหลือนายอย่างเต็มที่” โรเบิร์ตกล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะออกมา
เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้เซียวไห่ลี่รู้สึกตกตะลึงอยู่เล็กน้อย เพราะเขาไม่เคยคิดเลยว่าอาจารย์ของเขาไม่เพียงแต่จะทำการส่งสมาชิกระดับหัวกะทิจำนวน 2,500 คนมาให้ความช่วยเหลือเขาในครั้งนี้เท่านั้น แต่อาจารย์ยังได้ทำการส่งกองยานที่ 5 มาให้การสนับสนุนเขาอีกด้วย
กองยานที่ 5 เป็นที่รู้จักกันในนามกองยานที่แข็งแกร่งที่สุดของสมาพันธ์จัสทิสสาขาเอ็นดาโร่ โดยกองยานนี้มียานฟริเกตรุ่นเรเว่นจำนวน 4 ลำและยานแบทเทิลครุยเซอร์รุ่นธอร์แรคจำนวน 24 ลำที่ติดตั้งอุปกรณ์ที่ล้ำสมัยที่สุดในจักรวาล มันจึงทำให้กองยานที่ 5 เป็นกองยานที่มีความสำคัญสำหรับสมาพันธ์อย่างแท้จริง!
“อาจารย์ไม่ต้องห่วง ผมจะจัดการเรื่องราวทุกอย่างให้ผ่านพ้นไปอย่างราบรื่นมากที่สุด!” เซียวไห่ลี่ลุกยืนขึ้นพร้อมกับนำกำปั้นมาทุบที่หน้าอก
—--
เมื่อได้เห็นชื่อของตัวเองปรากฏขึ้นบนหน้าเว็บไซต์ลงทะเบียนเซี่ยเฟยก็อดที่จะรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้ เพราะใครจะไปคาดคิดว่าเด็กส่งของเมื่อหลายเดือนก่อนจะได้มีโอกาสเข้าร่วมการแข่งขันอันดุเดือดที่เต็มไปด้วยผู้ใช้พลังพิเศษจากทั่วทั้งภูมิภาคดวงดาวแบบนี้!
หลังจากนั้นเซี่ยเฟยก็ยืนขึ้นและเดินตรงไปยังห้องฝึกซึ่งเป็นห้องที่ทางโรงแรมได้จัดเตรียมเอาไว้ตามคำขอของเขาเป็นพิเศษ มันจึงทำให้เขาสามารถที่จะใช้ห้องนี้สำหรับการฝึกฝนได้ตลอดเวลา
“นั่นนายกำลังพยายามจะทำอะไร?” อันธกล่าวถาม
“การประเมินใกล้ที่จะเริ่มขึ้นแล้ว ฉันจะต้องทำการฝึกให้เก่งมากขึ้นกว่านี้” เซี่ยเฟยกล่าวโดยเขาไม่ได้หยุดก้าวเท้าเลยแม้แต่นิดเดียว
“มันก็ใช่ว่าการฝึกฝนเป็นเรื่องที่จำเป็นแต่มันยังมีปัญหาสำคัญที่นายจำเป็นจะต้องแก้ไขมันก่อน” อันธกล่าวเตือน
“ถูกของนาย! ฉันลืมไปเลยว่าฉันเอาโกลเดนสทิงเกอร์ไปแลกกับแหวนมิติมาแล้วและฉันก็ยังไม่มีอาวุธที่เข้ามือฉันเลย อันดับแรกฉันจะต้องไปหาซื้ออาวุธก่อนสินะ” เซี่ยเฟยกล่าวออกมาหลังจากที่เขาได้หยุดคิดถึงเรื่องที่อันธได้กล่าวเตือน
“นักรบที่เก่งกาจจำเป็นจะต้องทำการเตรียมตัวก่อนเข้าสนามรบและถ้าหากว่านายต้องการที่จะรอดชีวิตจากการประเมินครั้งนี้ การหาอาวุธเพียงแค่อย่างเดียวมันก็ยังไม่เพียงพอ” อันธกล่าวกระซิบช้า ๆ ในขณะที่เซี่ยเฟยทำการเปิดไมโครคอมพิวเตอร์ AI ของเขาขึ้นมา
“นายจะต้องเข้าใจก่อนว่าการประเมินในครั้งนี้เป็นการประเมินระดับวิกฤตซึ่งมันอันตรายกว่าเรื่องทุกเรื่องที่นายเคยเผชิญมาและฉันก็สามารถบอกได้เลยว่าการนองเลือดในการประเมินครั้งนี้มันเหนือกว่าสิ่งที่นายจินตนาการไปไกล!”
“เนื่องมาจากว่านายจะต้องเข้าร่วมการประเมินที่ไม่สามารถคาดเดาอันตรายได้ ดังนั้นนอกเหนือจากอาวุธแล้วนายยังจะต้องมีชุดต่อสู้ครบทั้งชุด! เครื่องมือเอาตัวรอดทุกชนิด! น้ำยาที่เอาไว้ใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน! ถ้าหากว่าฉันจะต้องพูดตามคำในโลกนี้ก็คงจะต้องใช้คำว่าของนายต้องแน่น!” อันธกล่าวออกมาเสียงดัง
***************
เตรียมตัวเข้าสนามรบมันก็ฟังดูดีอยู่นะ…แต่เรามีลางว่าเงินในกระเป๋าของพี่เฟยไม่น่าจะเหลือ 555