ตอนที่ 1332 จันทราประกาศิต
เมื่อควันกระจายหายออกไปประตูตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ที่มีกฎสวรรค์ปกป้องยังคงตั้งอยู่อย่างดี
มีแต่เสาประตูขนาดใหญ่เริ่มมีอาการแตกร้าว
ตราบใดที่เย่ว์หยางโจมตีอีกหลายครั้งคาดว่าประตูตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ที่ยืนยงมานานหมื่นปีคงกลายเป็นประวัติศาสตร์
ผู้เฒ่าจางเฮิ่นที่จมลึกเข้าไปในบันไดตำหนักกลางกำลังคลานออกมาจากหลุมหินด้วยความเจ็บปวดเขาเอามือคลำเอวพลางโอดครวญ “เราผู้เป็นเทพหากไม่ใช่เพราะเป็นนักสู้ระดับเทพ และมีพลังเทพคุ้มกันวันนี้คงถูกโจมตีสังหารโดยคุณชายสามตระกูลเย่ว์แม้ว่ากระดูกเราผู้เฒ่าไม่เป็นไรแต่ว่ามันเจ็บจริงๆ!”
“ไม่สามารถประหารนักโทษในคุกนี้ได้หรือนี่?” เย่ว์หยางตรวจสอบและทดสอบคนที่ถูกทรมานที่นี่สามารถทุบตีทรมานดุด่าได้ แต่ไม่สามารถประหารได้อย่างน้อยก่อนที่จะยึดครองภูเขากวงหมิงที่คุมขังของเทพอย่างสมบูรณ์เขาไม่อาจก้าวข้ามกฎสวรรค์โบราณและประหารนักโทษระดับเทพได้
“อย่าว่าแต่มีกฎสวรรค์โบราณเลย ต่อให้ไม่มีแต่ด้วยร่างของเจ้าและพลังเทพของเจ้า เป็นไปไม่ได้ที่จะฆ่าเราผู้เป็นเทพได้” ผู้เฒ่าจางเฮิ่นแค่นเสียง
เขากดไม้เท้าในมือเบาๆ
แสงเทพที่งดงามนับพันสายเปล่งออกมาจากร่างของเขา
พลังเทพมหาศาลถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างกายทันทีพลังที่เก็บไว้หมื่นปีปะทุออกมาราวกับภูเขาไฟระเบิด
แสงศักดิ์สิทธิ์และพลังเทพจำนวนนับไม่ถ้วนมารวมตัวกันภายใต้อิทธิพลของประกายเทพของผู้เฒ่าจางเฮิ่นกลายเป็นวงแหวนเทพที่ประหลาดสีทองบริสุทธิ์เต็มส่วนของร่างกายจางเฮิ่นทั้งศีรษะ คอ แขน ข้อมือ เอวและเข่ามีอยู่ทุกที่
ร่างแก่ชราของจางเฮิ่นเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนอกจากจะมีขนาดใหญ่โตแล้ว ยังดูมีชีวิตชีวาและคืนความเยาว์วัยอย่างต่อเนื่อง
เมื่อเขาปล่อยพลังเทพ อาวุธคู่มือจากไม้เท้าเปลี่ยนเป็นง้าวสีม่วงทองหน้าของเขากลับคืนสู่ช่วงวัย 30 หรือ 40 ปี หนวดเคราสีดำเหมือนหมึก เหมือนก้อนเมฆดำครึ้ม กล้ามเนื้อแข็งแรงเป็นมัดแทบจะปริระเบิดเดินแต่ละก้าวทิ้งรอยเท้าลึกอยู่บนพื้นหินตำหนัก เมื่อเขายืนมั่นคงและโบกมือ เมฆบนท้องฟ้าก็หายไปทันที ความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์ของเขาแตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างมากมายทันใดนั้นเขามองผ่านเมฆได้ ด้วยสำนึกเทพของเขาเขาสลายสิ่งที่บดบังในท้องฟ้า
“เจ้าชื่อถงหู่ใช่หรือเปล่า?” เย่ว์หยางอยากจะอ้วกเห็นได้ชัดว่าเป็นนักสู้ระดับเทพ ร่างกายไม่แก่ แต่จะแสดงตัวเป็นคนแก่ทำไม?
