ตอนที่ 29: แอบขโมย
ตอนที่ 29: แอบขโมย
ทันใดนั้นเองมันก็มีเสียงก้องกังวานดังขึ้นมาจากด้านหลังของเซี่ยเฟย
“เจ้าเป็นใคร ทำไมแท่งสังหารถึงไปอยู่กับเจ้า?”
“นั่นใคร!” เซี่ยเฟยรีบหันไปรอบ ๆ ด้วยความเร็วสูงที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ จากนั้นเขาก็กระโดดถอยหลังกลับไป 30 เมตรพร้อมกับยกโกลเดนสทิงเกอร์ขึ้นมาเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้
สิ่งที่เขาต้องเผชิญหน้าในปัจจุบันเป็นเหมือนกับวิญญาณโปร่งแสงสีทองที่เปล่งประกายระยิบระยับและกำลังลอยอยู่กลางอากาศ
“ทำไมเจ้าถึงไม่ตอบคำถามของข้า” จู่ ๆ วิญญาณดวงนั้นก็เปลี่ยนร่างกลายเป็นเสือเขี้ยวดาบพร้อมกับน้ำเสียงที่ดูดุร้ายมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“นี่ฉันกำลังเจอกับวิญญาณอยู่จริง ๆ หรอเนี่ย?” เซี่ยเฟยอุทานออกมาอย่างวิตกกังวลแล้วเขาก็รีบคิดหาวิธีรับมือกับสถานการณ์ปัจจุบัน
ถ้าหากว่าอีกฝ่ายเป็นสิ่งที่จับต้องได้เขาก็คงจะสามารถหาวิธีรับมือกับมันได้อย่างรวดเร็ว แต่ถ้าหากว่าอีกฝ่ายเป็นตัวตนที่ไม่สามารถจับต้องได้แบบนี้ เขาก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรกับจิตวิญญาณดวงนี้ได้เลย
‘ลองแบบนี้ดูแล้วกัน’ เซี่ยเฟยคิดในใจ
จากนั้นเขาก็ลดท่าทางป้องกันลงพร้อมกับโค้งคำนับด้วยความเคารพแล้วเผยรอยยิ้มก่อนจะตอบกลับไปว่า
“ผมชื่อเซี่ยเฟยเดินทางมาจากทวีปเอเชียเพื่อทำการสักการะแอตแลนติสในตำนาน ของสิ่งนี้น่าจะเป็นแท่งสังหารที่ท่านกำลังพูดถึงอยู่หรือไม่?”
หลังจากกล่าวจบเซี่ยเฟยก็ยกโกลเดนสทิงเกอร์ขึ้นมาด้วยสองฝ่ามือเพื่อให้จิตวิญญาณตรงหน้าสามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน
“ใช่แล้ว มันคือแท่งสังหารซึ่งเป็นอาวุธประจำตัวของท่านเทพแห่งการสังหารที่สูญหายในสนามรบเมื่อนานมาแล้ว ว่าแต่เจ้าได้รับมันมาได้ยังไง?” จิตวิญญาณปริศนากล่าวถาม
มันเคยมีคนบอกเอาไว้ว่า ‘การพยายามลงโทษผู้ที่ยอมรับความผิดเป็นเรื่องที่ลำบากใจมากขึ้นกว่าเดิม’ นอกจากนี้เซี่ยเฟยยังได้กล่าวออกมาด้วยความเคารพ ดังนั้นจิตวิญญาณตนนี้จึงตอบกลับไปด้วยท่าทีที่ไม่ได้เย็นชาอย่างเคย
“ผมได้รับของสิ่งนี้มาจากบรรพบุรุษที่สืบทอดกันมาเป็นเวลาเนิ่นนานแล้ว บรรพบุรุษของผมก็ได้เล่าถึงความยิ่งใหญ่ของอารยธรรมแอตแลนติสให้ผมฟังอยู่เสมอมันจึงทำให้ผมได้พยายามออกตามหาแอตแลนติสตั้งแต่ผมยังมีอายุเพียงแค่ 7 ขวบ”
“ในช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมานี้ผมได้ผ่านการเดินทางอันยาวนานและยากลำบากกว่าที่จะมาจนถึงจุดนี้ได้ ซึ่งในที่สุดท่านก็น่าจะเป็นเทพเจ้าผู้พิทักษ์แอตแลนติสแห่งนี้ใช่ไหม ถึงได้รู้จักชื่อที่แท้จริงของมีดเล่มนี้” เซี่ยเฟยแต่งเรื่องโกหกพร้อมกับพูดออกไปเป็นตุเป็นตะ