“คุณชายสามตระกูลเย่ว์ เจ้าปล่อยพลังเทพออกมาเถอะ! เราผู้เป็นเทพไม่ต้องการการล่อลวงที่ไร้ความหมายการต่อสู้ของเทพกินเวลาอย่างน้อยสองสามวัน เราผู้เป็นเทพนี้กระตือรือร้นจะสู้อย่างมีความสุข” จางเฮิ่นไม่มีรูปลักษณ์ของชายชราอีกต่อไป เขาเป็นยักษ์ที่แข็งแกร่งสูงตระหง่านอย่างน้อยห้าเมตร
ร่างของเขาลอยลงมาหาเย่ว์หยางที่อยู่ต่อหน้าเขาซึ่งดูเหมือนเด็กตัวเล็ก
จางเฮิ่นชี้นิ้วอย่างสบายๆ
แค่นิ้วยังหนาแน่นกว่าแขนของเย่ว์หยาง
เย่ว์หยางมองดูอีกฝ่ายขึ้นๆ ลงๆ ไม่ได้ปลดปล่อยพลังเทพเหมือนจางเฮิ่น แต่เขาเหลือบไปมองประตูตำหนักกลางเพื่อตรวจสอบความเสียหายตรงนั้นโดยไม่คาดคิด เกี่ยวกับการกระทำของเขาทำให้จางเฮิ่นงุนงง เจ้าไม่ได้มาเพื่อทำลายมันหรือ? แล้วจะรับผิดชอบความเสียหายได้อย่างไร?
“น่าเสียดายถ้ามีเวลาประตูตำหนักกลางนี้ข้าจะต้องขนกลับไปแลกลูกอมกินไม่รู้ว่าจะแลกลูกอมได้กี่เม็ด!” เย่ว์หยางถอนหายใจจริงจัง
“.....” คำพูดของเขาทำให้จางเฮิ่นพูดไม่ออก
นอกจากเด็กหญิงเย่ว์ซวงน้องของเย่ว์หยางทั้งโลกเชื่อว่าไม่มีคนที่สองและเย่ว์หยางเห็นด้วยกับการเปลี่ยนประตูให้เป็นขนมหวาน แน่นอนนว่าหากเป็นการกอบกู้อำนาจและบารมีเชื่อได้ว่าเจ้าอ้วนไห่จะเป็นคนแรกที่ยกมือขันอาสา
เย่ว์หยางหยิบก้อนอิฐยักษ์ขึ้นมาถือไว้ในมือขึ้นมาบีบและถอนหายใจ “ของดีๆ แบบนี้ทั้งหมดเอามาใช้เป็นพื้นที่คุกได้อย่างไร?นอกจากนี้ประตูคุกจะสวยงามตราบเท่าที่มันแข็งแรง ถ้าที่นี่ไม่ใช่คุกข้าคงขอย้ายเข้ามาอยู่...” เกี่ยวกับความอิจฉาของเย่ว์หยาง จางเฮิ่นไม่รู้สึกสะท้อนใจแม้แต่น้อย “ตราบใดที่เจ้าอยู่ที่นี่สักหลายหมื่นปี อย่างนั้นต่อให้ที่นี่สวยขึ้นอีกร้อยเท่าเชื่อได้ว่าเจ้าคงไม่รู้สึกอะไร”
ความรู้สึกของจางเฮิ่นที่มีต่อภูเขากวงหมิงทำให้เขาอยากอาเจียน
เขาอยู่ที่นี่มาเป็นเวลานานแล้ว
ถ้าเปลี่ยนได้เขาอยากจะอาศัยอยู่ในกระท่อมที่ทรุดโทรมใต้หอทงเทียนมากกว่าในตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
“โชคดี แต่ไม่มีความสุข!”เย่ว์หยางส่ายหน้าถอนหายใจ จากนั้นเปลี่ยนมาถือเสาเจ็ดดาวของจักรพรรดิอวี้ เขาบอกว่าเขาจะลงมือและเขาจะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องโกหก เขาหวดใส่ศีรษะของจองเฮิ่น
จางเฮิ่นจมลงไปใต้พื้นกระเบื้องครึ่งตัว
แต่สีหน้าของเขา
ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
เขารอให้เย่ว์หยางยกเสาเจ็ดดาวจักรพรรดิอวี้ออกก่อนถามอย่างใจเย็น“ในที่สุดเจ้าก็เริ่มจริงๆ ใช่ไหม?