“ข้าไม่ใช่เทพเจ้าของแอตแลนติสหรอก ข้าเป็นเพียงแค่พาหนะของท่านเทพแห่งการสังหาร ‘คาน มิรดา’ เท่านั้น ชื่อของข้าคือ ‘เขี้ยวทอง’ ที่บังเอิญกินพืชที่ไม่รู้จักและตายลงไปแต่จิตวิญญาณของข้ากลับได้รับชีวิตอันเป็นนิรันดร์ มันจึงทำให้ข้าสามารถคงอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ เจ้าจะเรียกข้าว่า ‘โซมะ’ ก็ได้” โซมะกล่าวตอบ
หลังจากกล่าวจบวิญญาณของโซมะก็กลายร่างเป็นชายชราหน้าตาใจดีตัวอ้วน ๆ ผู้ซึ่งมีผมและเครายาวสีขาว
‘เจ้าหนุ่มคนนี้เป็นผู้บูชาเทพเจ้าแห่งแอตแลนติสสินะ ดูเหมือนว่าในโลกภายนอกก็ยังมีคนอีกมากที่บูชาเทพเจ้าอันยิ่งใหญ่ของพวกเรา’ โซมะคิดกับตัวเองด้วยความพอใจขณะที่เขาได้จ้องมองไปยังเซี่ยเฟย
“ท่านไม่ใช่เทพเจ้าผู้พิทักษ์แอตแลนติสอย่างนั้นหรอ? แล้วไม่ทราบว่าท่านเป็นเทพเจ้าองค์ใดกันแน่?” เซี่ยเฟยกล่าวถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเคารพ
‘ฮ่า ๆ ๆ! นี่เขากำลังปฏิบัติเหมือนกับข้าเป็นเทพเจ้า!!’ โซมะคิดในใจด้วยความสุขใจมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“ข้าไม่ใช่เทพเจ้า ข้าเป็นเพียงแค่วิญญาณอสูร เทพเจ้าของพวกเราได้ออกเดินทางจากที่นี่ไปตั้งนานแล้ว” โซมะกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“แล้วทำไมท่านเทพถึงจากไป? มันเกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรอครับ?” เซี่ยเฟยกล่าวถามด้วยท่าทางอันกังวล
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะให้ความเคารพท่านเทพอย่างใจจริง ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะเล่าเรื่องนี้ให้เจ้าฟัง แต่เจ้าจะต้องสัญญาว่าเจ้าจะไม่นำเรื่องนี้ไปเล่าให้กับบุคคลภายนอก” โซมะกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ
“เมื่อนานมาแล้วเทพเจ้าแห่งแอตแลนติสและพลเมืองของเขาได้อาศัยอยู่บนดาวเคราะห์ที่ห่างไกลมาก หลังจากนั้นท่านเทพแห่งแอตแลนติสก็ถูกเทพเจ้าองค์อื่นทรยศทำให้ท่านไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากจะต้องหลบหนีมายังโลกแห่งนี้”
“หลังจากเวลาได้ผ่านพ้นไปเนิ่นนานหลายหมื่นปีในที่สุดศัตรูของท่านเทพก็เดินทางมาใกล้กับโลก ท่านเทพจึงจำเป็นที่จะต้องบินกลับไปยังจักรวาลเพื่อค้นหาดาวเคราะห์ที่ปลอดภัยอย่างแท้จริงและเมื่อไหร่ก็ตามที่สาวกของท่านเทพสามารถเพิ่มจำนวนขึ้นมาได้อย่างเพียงพอท่านก็จะกลับไปแก้แค้นศัตรูของท่าน”
ในระหว่างที่โซมะกำลังเล่าน้ำเสียงของเขาก็ดูเจ็บปวดมาก ในขณะเดียวกันระหว่างที่โซมะกำลังพูดถึงศัตรูของเทพเจ้าแห่งแอตแลนติสสีหน้าของเขาก็ได้เผยลักษณะแห่งความเกลียดชังออกมาเช่นกัน