เย่ว์หยางโจมตีครั้งสองอย่างหนักหน่วงรวดเร็วราวกับสายฟ้าและเขาตอบอย่างเจ้าเล่ห์“เจ้าเป็นผู้อาวุโส ข้าเป็นผู้เยาว์ ข้าต้องแสดงความคารวะก่อนสามครั้ง”
ง้าวสีทองม่วงฉีกท้องฟ้า ปลายแหลมของง้าวมีพลังเทพเย็นเสียดกระดูกไม่มีพลังใดเทียบได้ สิ่งที่ถูกหวดใส่กลายเป็นผุยผง เย่ว์หยางใช้ไม้ตายลับสามท่าหลบหลีกได้ภาพเงาตามหลังถูกกระแทกสลาย บันไดหินของตำหนักที่มีความแข็งทนทานถูกทำลายทันทีเกิดหลุมลึกขนาดใหญ่ลึกสามเมตร กว้างห้าเมตร
“สมกับเป็นปีศาจเฒ่าหมื่นปี มีฝีมืออยู่บ้างจริงๆ!” เย่ว์หยางถือเสาเจ็ดดาวของจักรพรรดิอวี้หายตัวไปปรากฏบนบานประตูตำหนักมืออีกข้างหนึ่งถือน่องไก่แทะกินอย่างเอร็ดอร่อย
“ความเร็วใช้ได้” จางเฮิ่นใช้มือขวาถือง้าวและยกมือซ้ายขึ้น
ภายใต้การควบคุมของพลังเทพวงล้อแสงด้านหลังของเขากลายเป็นหอกสีทองพันเล่มกระจายไปทั่วท้องฟ้า
พลังกฎสวรรค์พิเศษชนิดหนึ่งที่เขารู้แจ้งด้วยทักษะแฝงเร้นแล้วใช้พลังเทพควบแน่นทำให้เป็นเหมือนกับตาข่ายลวดเกี่ยวพันที่ปลายหอกทุกเล่มครอบคลุมพื้นที่เส้นผ่าศูนย์กลางหมื่นเมตรครอบคลุมตัวเขาและเย่ว์หยางเย่ว์หยางใช้น่องไก่ในมือแตะเบาๆพลังกฎสวรรค์ทำลายน่องไก่ที่หอมกรุ่นจนเหลือแต่ผุยผง
เย่ว์หยางทำตาโตยิ่งกว่าตาวัว “ตาเฒ่า, ฝีมือเจ้าหรือ?พลังกฎสวรรค์ทรงพลังนักหรือ? เอาน่องไก่ข้าคืนมา!”
จางเฮิ่นแค่นเสียงเยาะเย้ย “ภายใต้กฎสวรรค์ของข้าตราบเท่าที่เจ้าแตะต้องหอกเทพของข้าหรือสัมผัสเส้นไหมเทพของข้าเจ้าจะถูกลงทัณฑ์อย่างเจ็บปวด! ถ้าเจ้าไม่เชื่อจะลองดูก็ได้!”
สำหรับเรื่องการพยายามทดลองด้วยพฤติกรรมไร้สมองเย่ว์หยางมักปฏิเสธน้ำใจนี้เสมอมา
“เจ้าคิดว่าข้าโง่เหมือนเจ้าอ้วนไห่หรือ?”