“เทพพระจงเทพเจ้าอะไรไร้สาระ! เขาเป็นเพียงแค่ผู้เชี่ยวชาญที่สามารถบ่มเพาะพลังจนถึงระดับที่มีอายุเป็นอมตะเท่านั้นและเขาก็แค่กำลังพาพวกพ้องหลบหนีศัตรู” อันธกล่าวขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ
อย่างไรก็ตามเสียงของอันธก็เป็นเสียงที่เซี่ยเฟยได้ยินเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงยังคงรับฟังเรื่องราวของโซมะอย่างเงียบงันต่อไป
“ดินแดนแห่งนี้มีรูปร่างเป็นพระจันทร์เสี้ยวเนื่องมาจากว่ามันเป็นดินแดนที่ถูกทิ้งเอาไว้หลังจากที่ท่านเทพได้นำเมืองทั้งเมืองบินขึ้นไปยังอวกาศ น่าเสียดายที่ข้าเป็นเพียงแค่จิตวิญญาณอสูรและยังไม่มีคุณสมบัติที่จะออกเดินทางไปพร้อมกับท่านเทพได้” โซมะกล่าวออกมาด้วยความเสียใจ
หลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้วในที่สุดเซี่ยเฟยก็เข้าใจแล้วว่าแอตแลนติสเป็นเพียงแค่สถานที่พักชั่วคราวสำหรับมนุษย์ต่างดาวกลุ่มหนึ่งเท่านั้นและมันก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมชาวแอตแลนติสถึงมีเทคโนโลยีที่เหนือกว่ามนุษย์โลกโดยทั่วไป
“ว่าแต่ 3 คนข้างนอกนั่นเป็นเพื่อนเจ้าใช่ไหม” โซมะกล่าวถาม
“ใช่แล้วครับ พวกเราเดินทางมาที่นี่มากกว่าพันคนแต่น่าเสียดายที่พวกเราถูกคนชั่วทำร้ายระหว่างทาง มันจึงทำให้ในตอนนี้พวกเราเหลือกันอยู่เพียงแค่ 4 คนเท่านั้น” เซี่ยเฟยกล่าว
“แม้กระทั่งลูกหลานของข้าก็ยังถูกเจ้าพวกคนชั่วตามทำร้ายอย่างนั้นหรอ ข้าอยากจะฉีกกระชากร่างของพวกมันด้วยตัวของข้าเองซะจริง ๆ แต่ไม่ต้องห่วงในตอนนี้ข้าได้ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือออกไปแล้วอีกไม่นานพวกมันก็จะต้องชดใช้กับสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไป” โซมะกล่าวด้วยท่าทางอันโกรธเกรี้ยว จากนั้นมันก็มีหน้าจอปรากฏขึ้นบนผนังซึ่งภาพที่ฉายในหน้าจอนั้นก็เป็นเรือดำน้ำที่จอดอยู่กลางทะเล
ทันใดนั้นมันก็ได้มีหนวดปลาหมึกขนาดใหญ่ยื่นออกมาจากผิวน้ำ โดยหนวดแต่ละเส้นมีความหนา 7-8 เมตรและมีความยาว 200-300 เมตรเลยทีเดียว
เมื่อนำเรือดำน้ำของแก๊งอสรพิษดำมาเทียบกับหนวดปลาหมึกยักษ์แล้วมันก็ทำให้เรือดำน้ำลำนี้ดูบอบบางมากและหนวดปลาหมึกก็สามารถที่จะดึงเรือดำน้ำทั้งลำลงไปในทะเลได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก
หลังจากที่เรือดำน้ำจมลงไปในก้นทะเลเพียงแค่ไม่นานมันก็มีฟองอากาศลอยขึ้นมาจนถึงผิวน้ำเป็นจำนวนมาก ซึ่งเหตุการณ์นี้มันก็ไม่ต้องคาดเดาเลยว่าสมาชิกของแก๊งอสรพิษดำที่เหลืออยู่บนเรือดำน้ำคงจะเสียชีวิตอยู่ใต้ทะเลกันจนหมดแล้ว
“เนื่องมาจากว่าข้าเป็นวิญญาณอสูรอมตะมันจึงทำให้สัตว์ทั้งหมดบนเกาะนี้และทะเลใกล้เคียงต่างก็ล้วนแล้วแต่ฟังคำสั่งของข้าทั้งหมด” โซมะกล่าวขึ้นมาด้วยความภาคภูมิใจหลังจากที่ภาพหน้าจอบนกำแพงได้หายไปอย่างกระทันหัน
ความสามารถของโซมะสามารถที่จะดึงดูดความสนใจของเซี่ยเฟยได้อย่างดีและเมื่อพิจารณาจากหนวดของปลาหมึกยักษ์ที่โผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำแล้วมันก็ดูเหมือนกับว่าในทะเลบริเวณใกล้เคียงนี้คงจะมีสัตว์โบราณอาศัยอยู่อย่างมากมาย
โชคดีที่ในก่อนหน้านี้ตัวของเขาไม่ได้ปฏิบัติกับโซมะเป็นเหมือนกับศัตรู ไม่อย่างนั้นสถานการณ์ทางฝั่งของเขาก็คงไม่ต่างไปจากพวกแก๊งอสรพิษดำอย่างแน่นอน
“เจ้าหนุ่มแท่งสังหารชิ้นนี้เคยเป็นอาวุธของเจ้านายข้ามาก่อน เจ้าช่วยทิ้งมันเอาไว้ที่นี่จะได้ไหม แล้วข้าจะให้ของสิ่งนี้เป็นการแลกเปลี่ยน” โซมะกล่าวพร้อมกับจ้องมองไปยังโกลเดนสทิงเกอร์ในมือของเซี่ยเฟย
หลังจากที่โซมะกล่าวจบกำแพงทางทิศตะวันออกของห้องก็เปิดออกพร้อมกับเผยให้เห็นช่องลับที่มีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ด้านใน
ของที่อยู่ภายในช่องลับแห่งนี้เป็นแหวนสีทองที่ราบเรียบแต่มันก็ดูเป็นแหวนประดับที่ให้ความรู้สึกลึกลับมาก
“นั่นมันแหวนมิติ!!” อันธส่งเสียงอุทานออกมา จากนั้นเขาก็ได้กล่าวอธิบายต่อไปว่า
“แหวนวงนี้ได้เชื่อมต่อเข้ากับพื้นที่มิติอันมั่นคง ผู้ที่ได้ครอบครองจึงสามารถที่จะเก็บสิ่งของต่าง ๆ เอาไว้ภายในแหวนได้”
“เราสามารถเก็บของในแหวนได้กี่ชิ้น” เซี่ยเฟยกล่าวถาม
“ถ้าจะให้ตอบตรง ๆ ก็คงยากแต่ถ้าให้เดาฉันก็คิดว่าแหวนวงนั้นน่าจะเชื่อมต่อกับพื้นที่มิติขนาดประมาณ 1 ลูกบาศก์เมตร แต่ถึงกระนั้นมันก็สมควรที่จะเป็นแหวนที่มีมูลค่าไม่น้อยไปกว่า 100 ล้านสตาร์คอยน์และถึงแม้ว่าโกลเดนสทิงเกอร์จะเป็นอาวุธที่แหลมคมแต่มูลค่าของมันก็คงจะไม่เกิน 50 ล้านสตาร์คอยน์ ถ้าหากนายตัดสินใจแลกมันกับแหวนมิติวงนั้น การแลกเปลี่ยนครั้งนี้ย่อมเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่าอย่างแน่นอน” อันธกล่าว
‘วิญญาณอสูรตนนี้น่าจะยังไม่รู้ถึงมูลค่าที่แท้จริงของแหวนวงนั้นสินะเขาถึงคิดที่จะนำแหวนมิติมาแลกกับมีดเล่มนี้’ เซี่ยเฟยคิดภายในใจ แต่อย่างไรก็ตามเขากลับตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จออกไปว่า
“ท่านโซมะมีดเล่มนี้ถูกส่งต่อมาในตระกูลของผมหลายชั่วอายุคนและทุกครั้งที่ผมได้เห็นมัน มันก็จะทำให้ผมได้นึกถึงเหล่าบรรดาบรรพบุรุษของผม”
“มันเป็นแบบนี้นี่เองสินะ แต่ข้าก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นที่สามารถนำมาใช้แลกเปลี่ยนได้อีกแล้ว” โซมะกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
“ท่านโซมะไม่ทราบว่าหนังสือเล่มนี้เขียนว่าอะไรอย่างนั้นหรอ” เซี่ยเฟยกล่าวถามพร้อมกับมองไปทางจารึกมนตราอสูร
“หนังสือเล่มนี้เขียนว่า ‘มนตราอสูร’”
“สัตว์แต่ละตัวจะมีวิญญาณอสูรเป็นของตัวเอง โดยมันจะมีลักษณะเหมือนกับเปลวไฟที่อยู่ภายในร่างกายแต่มันจะไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า”