แม้แต่เจ้าอ้วนไห่ ก็ไม่ยอมทดลองพลังทัณฑ์ของกฎสวรรค์เขาจะไม่ยอมอยู่ในสถานการณ์ที่น่าสมเพชนั้น!
เย่ว์หยางเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามใช้พลังกฎสวรรค์ออกมาในที่สุดจึงเปลี่ยนท่าทีเป็นจริงจังและตัดสินใจสู้กับพลังกฎสวรรค์ทั้งหมด เพราะยังไม่เข้าใจขอบเขตของเทพราชันย์เต็มที่พลังและความเข้าใจเรื่องกฎสวรรค์ของเย่ว์หยางยังอยู่ในระดับทารกไม่ต้องอาศัยความโกรธไม่ต้องมียักษ์ทองที่คอยจัดการพลังชะตา สามารถทำอะไรก็ได้ที่เขาต้องการ ตอนนี้เขามีพลังกฎสวรรค์เพียงสองสามอย่างเท่านั้น ยังไม่มีทางเลือกมากนัก
อันดับแรก กฎแห่งหายนะและพลังเทพตราบเท่าที่ทุกอย่างไม่สามารถคาดเดาได้คู่ต่อสู้จะต้องประสบกับโชคร้ายตลอดชีวิตสิบแปดครั้งแน่นอน
อีกกฎหนึ่งคือ กฎดารารายที่ใช้เลียนแบบจักรพรรดิดีราตรี
นอกจากทั้งสองกฎสวรรค์แล้ว ยังมีกฎจันทราของเจ้าแม่จันทราที่เขาได้มาเพราะมีสัมพันธ์กับนางกฎสร้างโลก กฎชะตา ฯลฯ ที่เย่ว์หยางรู้แจ้งก็สามารถใช้ได้เช่นกัน แต่ส่วนใหญ่เป็นเหมือนต้นอ่อนยังอยู่ในช่วงระหว่างเจริญเติบโตไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้มากนักในช่วงนี้ ถ้าเด็กหนุ่มจากโลกอื่นจะสู้กับเจ้าตำหนักสูงสุดและจักรพรรดิไร้เทียมทานจิ๋วซื่อเป็นไปไม่ได้ที่จะนำพลังกฎเหล่านี้ออกมาใช้
“เรามีความสัมพันธ์ใดกับเจ้า?ผลัดกันโจมตีอาจจะนำไปสู่มิตรภาพ เราทุกคนก็เหมือนสหายเก่ากัน ถ้าอย่างนั้นข้าจะเอาพระจันทร์ออกมาสู้ก็แล้วกัน!” หลังจากที่คุณชายสามตระกูลเย่ว์มีสัมพันธ์กับเทพธิดาจันทราภรรยาระดับเทพคนแรก พลังชะตาจันทราและพลังเทพของเจ้าแม่จันทราก็เกิดขึ้นในตัวเขาเช่นกัน
แม้ว่าจะใช้ออกเป็นครั้งแรก แต่ให้ความรู้สึกที่ไม่เลว
มันดูราบรื่นมาก
ด้านหลังเย่ว์หยางมีดวงจันทร์ลอยสว่างไสวราวกับน้ำค้างแข็ง
จันทราฉายรัศมีไปทั่วทุกแห่ง ฉายไปถึงที่ใดที่นั้นจะกลายเป็นนิรันดร ฝุ่นควันที่ลอยฟุ้งขึ้นจากพื้นยังหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ
จางเฮิ่นตกใจเขาพบว่าพลังกฎสวรรค์ของอีกฝ่ายหนึ่งสามารถรุกเข้ามาในพื้นที่กฎสวรรค์ของเขาและยิ่งรู้สึกประหลาดใจมากขึ้นก็คือไม่มีการเตือนและแนวทางป้องกันกฎสวรรค์ชนิดนี้หลังจากที่มันรุกล้ำเข้ามากฎสวรรค์หอกเทพอยู่ร่วมกับกฎของฝ่ายตรงข้ามได้โดยไม่มีความขัดแย้งใดๆและที่น่าเหลือเชื่อภายใต้พลังกฎสวรรค์นี้เขารู้สึกว่าทั่วทั้งร่างกายกลายเป็นเป็นหิน
ภาพหลอนหรือ?