“ผู้ที่ทำการฝึกฝนมนตราอสูรจะสามารถมองเห็นเปลวไฟวิญญาณอสูรด้วยตาของพวกเขาได้ ซึ่งเปลวไฟวิญญาณอสูรจะสามารถบอกถึงข้อมูลคร่าว ๆ ของสัตว์ตัวนั้นได้ ยกตัวอย่างเช่น มันกำลังป่วยอยู่หรือไม่และผู้ฝึกฝนก็ยังสามารถสร้างสัญญาทางวิญญาณกับสัตว์ตัวนั้นได้อีกด้วย”
“ย้อนกลับไปในตอนที่ข้ายังเป็นสัตว์ ข้าได้ทำสัญญาวิญญาณกับท่านเทพมันจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมข้าถึงได้เรียนรู้ภาษาและพฤติกรรมของมนุษย์” โซมะกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
ภายในจักรวาลมีสิ่งมีชีวิตที่อยู่เหนือเกินกว่าจินตนาการอยู่อย่างมากมาย ซึ่งถ้าหากว่าใครสามารถทำสัญญากับสิ่งมีชีวิตอันทรงพลังเหล่านี้ได้ มันก็เปรียบเสมือนกับการได้รับผู้ช่วยอันทรงพลังและนี่ก็คือพลังที่แท้จริงของจารึกมนตราอสูร!
“ท่านโซมะไม่ทราบว่าผมขอดูหนังสือเล่มนี้หน่อยจะได้ไหม” เซี่ยเฟยกล่าวถาม
เหตุการณ์นี้ทำให้โซมะรู้สึกลังเลอยู่เล็กน้อยแต่มันก็คิดได้ว่าจารึกมนตราอสูรมีจำนวนอยู่มากกว่า 1,000 หน้าแล้วเซี่ยเฟยจะสามารถจดจำทุกอย่างในเวลาเพียงแค่พริบตาได้ยังไง?
“จารึกมนตราอสูรเป็นสมบัติล้ำค่าของแอตแลนติสและไม่สามารถที่จะตกไปอยู่ในมือของใครได้ แต่ข้าจะอนุญาตให้เจ้าเปิดมันดูซักเล็กน้อยก็แล้วกัน ส่วนเรื่องแท่งสังหารของท่านเทพ…”
“ไม่ต้องห่วงท่านโซมะ เนื่องมาจากมีดเล่มนี้เคยเป็นของท่านเทพมาก่อนการส่งคืนมันให้กับท่านจึงเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว”
หลังจากเซี่ยเฟยกล่าวจบเขาก็วางโกลเดนสทิงเกอร์เอาไว้บนแท่นหินด้วยท่าทางอันสงบซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้อันธส่ายหัวไปมาอย่างรู้สึกเสียดาย
‘น่าเสียดายจริง ๆ ที่ไม่สามารถใช้มีดเล่มนี้แลกเปลี่ยนกับแหวนมิติและจารึกเล่มนั้นได้ ถึงแม้ว่าเซี่ยเฟยจะเป็นผู้ที่สามารถปลดล็อกพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ได้อย่างเต็มที่แต่มันก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสามารถจดจำข้อมูลทุกอย่างที่อยู่ภายในจารึกมนตราอสูรได้ในระยะเวลาอันสั้น’
หลังจากนั้นเซี่ยเฟยก็ทำเรื่องที่เกินกว่าความคาดฝันของทุกคนอย่างแท้จริง เพราะเขาทำการพลิกจารึกมนตราอสูรอย่างรวดเร็วโดยแทบที่จะไม่อ่านเนื้อหาภายในหนังสือเล่มนี้เลยด้วยซ้ำ
“ไอ้โง่!! นายยอมพลาดโอกาสที่ยอดเยี่ยมแบบนี้ไปได้ยังไง!!! ถึงแม้ว่านายจะสามารถจดจำเนื้อหาของมันได้เพียงแค่บางส่วนแต่มันก็จะเป็นประโยชน์ต่อนายมาก รู้ไหม!!” อันธกระทืบเท้าด้วยความโกรธ
จารึกมนตราอสูรเล่มนี้มีความสำคัญต่อโซมะมาก ดังนั้นถ้าหากว่าเซี่ยเฟยแสดงออกไปว่าเขากำลังตั้งใจอ่านหนังสือ โซมะก็คงจะยอมผิดสัญญามากกว่าจะปล่อยให้เนื้อหาที่สำคัญรั่วไหลออกไปสู่โลกภายนอก
อย่างไรก็ตามเมื่อเซี่ยเฟยทำท่าพลิกหนังสือไปอย่างผ่าน ๆ และทำท่าหาวออกมาในบางครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นมันยังมีบางช่วงเวลาที่เขาหันไปคุยกับโซมะมันจึงทำให้วิญญาณอสูรตนนี้รู้สึกสบายใจและเชื่อมั่นว่าเซี่ยเฟยไม่ได้รับความรู้อะไรไปจากจารึกเล่มนี้เลย
ในเวลาเพียงแค่ไม่กี่นาทีเซี่ยเฟยก็พลิกจารึกที่มีเนื้อหามากกว่า 1,000 หน้าไปได้จนครบ
หลังจากเซี่ยเฟยปิดหนังสือพร้อมกับนำแหวนมิติเข้าไปเก็บในกระเป๋าแล้ว เขาก็ได้กล่าวกับโซมะว่า
“ท่านโซมะ การได้มาเยือนยังสถานที่แห่งนี้ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่น่าทึ่งสำหรับผมแล้วและถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้เห็นแอตแลนติสอันยิ่งใหญ่ด้วยตาของตัวเอง แต่การที่ผมได้พบกับท่านก็ถือได้ว่าเป็นการเปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่ในชีวิต น่าเสียดายที่ผมไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้นานนัก ถึงเวลาที่ผมจะต้องกลับไปยังสถานที่ที่ผมจากมาพร้อมกับสหายของผมแล้ว”
“หลังจากที่ผมได้กลับไปยังบ้านเกิด ผมจะทำการเผยแพร่เรื่องราวของท่านเทพแห่งแอตแลนติสและท่านโซมะให้ผู้อื่นมาทำการสักการะอย่างแน่นอน”
เหตุการณ์นี้ทำให้โซมะรู้สึกมีความสุขมาก เพราะเขาสามารถที่จะใช้แหวนอันไร้ประโยชน์เพื่อแลกเปลี่ยนกับสมบัติส่วนตัวของเจ้านายของเขาได้ นอกจากนี้เขายังไม่ได้ผิดสัญญาที่ให้ไว้กับเซี่ยเฟยและสามารถรักษาสมบัติของแอตแลนติสเอาไว้ได้อีกด้วย
“เอาล่ะข้าสามารถเปิดเส้นทางไปยังโลกภายนอกได้ตลอดเวลาและข้าก็ยินดีต้อนรับถ้าหากว่าเจ้าต้องการจะมาเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้อีกครั้ง” โซมะกล่าว
หลังจากนั้นเซี่ยเฟยก็เดินทางออกมาจากพีระมิดซึ่งในระหว่างทางอันธก็ตำหนิเซี่ยเฟยอย่างต่อเนื่อง
“ทำไมนายไม่กลับไปดูจารึกเล่มนั้นอีกสักรอบหนึ่งล่ะ! จารึกมนตราอสูรเป็นวิชาที่หายสาบสูญไปเป็นเวลานานแล้วนะ!!”
อย่างไรก็ตามเซี่ยเฟยก็ไม่คิดที่จะตอบคำถามของอันธ แต่เขาได้ใช้นิ้วชี้ไปยังไมโครคอมพิวเตอร์รูปทรงนาฬิกาที่อยู่ตรงข้อมือซ้ายของเขาอย่างเงียบ ๆ
“เซี่ยเฟย! อย่าบอกนะว่านายใช้คอมพิวเตอร์บันทึกเนื้อหาของหนังสือเอาไว้ทั้งเล่ม!!” อันธรู้สึกมึนงงอยู่สักพักก่อนที่เขาจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“ทำไมฉันจะต้องการหนังสือเล่มนั้นด้วยเพราะสิ่งที่ฉันต้องการจริง ๆ มีเพียงแค่เนื้อหาในหนังสือเท่านั้น” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ จากนั้นเขาก็เผยรอยยิ้มอันเจ้าเล่ห์ออกมา
***************
ไหนใครเดาถูกบ้างว่าพี่เฟยแอบบันทึกเนื้อหาในหนังสือเอาไว้…