มีปฏิกิริยาสนองตอบบ้างไหม?
ทันใดนั้นจางเฮิ่นระเบิดพลังเทพออกและกระโดดทะยานขึ้นไปในอากาศ
แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือร่างยักษ์ที่ปกติทะยานบินขึ้นไปได้หมื่นเมตรอย่างง่ายดายกลับโดดขึ้นจากพื้นได้ไม่เกินสามนิ้ว ไม่ถึงครึ่งฟุตด้วยซ้ำก็หล่นลงมาย่ำผิวศิลาแตกกระจาย
“คนตัวโต! เจ้ากระแทกพื้นจนร่างข้าแทบกระเด้งแล้ว” ความจริงแล้วเย่ว์หยางลอยตัวอยู่ในแสงจันทร์เหมือนกับอยู่ในน้ำเหมือนกับพยัคฆ์ติดปีก ลอยมาอยู่ข้างหน้าจางเฮิ่นเขาเหยียบปลายง้าวของจางเฮิ่นและต่อยเข้าที่เบ้าตาของจางเฮิ่นจนมองเห็นดวงดาว
ร่างของจางเฮิ่นหนักยิ่งกว่าศิลาสิบเท่า
เย่ว์หยางเป็นเหมือนมังกร
หลบหลีกการโจมตีตอบโต้ของจางเฮิ่น มือของเขากดศีรษะของจางเฮิ่นจากนั้นใช้พลังเตะอย่างรุนแรงสิบแปดครั้งต่อเนื่องจากนั้นลอยตัวกลับไปเหมือนนางแอ่นบินกลับรัง
“เป็นไปได้ยังไง?”จางเฮิ่นไม่อยากเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นความจริง
“ข้าเองก็รู้สึกว่าแปลกมาก!” เย่ว์หยางบอกว่าการใช้พลังกฎสวรรค์ของคนอื่นเป็นเรื่องอธิบายไม่ได้ แต่ผลที่ได้นั้นดีอย่างน่าทึ่ง
“นี่ นี่ไม่ใช่พลังเทพและกฎสวรรค์ของเจ้าแม้แต่น้อย!” จางเฮิ่นโมโหแทบบ้าพลังเทพที่เจ้าเด็กนี่ใช้ดูเหมือนเขาไม่ได้รู้แจ้งเองเพราะมีสัญญาณบ่งบอกว่ายิ่งเขาใช้มากเท่าใด ก็ยิ่งมีความช่ำชองมากเท่านั้นยิ่งใช้ออกอย่างสม่ำเสมอก็สามารถแสดงปฏิกิริยาที่น่าทึ่งนี้ออกมาได้
“แค่ยืมมาใช้ชั่วคราว และนี่เพิ่งใช้ครั้งแรกเจ้าไม่ต้องกังวลมากนักก็ได้” เย่ว์หยางรู้สึกว่าเขามีคุณสมบัติที่เหมาะสม
แต่นี่คือกฎชะตาจันทราที่ใช้โดยเย่ว์หยางอย่างนั้นหรือ?
ในมิติว่างเปล่าของวงกตมิติเวลา ในประตูแดนสวรรค์เดิม
เงาร่างสามร่างไม่สามารถขยับได้เหมือนศิลา ถ้าพวกเขาสามารถพูดได้ก็คงพูดคัดค้านความเข้าใจผิดของเย่ว์หยาง โชคดีที่คำตอบนี้ ความจริงนี้ยังดำเนินไปอย่างเงียบงันและคงอยู่ไปชั่วนิรันดร...